สวัสดีค่ะทุกคน
กำลังจะหมดปี 2017 แล้ว
วงปีที่เพิ่มมาในปีนี้พอจะทำให้เราได้ขอบคุณพระเจ้ากันยังไงได้บ้างคะ?
.
สำหรับจิ๊ก เมื่อมองย้อนกลับไปตอนเริ่มต้นปี สิ่งหนึ่งที่ตั้งใจก็คือ การวิ่งให้ได้อาทิตย์ละ 3 วัน (ย้อนกลับไปอ่านจุดเริ่มต้นของการวิ่งได้ที่นี่ค่ะ) ตามเป้าแล้วจิ๊กจะต้องวิ่งให้ได้ 156 ครั้ง แต่ทำไปได้ 116 ครั้ง ยังขาดอีก 40 ครั้ง ซึ่งก็คือวันคืนที่เอาชนะตัวเองไม่ได้นั่นเอง 555 มีอยู่ช่วงนึงขาดวิ่งนานเกือบ 2 เดือน ขอบคุณพระเจ้าที่ยังพาตัวเองกลับเข้าร่องเข้ารอยได้ ในขณะที่ปีนี้กำลังจะหมดไป เลยอยากจะมาแชร์ให้พี่น้องฟังว่า พระเจ้าสอนอะไรจิ๊กบ้างผ่านการวิ่งเพื่อเปลี่ยนตัวเองในครั้งนี้นะคะ
.
“วิ่งในลู่ของตัวเอง”
จิ๊กไม่ได้เป็นคนที่วิ่งได้เร็วหรือไกลเลยค่ะ มีน้องคนนึงที่รู้จักเริ่มวิ่งหลังจิ๊ก แต่ตอนนี้ไปวิ่งมาราธอน 3-4 ครั้งแล้ว หรือก็มักโดนถามบ่อยๆ ว่า ทำไมไม่วิ่งให้ไกลขึ้น เพิ่มระยะตัวเองหน่อยสิ ว่ากันตามตรงคือจิ๊กไม่ได้มีแรงจูงใจอยากจะวิ่งให้ได้อย่างคนอื่น เพราะเป้าหมายของจิ๊กคือการพาตัวเองออกไปวิ่งให้ได้ 3 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละ 20-30 นาทีพอ ไม่รู้ว่าตั้งเป้าให้ minimal เกินไปไหม แต่ไม่อยากจะบอกว่านี่เป็นปีแรกของชีวิตที่สามารถเอาชนะตัวเองจากการไม่ออกกำลังกายได้ในระยะเวลานานขนาดนี้เลยค่ะ 555
ถ้าว่ากันตามมาตรฐานชีวิตคนอื่น จิ๊กก็ยังคงไม่ได้เรียกว่าดี แต่ถ้าในชีวิตด้านอื่นๆ ที่เราไปเทียบกับคนอื่นก็คงดีกว่า แต่ว่า… เราต่างคนต่างมีลู่วิ่งของตัวเอง มีโจทย์ของตัวเอง สิ่งที่ตัวเองต้องเอาชนะไปให้ได้ เรามีความอ่อนแอที่คนอื่นเข้มแข็งกว่า และคนอื่นมีมุมอ่อนแอที่เราดีกว่า สิ่งที่พระเจ้าสอนก็คือ “วิ่งตามลู่ที่พระเจ้ากำหนดไว้สำหรับเรา”
“เพราะฉะนั้นในเมื่อเรามีพยานหมู่ใหญ่พรั่งพร้อมรอบด้านเช่นนี้แล้ว ก็ให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่และบาปที่เกาะแน่น ให้เราวิ่งด้วยความอดทนบากบั่นไปตามลู่ที่ทรงกำหนดไว้สำหรับเรา”
ฮีบรู 12:1
แต่พอเป็นเรื่องชูใจ กลับไม่เป็นอย่างนั้นสิคะ! ปีที่ผ่านมา เป็นปีที่จิ๊กเครียดกับการเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นสถิติในเฟสบุ๊ค หรือองค์กรอื่นที่ลุกขึ้นมาทำเพจ หรือแข่งกันทำคอนเท้นต์ดีๆ (ซึ่งอันที่จริงเป็นเรื่องดีสำหรับวงการคริสเตียน) เรื่องวิ่งเราไม่ค่อยแคร์ใครได้ แต่พอเป็นเรื่องงานกลับปล่อยวางไม่ได้ซะงั้น ทำให้ช่วงปีที่ผ่านมาในการทำชูใจ เปรียบเหมือนการวิ่งไปก็มองคนที่วิ่งข้างๆ ไปด้วย นอกจากเราจะวิ่งไม่ดีแล้วก็ยังวิ่งไม่สนุกด้วย ถึงแม้พระเจ้าจะส่งสารนี้มาให้จิ๊กได้เรียนรู้ขณะที่ออกวิ่ง แต่ชีวิตจริงกว่าจะเอาชนะความรู้สึกนี้ได้ในแต่ละวันไม่ใช่เรื่องง่าย แม้กระทั่งวันนี้ก็ยังคงต่อสู้กับการโฟกัสในลู่วิ่งของตัวเองอยู่ค่ะ
…………..
