ปี 48 น้ำท่วมเชียงใหม่ หลายบ้านที่อยู่ริมแม่น้ำปิงค่อยๆโดนน้ำท่วมไม่รู้ตัว ตอนที่น้ำเร่ิมเอ่อล้นขึ้นท่วม ผมกำลังขับมอเตอร์ไซด์กลับบ้าน กว่าจะรู้ว่าน้ำหลาก ถนนที่ต้องผ่านกลับบ้านก็มีน้ำท่วมอยู่ระดับเข่าแล้ว
คนเชียงใหม่ค่อนข้างเก่งเรื่องมอเตอร์ไซด์ครับ ผมขับมอเตอร์ไซด์ฝ่ามวลน้ำ วิธีคือต้องบิดคันเร่งค้างเพื่อ ให้เกิดแรงดันจากไอเสียพ่นออกดันไม่ให้น้ำย้อนกลับเข้าท่วมเครื่องผ่านท่อไอเสีย ผมก็ค่อยๆบิดคันเร่งประคองรถมอเตอร์ไซด์ฝ่ามวลน้ำไปตามถนนเส้นนั้น แต่ไปไม่ทันไร รถปิกอัพแบบโฟร์วีลก็วิ่งฝ่าน้ำเหมือนกัน ความเร็วทำให้เกิดคลื่น ไม่ต่างกับ บานาน่าโบ็ทครับ ผมกับมอไซด์โดนคลื่นลงไปนอนในน้ำกันหมด และ รถดับ สตาร์ทไม่ได้แล้ว น้ำย้อนเข้าท่อไอเสีย
ค่ำแล้ว น้ำท่วม ผมเข็นรถฝ่าน้ำไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็ไปถึงพื้นที่ที่น้ำไม่ท่วม ถึงอย่างนั้นรถก็ยังดับสตาร์ทไม่ได้ ไม่ไกลนักจากถนนที่น้ำท่วม เป็นเหมือนนิสัยคนเชียงใหม่ที่นั่งจับกลุ่มกินเหล้ากันอยู่หน้าร้าน ผมเหลือบไปมองแล้วก็เห็นว่าคนกลุ่มนั้นกวักมือเรียก ผมจึงเข็นรถเข้าไปหา ปรากฏว่าเขาเป็นร้านช่างมอเตอร์ไซด์ “รถดับหรือน้อง” หนึ่งในคนกลุ่มนั้นถามผม หลังจากนั้น ช่างคนหนึ่งเดินไปเปิดปั๊มลม และลงมือแกะเครื่องรถผมก่อนจะเป่าลม และ เช็คหัวเทียนให้เรียบร้อย สตาร์ทรถผมให้เสร็จสรรพ ผมประทับใจมากเพราะตอนนั้นเป็นเวลาเย็นมากๆ ปกติร้านแถวนี้ก็ปิดหมดแล้ว และ ที่สำคัญคือเขาไม่รับเงินผมแม้แต่บาทเดียว
ก่อนผมจะขับรถออกจากตรงนั้น ผมเห็นรถมอเตอร์ไซด์ที่ดับอีกคันกำลังเข็นมาที่ร้านนั้น ช่างในกลุ่มนั้นกวักมือเรียกไม่ต่างกัน
วันถัดมาผมออกไปช่วยคนอื่นที่รู้จักทั้งย้ายของและส่งข้าวปลาอาหารให้กับคนในพื้นที่ ภาพการช่วยเหลือแบบนั้นยังเกิดขึ้นอีกมากในช่วงสัปดาห์นั้นทั้งที่เกิดกับผม ผมไปช่วยคนอื่น และ ที่ฟังมา
ปี 54 ตอนที่น้ำท่วมใหญ่ครึ่งประเทศก็ไม่ต่างกัน ปีนั้นเชียงใหม่ก็โดนก่อนมีภาพที่น่าสลด แต่ท่ามกลางความลำบากเราก็เห็นคนช่วยเหลือกัน ทั้งที่ผมลงไปทำ และ ที่ฟังมา
และยังมีเหตุการณ์อีกหลายครั้งที่ทำให้เราเห็นว่าในเวลาที่ยากลำบาก คือเวลาที่เรามีโอกาสแสดงความดีงามของมนุษย์อย่างถึงที่สุด
…………………..
