สองเดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่คงหนักมากสำหรับหลายๆคน สำหรับผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
ช่วงต้น lock down เดือนเมษายนสิ่งที่ผมคิดอย่างแรกคือ จะทำยังไงไม่ให้คนรอบข้างอยู่ในบรรยากาศที่เสียขวัญ สิ่งที่ผมทำ คือการพยายามมองหาโอกาสในวิกฤต และ ให้กำลังใจ ถ้าสถานการณ์ยิ่งแย่ ผมก็ต้องทำงานเพื่อคนอื่นมากขึ้น ยิ่งฟังข่าวแย่ๆที่พูดถึงปัญหาที่จะตามมา ผมย่ิงรู้สึกว่า ผมก็ยิ่งต้องเป็นคนที่พึ่งพาได้ ต้องเข้มแข็ง ผมต้องดูแลงานชูใจ ต้องดูแลครอบครัว ต้องดูแลภรรยา นี่คือหน้าที่ของผมในยามวิกฤต ผมอยากขยันขึ้น ช่วยคนอื่นให้ได้มากขึ้น ยิ่งฟังพวกนักธุรกิจที่รีบปรับตัวเร็ว ยิ่งฮึกเหิม เราต้องเป็นที่พึ่งของทุกคนให้ได้
แต่ผมพึ่งมารู้ตอนหลังว่า นั่นอาจไม่ใช่
ไม่ต่างจากตอนที่คุณพ่อของผมเสียตอนต้นปี 2018 ไม่รู้ว่าเพราะการที่ผมเป็นลูกชายคนโต ความคิดแรกคือเข้มแข็ง ต้องพึ่งพาได้ ถ้าผมเศร้ามากเกินไปหรือหวั่นไหว จะทำให้น้องๆและแม่ เสียกำลังใจไปด้วย ความคิดนี้ทำให้ผมต้องทำตัวเข้มแข็ง เหมือนรับกับการสูญเสียได้อย่างมั่นคง
แต่ทว่าความโศกเศร้าที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องค่อยๆทำให้ผมเปราะบาง
อันที่จริงแล้วผมพบว่าตัวเองอยู่ในภาวะเศร้าเป็นช่วงๆ จนกระทั่งเกิดเหตุตอนต้นปีนี้ วิกฤตที่โดนกันไปถ้วนหน้า ทำให้ทุกคนจิตตก ผมคิดว่าตัวเองคงเป็นข้อยกเว้น เพราะเราเข้มแข็ง แต่สุดท้ายก็ไม่ ตะกอนของความโศกเศร้า และ ความเครียดต่างๆสะสม ผมจิตตก และเปราะบาง อารมณ์ไม่มั่นคง ยิ่งเราพบว่าเราอ่อนแอ ความเข้มแข็งที่เราวาดเอาไว้ยิ่งห่างออกไป สิ่งนี้ย้อนกลับมาทำให้ผมรู้สึกว่าล้มเหลว
ความรู้สึกพังทลายที่อยู่ข้างใน อยากให้มีคนเข้าใจแต่ไม่กล้าบอกใคร เพราะกลัวว่าจะไม่เข้มแข็ง
…………………………………………………….
วันหนึ่งในช่วงเดือนที่ผ่านมา
ข้อความหนึ่งของผู้ถวายที่เรารู้จักดี ส่งมายัง Line ของภรรยา ผมไม่เคยคุยกับพี่เขาโดยตรง แต่เป็นห่วงอยู่เสมอผ่านการคุยกับภรรยาของผม พี่คนนี้เองก็ยังติดอยู่ในปัญหาบางอย่างของความรู้สึกเช่นกัน
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น น้องคนหนึ่งที่ผมเคยเป็นพี่เลี้ยงก็ส่งข้อความมา เล่าว่าเขากำลังสับสนและทุกข์ใจ ผมก็คุยกับเขา หลังจากนั้นวันถัดมา มีน้องอีกคนก็ส่งข้อความมาปรับทุกข์ ถึงความโศกเศร้าที่เธอกำลังเผชิญ ผมไม่ได้มีคำตอบสำหรับเขาเหล่านั้น ผมยังไม่มีทางออกสำหรับความรู้สึก แต่ผมได้คำตอบสั้นๆ
ผมไม่ได้เผชิญปัญหาอยู่เพียงคนเดียว
เหมือนเพื่อนที่แตะบ่าเบาๆ แล้วบอกว่า “เราเข้าใจ” ผมรู้สึกว่าพระเจ้าก็กำลังบอกผมแบบนั้น
มีพี่น้องอีกหลายคนที่วันนี้ยังคงเผชิญกับเรื่องบางอย่าง ที่อาจเป็นเรื่องที่หนักหนา แต่ยังไม่ผ่านไป แม้ไม่มีคำตอบที่ชัด เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้า แต่ผมกลับพบว่า พระเจ้าไม่ได้ทิ้งความรู้สึกของเรา ผมเข้าใจว่าผมแบกเรื่องเหล่านั้นได้เอง แต่เรื่องนี้ทำให้พบว่าพระเจ้าได้ทรงแบกปัญหานั้น แบกความรู้สึกของผมมาโดยตลอด ผมไม่เคยอยู่คนเดียว แต่พระองค์อยู่ด้วย ไม่ใช่ผมคนเดียวที่มีความรู้สึกกดดัน แต่ยังมีลูกของพระองค์อีกหลายคนที่วันนี้ยังต้องเผชิญกับความรู้สึกเหล่านั้น
ในเรื่องราวที่เกิดขึ้นผมเรียนรู้ถึงพระเจ้าในมุมใหม่ พระองค์ไม่ได้รอที่ทางออกแล้วกวักมือเรียกให้เราไปหา แต่พระองค์อยู่ข้างๆและเดินทางร่วมกับเราในความทุกข์ใจเสมอ
อยู่ตรงนั้นมาโดยตลอด
ผมรู้แค่ว่า ผมไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เข้มแข็งอีก เพราะพระเจ้าเป็นความเข้มแข็งของผม ผมไม่ได้เดินอยู่อย่างเดียวดาย เพราะผมรู้ว่าพระองค์ทรงเคียงข้าง และไม่ใช่แค่ผมคนเดียว แต่กำลังเดินไปพร้อมกับพี่น้องอีกหลายๆคนในเวลานี้
ขอพระเจ้าเสริมกำลังพี่น้องทุกคนในความเชื่อ
ด้วยรักและชูใจ
ท็อป
บ.ก.ทีม
………………………………….