ชูใจอัพเดท มิถุนายน 2021


เนื่องจากร้านของเราสองคนยังอยู่ในกลุ่มที่ยังไม่สามารถเปิดได้ ดังนั้นจดหมายฉบับนี้จึงนับเป็นการครบรอบสองเดือนที่อยู่กับบ้าน

 

ผมเห็นข่าวร้านค้าถูกปิด สลับกับข่าวบางพื้นที่ที่ยังมีการติดเชื้ออยู่ คนที่อยู่บ้านก็คงวิตกเรื่องอนาคต ในขณะที่คนออกไปทำงานนอกบ้านก็คงกังวลลึกๆเช่นกันเพราะมีความเสี่ยง การติดอยู่บ้านรอบนี้ถ้าไม่จิตตกก็ชวนหดหู่เพราะมีแต่เรื่องที่น่ากังวลและเราก็แทบทำอะไรไม่ได้ แต่ท่ามกลางวิกฤตที่ทุกๆคนก็ได้รับผลกระทบพอๆกัน ก็ยังมีพี่น้องที่คงความสัตย์ซื่อในการสนับสนุน และ ทักทายด้วยความเป็นห่วง เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ชูใจพวกเรามาก เป็นเรื่องที่ทำให้รู้ว่า ยังมีเพื่อนที่ห่วงเรา ยังอยู่กับเรานะ และเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า พระเจ้ายังอยู่กับพวกเรานะ

เรื่องนี้ผมก็อยากหนุนใจเพื่อนๆเช่นกันว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเรา และนี่เป็นสัญญาที่สำคัญ

 

เพราะในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา ผมเห็นหลายคนมีความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาพระเจ้ามากขึ้น และ ไม่เพียงแค่นั้นคนที่ยังไม่รู้จักกับพระเจ้าก็มีคำถามในความเชื่อมากขึ้นเช่นเดียวกัน เขามักติดอยู่กับคำถามที่ว่า ถ้าพระเจ้ามีจริงทำไมโลกนี้ถึงยังมีปัญหา ในทางเดียวกันพี่น้องบางคนก็อาจมีคำถามแบบนี้เช่นเดียวกัน

 

ถ้าพระเจ้ามีจริง ทำไมเรายังต้องเจอกับปัญหา

 

รากของคำถามนี้นั้นมาจากที่เดียวกัน  คือ ความเข้าใจในพระสัญญาของพระเจ้า … เพราะพระเจ้าไม่ได้สัญญาที่จะแก้ปัญหา จัดการทุกปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จตามที่เราร้องขอ พระเจ้าไม่ได้บอกว่าเมื่อเดินตามพระองค์แล้วชีวิตเราจะไม่ต้องเผชิญกับปัญหาใดๆ เพราะนั้นไม่ใช่พันธกิจหลักของพระองค์!

 

แต่สิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญา คือ พระองค์จะทรงสถิตอยู่กับเรา

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะมุมมองที่พลาดไปอาจทำให้เราไม่เติบโตขึ้นในความเชื่อ

 

เรื่องนี้เราดูได้จากเด็กเล็กๆ ผมไม่มีลูกแต่ก็เห็นได้จากลูกของพี่สะใภ้ตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ก็สามขวบแล้ว เด็กเล็กๆมองเห็นว่าสิ่งรอบตัวของเขาตอบสนองตามเขา เมื่อเขาร้องไห้เขาก็ได้รับ เมื่อร้องขอก็มีคนเอามาให้ โลกของเขามีตัวเองเป็นศูนย์กลาง นั่นคือมุมมองของเด็กเล็ก

 

แต่เมื่อเขาค่อยๆโตขึ้นมา เขาก็เริ่มรู้แล้วโลกไม่ได้เป็นแบบนั้น การร้องไห้ไม่ใช่คำตอบเสมอไปอีกแล้ว แม้จะยากที่จะเรียนรู้ แต่ผมก็เห็นว่าเขาเริ่มที่จะเชื่อฟังและไม่ร้องไห้เอาทุกอย่างอีก เขากำลังอยู่ในกระบวนการการเติบโต และ แน่นอนว่าพ่อแม่หรือผู้ปกครองก็คงไม่ตอบสนองแบบเดียวกันนี้จนเขาอายุ 20 ต้องไม่ใช่อย่างแน่นอน แต่เป้าหมายของผู้ปกครองคือทำให้เขาเรียนรู้เพื่อที่จะเติบโตเป็น “ผู้ใหญ่”