ปัญหาที่เกิดขึ้นในวันนี้เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว และ เกินความคาดหมาย เราเคยคุยกันในทีมเรื่องปรับรูปแบบให้ทันยุค disrupt และการมาถึงของการเปลี่ยนแปลง แต่ตอนนี้ทุกคน ซึ่งเรียกได้ว่าทุกคนจริงๆเพราะเกิดขึ้นทั้งโลกกำลังถูกบังคับให้เปลี่ยนวิถีชีวิตพร้อมๆกัน
เราวางแผนกันตั้งแต่ต้นปีในทีมชูใจเล็กๆว่ามีนาคมนี้จะเป็นช่วงทำแคมเปญเพื่อระดมทุนและขอถวายสำหรับการสนับสนุนงานชูใจ แต่ด้วยเรื่องไม่คาดฝันตอนนี้เราก็เก็บเอาไว้ เพราะรู้ว่าตอนนี้ทุกคนกำลังอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ และคงลำบากเช่นกัน
ในวันนี้รอบตัวของเราเต็มไปด้วยความน่ากังวลใจ อีกทั้งการที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป นั่นยิ่งทำให้น่ากังวลใจยิ่งกว่า และหลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไปชีวิตของเราทุกคนจะไม่เหมือนเดิมแน่นอน
แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร?
เกินความคาดหมายเหมือนกันที่ทำให้ผมได้ไปนั่งเรียนพระคัมภีร์ และเรื่องที่เรียนคือ “ผู้เผยพระวจนะ” จริงๆอยากเรียน “อพยพ” เพื่อทำ podcast ต่อจากปฐมกาล แต่นี่เกินความคาดหมายกว่า
เพราะบทเรียนที่ผมได้จากการเรียนเรื่องผู้เผยพระวจนะ คือ มีหลายเหตุการณ์ที่เกินความคาดหมายและเกินกว่าที่เราจะทำอะไรได้ สิ่งนี้เกิดขึ้นเพื่อให้เราได้ฉุกคิดว่าพระเจ้าทรงครอบครองอยู่ เพื่อที่เราจะได้หันกลับมา และวางใจให้พระองค์ช่วยเรา
และเหตุการณ์นี้กำลังเกิดขึ้นทั้งโลกใบนี้
ผมไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน แต่ผมเชื่อแน่ว่าพระเจ้าทรงครอบครองและทุกอย่างอยู่ในแผนการณ์ของพระองค์
และที่สำคัญ ในทุกวิกฤต คือเวลาที่เราสามารถใช้แสดงความดีงามที่พระเจ้าใส่ไว้ในเรา ความงดงามเมื่อมนุษย์ทุกคนได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามยากลำบาก ความท้าทายสำหรับเราที่รู้จักพระองค์อาจไม่ใช่เรื่องการเอาชีวิตรอดอย่างไร แต่เป็นการช่วยเหลือคนอีกมากมายที่พระเจ้าก็ทรงรัก อย่างไร? ในช่วงเวลาแบบนี้
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน
ด้วยรักและชูใจ
ท็อป
บ.ก.ทีมชูใจ
ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต เพราะพระองค์ทรงเป็นความหวังของข้าพระองค์
เป็นความมั่นใจของข้าพระองค์มาตั้งแต่เยาว์วัย….
….ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ตลอดไป….
…..ริมฝีปากของข้าพระองค์เต็มล้นด้วยคำสรรเสริญพระองค์
ประกาศพระบารมีตลอดทั้งวัน
สดุดี 31:5-8