“ชีวิตคือการวิ่งทางไกล การรับใช้ก็เช่นกัน”
เวลาเราวิ่งเหนื่อยๆ เสียงที่ได้ยินบ่อยที่สุดในหัวตัวเองก็คือ “พอเหอะ” หลังจากนั้นจะเป็นช่วงวัดใจว่าจะเอาไงต่อถ้ายังวิ่งไม่ถึงเป้าที่ตั้งใจ จะฝืนตัวเองต่อหรือจะหยุดแค่นี้… และแปลกมากว่าจิ๊กเจอกับเสียงนี้บ่อยมากๆ ค่ะ อาจเพราะจิ๊กยังไม่สามารถทำสิ่งนี้ให้กลายเป็นนิสัย ยังไม่รู้สึกชิน หรือสนุกกับมันได้นาน มีสิ่งเดียวที่เป็นแรงจูงใจให้ตัวเองในการวิ่งต่อก็คือ เพราะความหวังใจว่า เราจะพบกับตัวเองที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ช่วงปีที่ผ่านมาจิ๊กเองก็เจอช่วงวัดใจในการรับใช้ไปหลายครั้งค่ะ ต้องสารภาพกับพี่น้องว่า จิ๊กเองก็คิดว่าจะ “พอเหอะ” ไปหลายครั้งแล้ว ด้วยความกดดันที่ตัวเองสร้างขึ้นเอง และจากสถานการณ์ต่างๆ ที่เจอ ตัองขอบคุณพระเจ้าที่มีสามี, น้องในทีม, ผู้ถวาย, พี่เชษฐ์ที่เป็นที่ปรึกษา, คนในแฟนเพจที่คอยส่งเสียงให้กำลังใจมาเป็นระยะ ทำให้ยังคงประคองตัวให้ผ่านจุดวัดใจนั้นไปได้ (ต้องขอบคุณคำอธิษฐานเผื่อและกำลังใจจากทุกคนมา ณ ที่นี้นะคะ) และยังคงมีจุดวัดใจอีกมายมายที่รออยู่ข้างหน้า
สิ่งที่พระเจ้าสอนก็คือ “เหนื่อยก็พัก ไม่ใช่เหนื่อยแล้วเลิก” ถ้าคิดว่าวิ่งเร็วไปแล้วเหนื่อย ก็ลดความเร็วลงมา ถ้าคาดหวังเกินจริงก็ต้องลดระดับลงมา จะเดินก็ไม่มีใครว่าแต่อย่าเลิก อย่าหยุดวิ่ง การวิ่งทางไกลและการรับใช้ระยะยาวนั้น ให้ภาพเดียวกันก็คือ มันอาศัยความต่อเนื่องและความสัตย์ซื่อเป็นหลัก เป้าหมายอาจเป็นแรงจูงใจแต่แก่นของการวิ่งทางไกล คือการบากบั่นไปให้ถึง คือการเอาชนะตัวเองในแต่ละเมตรที่พาตัวเองไปข้างหน้า คือการสัตย์ซื่อกับภารกิจที่ให้สัญญาไว้และไม่เลิกล้มไปก่อน เหมือนที่อ.เปาโลบอกไว้
“มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว… ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ… แต่เราได้แค่ไหนแล้ว ก็ให้เราดำเนินตรงตามนั้นต่อไป”
ฟป.3.12-16
ถ้าไม่ได้วิ่งก็คงไม่เห็นภาพของการ “บากบั่นมุ่งไป” ที่อ่านผ่านตามานับสิบปี นี่พระเจ้าคงกำลังสร้างกล้ามเนื้อความเชื่อของเราให้แข็งแรงอยู่สินะ พูดถึงตรงนี้ก็อยากหนุนใจพี่น้องที่กำลังท้ออย่างใดอย่างหนึ่งอยู่นะคะ กล้ามเนื้อร่างกายต้องใช้เวลาในการสร้างฉันใด กล้ามเนื้อฝ่ายวิญญาณก็ฉันนั้น ถ้าเลิกซะกลางคันเราก็คงไม่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าถัดไป ถัดไป ถัดไปอีก วันครบรอบ 1 ปีของการวิ่ง ระยะทางรวมที่จิ๊กวิ่งไปทั้งปียังทำให้ตัวเองตกใจว่า โห นี่เราวิ่งไป 240 กว่าโลแล้วเหรอ! ชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าจะวิ่งไกลขนาดนี้มาก่อน ดังนั้นสิ่งที่ขอบคุณพระเจ้าในปีที่ผ่านมาก็คือการยังไม่เลิกวิ่ง และยังไม่ได้เลิกทำชูใจนี่แหละค่ะ!