 

หลังจากนี้เมื่อเขาเป็นวัยรุ่นเขาเองก็ต้องเรียนรู้ว่าโลกไม่ได้มีเขาเป็นศูนย์กลาง ความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ซับซ้อนของสองฝ่ายเสมอ เขายังจะต้องเรียนรู้เวลาที่เขาอกหัก ต้องสูญเสียคนที่รัก และ เรื่องที่ไม่เป็นไปตามคาดหวัง แต่เขาจะโตขึ้น

 

หากให้ยกตัวอย่างชีวิตในการเติบโตกับพระเจ้าฉบับรวบรัด ผมขอยกตัวอย่างจากคนๆหนึ่งในพระคัมภีร์ เป็นคนหนึ่งที่ผมชอบเรื่องของเขามากๆ นั่นคือ คือ “กิเดโอน” ในหนังสือผู้วินิจฉัย

 

. . .  กิ เ ด โ อ น . . .

 

ในสมัยนั้น เรารู้ว่าอิสราเอลถูกกดขี่โดยคนมีเดียน และเมื่อเขาร้องขอความช่วยเหลือ พระเจ้าจึงส่งผู้เผยพระวจนะไปหา และ ทูตของพระเจ้าก็ไปหากิเดโอน

“บุรุษผู้กล้าหาญเอ๋ย พระเจ้าสถิตกับเจ้า”

“ท่านเจ้าข้า ถ้าพระเจ้าสถิตกับพวกเรา ทำไมเหตุการณ์เหล่านี้ถึงเกิดขึ้นกับเราเล่า…”

คำตอบนี้สะท้อนมุมมองที่มองว่า ถ้ามีพระเจ้า พระเจ้าต้องจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นสิ ทำไมพระเจ้าถึงปล่อยให้เกิดความชั่วร้ายเหล่านี้ขึ้น คุ้นๆไหม?

ทูตของพระเจ้าก็ย้ำว่าจะใช้กิเดโอนนี่แหละในการช่วยอิสราเอล แต่ กิเดโอนก็ยังบ่ายเบี่ยงบอกว่าเขาเป็นเพียงคนเล็กน้อย นามสกุลก็เล็ก แถมมาจากตระกูลเล็กๆอีก พระเจ้าจึงต้องพูดกับเขาอีกครั้ง

 

“แต่เราจะสถิตอยู่กับเจ้าแน่”

 

กิเดโอนจึงขอหมายสำคัญ และ นั่นแหละพระเจ้าก็ทำให้เขาเห็นว่านี่เป็นเรื่องที่มาจากพระเจ้าจริง
“บัดนี้ข้าพระองค์ได้เห็นทูตของพระเจ้าต่อหน้าต่อตา(22)”
โมเม้นท์นั้นเองที่เขารู้ตัวแล้วว่าเขาได้พบกับพระเจ้า หากเราย้อนกลับไปในตอนแรกที่กิเดโอนถาม “ถ้าพระเจ้ามีจริง?” เหมือนเจอคนดังแต่ดันไปทักว่าเป็นคนหน้าเหมือน เหมือนไปสมัครงานแต่คุยกับประธานเหมือนเจอพนักงานในบริษัท แต่นี่เขาเจอกับพระเจ้า! พลาดแล้ว!! ที่เผลอพูดแบบนั้นต่อหน้าพระเจ้า เขาคิดว่าต้องไม่รอดแน่ๆ แต่แล้วพระเจ้าก็ตอบเขา

“เจ้าอย่ากลัวเลย เจ้าจะไม่ตาย” …พระเจ้าก็ยังคงอยู่กับเขา เป็นสวัสดิภาพของเขา

 

หลังจากประสบการณ์ในครั้งนี้ เขาค่อยๆโตขึ้นกับพระเจ้า เชื่อฟังและไปพังรูปพระบาอัล ตอนกลางคืน (เพราะถ้าทำตอนเช้าเกรงว่าจะเปรี้ยวเกินไป) แต่เมื่อผ่านเหตุการณ์นี้มา (พระบาอัลก็ไม่เห็นทำอะไรเขานี่) ก็ทำให้เขาค่อยๆเติบโตขึ้น มั่นใจขึ้น

