สวัสดีพี่น้องที่คอยชูใจกันอยู่เสมอ
รู้สึกแบบนี้ไหมครับ? เมื่อก่อนผมรู้สึกว่าหลังจบงานคริสตมาสยังพอมีเวลาอีกเกือบอาทิตย์จนถึงปีใหม่ เหมือนมีเวลาหยุดยาวพักหลังจากช่วยงานคริสตมาสที่โบสถ์ แต่ตอนนี้พอจบงานคริสตมาส แป็บๆก็ข้ามไปอีกปี แป็บๆวันพรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานอีกแล้ว ความรู้สึกของปีใหม่เหมือนลมหนาวที่เราอ้าแขนรอคอย แต่พอถึงเวลากลับไหลผ่านระหว่างนิ้วมือเราไปอย่างรวดเร็ว
เวลาไม่ได้แค่ไวขึ้นนะครับ โจทย์ต่างๆในชีวิตรู้สึกว่าซับซ้อน และ ยากขึ้นตามตัวเลขของปี ของอายุอีกด้วย บางทีก็รู้สึกเหนื่อยเหมือนนักวิ่งที่สติหลุดไปแล้ว ได้แค่ก้าวไปข้างหน้าช้าๆ แต่หยุดไม่ได้ รอเข้าเส้นชัยที่ยังมองไม่เห็น ไม่รู้เมื่อไหร่จะถึงเส้นชัย ปีใหม่ก็เป็นเหมือนจุดแวะพัก ก่อนจะต้องวิ่งต่อในเส้นทางต่อไป
ชีวิตที่เหมือนทุกวันดึงผมให้ตื่นขึ้น ลุกขึ้นไปรดน้ำต้นไม้เหมือนเมื่อวาน แต่แล้วส่ิงที่ผมเห็นก็คือ ต้นไม้ที่น่าจะแห้งตายไปแล้ว มันกลับมีต้นใหม่ออกจากต้นที่เคยเหี่ยวจนดูเหมือนจะตายอยู่แล้ว เรื่องนี้ก็ทำให้ผมคิดได้…
“ชีวิตคือการลากเส้นต่อจุด” ภรรยาเคยบอกกับผมในวันที่นั่งแปลคลิป สตีฟ จ็อปส์ สุนทรพจน์ที่ มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ดลงยูทูป
…ชีวิตคือการลากเส้นต่อจุด ในวันแรกของความเชื่อ เราอาจเดินเข้ามาด้วยการมองหาการช่วยเหลือ การอวยพร แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ความเชื่อต้องถูกพัฒนาผ่านการดำเนินชีวิตและการเลือก
ในวันแรกที่พระเจ้าทำพันธสัญญากับยาโคบ ยาโคบตอบกับพระเจ้าว่า จะเชื่อฟัง “ถ้าพระองค์….” ความเชื่อแบบมีเงื่อนไขนี้ บางครั้งเราก็มีไม่ต่างกัน เราอยากเชื่อฟังถ้าเราจะร่ำรวยขึ้นสักนิด เราจะเชื่อฟังถ้าสบายขึ้นอีกหน่อย แต่ถ้ามันลำบาก เราอาจเลือกทางของตัวเองบ้างก็เท่านั้น
แต่ในช่วงเวลาที่ยาโคบต้องเผชิญในช่วงต่างๆของชีวิต ปัญหาที่เรียกได้ว่าแทบจะย้อนรอยสิ่งที่เคยทำไว้ ทั้งที่เคยหลอกพ่อ แต่ตัวเองกลับโดนพ่อตาหลอก ทั้งเคยไม่เชื่อในกฎ แต่ก็ต้องยอมรับ ทั้งพยายามไขว่คว้าความหวังด้วยตัวเอง แต่ก็จบลงด้วยการยอมรับว่าความหวังนั้นมาจากพระเจ้า
ในการพบกับพระเจ้าครั้งที่สองที่เบธเอล ตอนนี้ยาโคบเรียนรู้แล้วว่า ความหวังมาจากพระเจ้า และเขาจะไม่ปล่อยไป
สำหรับยาโคบความซับซ้อนในแต่ละจุดของชีวิต ค่อยๆต่อกันจนเป็นเส้นที่นำไปสู่ข้อสรุปที่ปรับมุมมองทางความเชื่อ จาก “ถ้า…พระองค์” เป็น มีเพียงพระองค์ อย่างไม่มีเงื่อนไข
ผมเชื่อว่าเราต่างเคยประสบปัญหา และจบด้วยการขอบพระคุณ เป็นพยานให้เพื่อนๆฟัง แล้วเราก็พบปัญหาอีก แล้วก็ขอบพระคุณอีกครั้ง แล้ววันนี้เราก็กำลังอยู่ในอีกปัญหา เพียงแต่ยังไม่จบ ถ้าเราค่อยๆลากเส้นต่อจุดในชีวิตของเรา เราก็จะค่อยๆเห็นเส้นของพระคุณในชีวิต โดยมีปลายทางอยู่ที่ “ความหวัง” ในพระเยซูคริสต์
ต้นไม้ที่ดูเหมือนจะตายยังกลับมามีชีวิตได้ ผมไม่รู้ว่าปีที่ผ่านมาเราแต่ละคนเจอเรื่องอะไรกันมาบ้าง เหนื่อยจนแห้งเหมือนกับต้นไม้หรือเปล่า ในเวลาที่ผมวิ่งเหนื่อยที่สุด “ความหวัง” ยังทำให้วิ่งต่อไปได้ และยังคงวิ่งต่อไป
ถ้าช่วงนี้เหนื่อยจากงาน หรือ ช่วยงานที่โบสถ์พึ่งเสร็จ ก็หาเวลาพักผ่อนนะครับ ใช้เวลาระลึกถึงความหมายของวันคริสตมาส ไม่ใช่ว่าเราได้รับอะไร แต่เป็นเพราะอะไร พระเจ้าถึงรักเราจนมอบ “ความหวัง” นั้นให้กับเรา
ด้วยรัก ชูใจ และ เมอรี่คริสตมาสครับ
ท็อป