…………
“เป้าหมายทำให้มีพลัง แต่อย่าเยอะ”
ช่วง 6 เดือนแรกของการวิ่ง จิ๊กสามารถเดิน-วิ่งได้เกือบ 4 โลอยู่แล้วค่ะ แต่พอมีช่วงนึงที่เสียหลักหยุดไป หลังจากนั้นก็วิ่งไม่ถึง 4 โลอีกเลย จนหลังๆ ก็เริ่มเบื่อๆ เซ็งๆ และวิ่งวนไปวนมาแค่ 2-3 โลภายใน 20-25 นาที จนเมื่อเดือนก่อนตั้งใจใหม่กับตัวเองว่า ต้องเพิ่มความท้าทายให้ตัวเองหน่อยละ เลยตั้งเป้าใหม่ว่า จะวิ่งให้ได้ 2 โลใน 15 นาที ถ้าขยับตรงนี้ได้ก็น่าจะเพิ่มระยะได้ภายในครึ่งชั่วโมง
ตอนตั้งเป้าไปก็คิดว่าน่าจะทำได้ไม่ยาก แต่พอเปลี่ยนจากการวิ่งชิวๆ อยู่ 1 กิโล 10 นาที มาวิ่งภายใน 7 นาทีนี่คือแทบเดินไม่ได้เลย จากที่เคยเดินๆ วิ่งๆ หยุดๆ ก็เลยต้องบอกตัวเองอย่าพึ่งหยุด เดี๋ยวไม่ทัน 555 วิ่งไปหูก็คอยฟังเสียงจากแอพที่จะบอกว่าครบ 1 กิโลรึยัง กี่นาทีแล้ว 555 คนเรานี่ก็แปลกนะคะ น้อยไปก็เบื่อ มากไปก็ท้อ แต่พอมีเป้าที่พอเหมาะมันก็ทำให้การวิ่งชิวๆ เบื่อๆ ของจิ๊กดูมีอะไรขึ้นมาทันที ตอนนี้ก็ทำได้ที่ 1 กิโล 8 นาทีกว่าแล้วค่ะ
“เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ได้วิ่งอย่างไม่มีจุดหมาย ข้าพเจ้าไม่ได้ต่อสู้เหมือนคนชกลม เปล่าเลย ข้าพเจ้าฝึกฝนตนเองให้อยู่ในการควบคุม เพื่อว่าหลังจากที่ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่คนอื่นแล้ว ข้าพเจ้าเองจะไม่ขาดคุณสมบัติที่จะรับรางวัล” 1 โครินธ์ 9:27
การรับใช้ในชูใจปีนี้ เรามีเป้าเยอะพอสมควรค่ะ จำได้ว่าตอนต้นปีตื่นเต้นมากกับสิ่งที่จะทำในปีนี้ วางแผนว่าจะออกคอลัมน์เพิ่ม 7 หัว, จะทำ Workshop 6 อัน ,จะมีคอนเท้นต์วีดีโอ, จะหาผู้ถวายประจำเพิ่ม, จะพัฒนาทีมให้มีระบบ บลาๆ สุดท้าย… burn out ไปไม่รู้กี่รอบค่ะ 555
สิ่งที่ทำให้ได้เรียนรู้ก็คือ เป้าหมายที่ดีคือเป้าหมายที่เราโฟกัสกับมันได้ และเหมาะสมกับขนาดของตัวเรา ปีนี้จึงเป็นบทเรียนสำหรับจิ๊กมากว่า “เยอะไปมันไม่ดี” โฟกัสแตกซ่านมากค่ะปีนี้ ทีมงานเราก็ไม่ได้เรียกว่าพร้อมจะรองรับกับเป้าหมายที่เยอะขนาดนั้น แถมยังมีเรื่องความสัมพันธ์ที่ต้องคอยประคับประคองดูแลกันไปอีก ไหนจะเงินถวายที่ลดลง สถิติตก โอ้ย… สุดท้ายมาพอมานั่งรีวิวตัวเองเมื่อตอนสิ้นปีเลยเขียนไว้ว่า ไม่ชอบตัวเองในปีนี้เพราะเครียดเกินไป และที่สำคัญที่สุดคือเราประเมินตัวเองไม่เป็น ขอบคุณพระเจ้าสำหรับบทเรียนนี้ค่ะ
………….
ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี เราก็จะขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณีใช่ไหมคะพี่น้อง หวังใจว่าพี่น้องเองจะได้ใช้เวลาส่วนตัวช่วงท้ายปี คิดและใคร่ครวญตัวเองในปีที่ผ่านมาเช่นกันนะคะว่า มีอะไรบ้างที่ขอบคุณพระเจ้า มีอะไรบ้างที่พระเจ้าสอน และมีอะไรบ้างที่เราแบ่งปันเพื่อจะชูใจคนอื่นได้ต่อบ้าง
สุดท้ายนี้ ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน และขอบคุณทุกคนที่อยู่ร่วมรับใช้ด้วยกันมาตลอดปี 2017 นะคะ แล้วจะมาเล่าให้ฟังในคราวหน้าค่ะว่า ชูใจจะปรับทิศทางยังไงต่อในปีหน้าบ้าง วิ่งไปต่อด้วยกันนะคะ
จิ๊ก
Choojai Founder
Related Posts
- Author:
- บก.ชูใจ ผู้ใฝ่ฝันจะชูใจน้องๆ จากความพลาดของตัวเอง