 

เราก็จะเห็นชีวิตของเขาที่เริ่มต้นจากคนเล็กน้อย แต่เมื่อพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา เขากลับเรียกพวกพ้องจากเผ่าๆต่างๆมารวมกันพร้อมออกรบ พร้อมปะทะ พร้อมจะไฟว์ แต่ในขณะเดียวกัน วินาทีต่อมาเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยความสับสน ความกังวล จนต้องอธิษฐานขอสัญญาณอะไรสักอย่าง เขากำลังทดสอบพระเจ้า ด้วยคำอธิษฐานที่ว่า “ถ้าพระองค์…”

 

ชีวิตของเราก็ไม่ได้ต่างกัน ตอนร้อนรนก็เต็มด้วยความมั่นใจ แต่ผ่านไปสักพักก็กลับมีความสงสัยไหลท่วมเข้ามา ความกังวลจนทำให้เราต้องอธิษฐานขอสัญญาณอะไรสักอย่าง พระเจ้ายังอยู่ด้วยไหม เกิดอะไรขึ้น จะทำยังไงดี? “ถ้าพระองค์….”  แบบเดียวกับที่กิเดโอนทำ แต่ถึงอย่างนั้นส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ พระเจ้าก็ยังคงตอบ แม้พระองค์จะไม่ได้สัญญาเอาไว้ แต่พระองค์ก็ยังตอบคำอธิษฐานของเรา ช่วยเหลือเรา และ บางครั้งก็เพื่อยืนยันกับเราว่าพระองค์อยู่ด้วย การที่พระองค์ตอบสนองนี้เป็นสิ่งที่มากกว่าสัญญา เป็นการสำแดงพระคุณของพระองค์

 

ในตอนถัดมา เมื่อเขามีกำลังมากพอ พระเจ้าก็ทดสอบเขากลับเช่นเดียวกัน โดยการลดจำนวนคนจาก สามหมื่น เหลือเพียง สามร้อย ตอนแรกๆเขาก็มั่นใจจนกระทั่งพระเจ้าเอาคนออกไปนี่แหละ สถานการณ์ย่ิงเหมือนจะโดนแกง ทิ่มแทงให้ท้อใจ… อ่าว พระเจ้าจะให้เราชนะแต่สิ่งที่พระเจ้าทำ กลับดูห่างไกลจากเป้าหมายที่เราอยากจะเห็น…

 

อ่าว พระเจ้าจะให้เราชนะแต่สิ่งที่พระเจ้าทำ กลับดูห่างไกลจากเป้าหมายที่เราอยากจะเห็น…

 

เมื่อกิเดโอนกลัวจนต้องพกเอาปูลาห์(คนใช้) เพื่อลอบไปสอดแนมค่ายคนมีเดียน เมื่อเขาได้ยินคนมีเดียนคุยกันว่า พวกเขา(มีเดียน)คงต้องตกอยู่ในมือกิเดโอน เขาจึงเข้าใจทั้งหมด เพราะนั่นคือ คำพูดเมื่อตอนที่เขาได้พบกับพระเจ้า ตั้งแต่วันแรก มันเป็นจริงตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันที่เขาได้ยินคำนี้จากคนมีเดียน และ นั่นยิ่งย้ำอีกประโยคที่มาคู่กัน “เพราะพระเจ้าจะสถิตอยู่ด้วย”

 

เราน่าจะเคยเห็นพ่อแม่ที่ยืนอดทนปล่อยให้เด็กร้องไห้กลิ้งไปกับพื้นเพราะกำลังเรียกร้องบางอย่าง แม้พ่อแม่จะอยู่ตรงนั้นแต่ก็ไม่ได้ตอบสนอง ไม่ใช่เพราะไม่สนใจ แต่เพราะเขากำลังปล่อยให้ลูกเผชิญกับการเรียนรู้อะไรบางอย่าง ที่ลูกก็ยากที่จะเข้าใจ และบางครั้งต้องเจ็บปวด เช่นเดียวกับในเวลาที่ดูเหมือนพระเจ้าจะเงียบและไม่ตอบ เราเลย หรือ บางครั้งเราก็ต้องเผชิญกับเรื่องราวที่แสนเจ็บปวด แต่ทั้งหมดนี้คือการเรียนรู้ในกระบวนการการเติบโต เป็นกระบวนการที่เริ่มตั้งแต่วันแรกที่เราต้อนรับพระองค์เข้ามาในหัวใจ

และ นั่นคือพันธกิจหลักของพระองค์

 

ภารกิจเริ่มขึ้นเมื่อเราต้อนรับพระองค์เข้ามาในชีวิต เพื่อให้พระองค์ปรับปรุงชีวิตของเรา จากคนที่แย่ คนที่อ่อนแอ คนที่มีข้อบกพร่อง ให้กลายเป็นคนที่สมบูรณ์ในพระคริสต์ พระองค์จะค่อยๆเปลี่ยนเราให้เป็นคนใหม่  และ การที่พระองค์จะทำอย่างนั้น พระองค์จึงสถิตอยู่กับเรา คอยปรับปรุงดูแลเราอยู่ใกล้ๆ ผ่านพระคุณของพระองค์ที่มาในหลากหลายรูปแบบ

 

หากความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าเป็นเพียงการอธิษฐานขอพรและรอคอยให้พระเจ้าตอบแต่เพียงอย่างเดียวอาจเป็นมุมมองแบบเด็กไปนิด แต่ถ้าเราเข้าใจถึงแผนงานของพระองค์ ในการสร้างเราให้เติบโต และหยั่งรากลงในความเชื่อ มีชีวิตแห่งความหวังใจ และ การอดทนรอคอย หากเราเข้าใจในเรื่องนี้ มุมมองต่อสถานการณ์ก็จะปลี่ยนไป การอธิษฐานและรอคอย ของเราก็จะเปลี่ยนไป

 

แม้ชีวิตที่อยู่ในการปรับปรุงอาจต้องผ่านกระบวนการทดสอบมากมาย อาจมีช่วงเวลาที่ดี และ เวลาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด สับสน ล้มเหลว และ ลุกขึ้นใหม่

 

แต่ในกระบวนการนี้ ขอให้เรามั่นใจ “พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา” ตั้งแต่วันที่เราได้ต้อนรับพระองค์นั่นแหละ

 

และ ในโลกทุกวันนี้ที่คนมากมายเต็มไปด้วยความหดหู่ และ น่าวิตกกังวล
ชีวิตที่ค่อยๆได้รับการเปลี่ยนแปลงจึงมีความหมายแก่พวกเขา เพราะนั่นเป็นข้อความแห่งความหวัง ว่าในโลกใบนี้ “พระเจ้ายังคงสถิตอยู่” และ พร้อมที่จะช่วยเหลือทุกคน

 

เริ่มจากให้พระองค์เปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา
ด้วยรักและชูใจ

ท็อป

 

…………………………………………..

อัพเดทเพิ่มเติม

 

ในสัปดาห์หน้า หากสถานการณ์การควบคุมโรคลดลง ผมก็จะมีโอกาสกลับไปทำรายการ “พระคัมภีร์ไม่ไหลย้อนกลับ” หลังจากที่ต้องหยุดไปเพราะช่วงโควิดที่ผ่านมา

 

ฝากอธิษฐานเผื่อ น้องพี ที่เป็นนักเขียนของเราอีกคน ที่กักตัวอยู่บ้าน แต่พึ่งไปเกี่ยวข้องกับคนที่ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ติดเชื้อเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เลยต้องกักตัวเองต่อไปอีกอย่างน้อย 7 วัน

 


Previous Next

  • Author:
  • เนื้อแท้เป็นคนรักหนัง เบื้องหลังดีไซน์เก๋ๆ สวยๆ ของเว็บชูใจ คือฝีมือของเค้า นักออกแบบตัวยงผู้รักบอร์ดเกมเป็นชีวิตจิตใจ และอยากเห็นงานสร้างสรรค์คริสเตียนไทยพัฒนาก้าวไกลไม่แพ้ชาติไหนในโลก