เรื่องราวต่อไปนี้เป็นคำพยานเรื่องยาวที่ต่อมาจากตอนก่อนหน้าสามารถอ่านตอนที่ผ่านๆ มาได้ทาง >>>> https://choojaiproject.org/category/articles/life-series/faith-hope-love-diary/
เชียงใหม่, วันพฤหัส
4 ม.ค. 2018
วันนี้เป็นวันครบรอบที่สามสิบห้า ทุกปีที่ผ่านมาผมมักใช้เวลาเงียบๆ เหมือนวันส่วนตัว จึงมีเพียงเพื่อนสนิทและครอบครัวเท่านั้นที่ยังคงจำได้ และผมก็รู้สึกดีมากถ้าคนกลุ่มเล็กๆ นี้จะส่งข้อความมายินดี
เพิ่งเลยเที่ยงคืนมาไม่นาน ข้อความในไลน์ส่งเสียงเรียกผมที่ยังไม่ได้นอนให้สนใจว่า ใครส่งข้อความมาดึกขนาดนี้
“แฮปปี้เบิร์ทเดย์นะ ขอพระเจ้าอวยพร”
ข้อความจากพ่อเป็นข้อความอวยพรแรกของวัน พ่อส่งข้อความให้ผมทางไลน์ที่เพิ่งหัดใช้ รูปโปรไฟล์ของพ่อยังเป็นกราฟิกภาพเงาคนขาวๆ ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนด้วยซ้ำ
ผมยิ้มดีใจที่พ่อส่งข้อความอวยพรให้ผม แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แค่ส่งรูปน้องสาวสองคนให้พ่อได้คิดถึง ไว้ตอนเช้าพรุ่งนี้ผมค่อยโทรไปหา
แต่แล้วผมก็ไม่มีโอกาสได้ทำ
ถ้ารู้ว่านั่นจะเป็นประโยคสุดท้ายของพ่อ ผมคงไม่ทำอย่างนั้น และถ้าผมรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็คงรีบขับรถไปหา ไปกอดพ่อเพื่อบอกว่ารักแค่ไหน ขอบคุณที่ดูแล และเป็น ห่วงมาเสมอ แต่เพราะเราไม่รู้ว่าเวลาสุดท้ายจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ มันจึงไม่เคยเกิดขึ้นเลยในความเป็นจริง
ความรู้สึกนี้ติดค้างและเจ็บปวด ในวันที่บอกกับพ่อไม่ได้อีก พ่อจะคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไรที่ผมไม่ได้ตอบ ผมผิดหวังในตัวเอง เพิ่งรู้ว่ามีสิ่งที่ควรทำตอนที่สายไป ทุกวันหลังจากนั้นผมพยายามกระซิบบอกพ่อที่นอนอยู่บนเตียงว่าขอบคุณที่ส่งข้อความมา แต่พ่อไม่ตอบ บางครั้งผมก็อยากขอแค่เพียงโอกาสเป็นชั่วนาทีสั้นๆ ที่จะได้คุยกันอีก จนตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าพ่อได้ยินไหม
ผมจมอยู่กับความเสียใจในทุกๆ วันที่ไปเยี่ยม ความเสียใจที่ไม่ได้กล่าวแม้คำอำลา
แล้วผมก็ค้นพบซอกอีกมุมในชีวิต
วันนั้น ผมทิ้งพ่อไว้แล้วมองหาความรักความพึงใจจากคนรอบข้าง จนลืมคนสำคัญไป จนวันที่ไม่มีเขาอีกแล้วจึงเพิ่งรู้ว่าเขามีค่ากับความรู้สึกเรามากแค่ไหน
…
นั่นทำให้ผมเห็นตัวเอง
ผมเห็นตัวเองใช้เวลาราวกับว่าจะมีพรุ่งนี้เสมอ เหมือนกับว่าวินาทีข้างหน้าจะไม่เห็นตัวเองประสบอุบัติเหตุกลางถนน หรือเส้นเลือดในสมองแตกอย่างฉับพลัน แล้วถ้าหากเกิดเหตุการณ์ที่เกินควบคุมจนหมดทางจึงค่อยเริ่มคิดถึง “โอกาสที่สอง” ที่อยากขอโอกาสแก้ตัว ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีหรือเปล่า
ผมเคยคิดว่าเรามีเวลาเสมอ ผมเคยคิดว่าชีวิตควบคุมได้
แต่ที่จริงเราควบคุมอะไรไม่ได้ และเวลาก็ไม่ได้อยู่กับเราถาวร
ชีวิตของพ่อเตือนสติผมให้มองดูตัวเอง ผมเลยเข้าใจว่าผมนี่แหละที่กำลังได้รับ “โอกาสที่สอง” โอกาสที่เรายังสามารถแสดงความรักและดูแลคนที่อยู่ใกล้ ทั้งครอบครัวและเพื่อนๆ เป็นโอกาสที่จะเลือกทำบางสิ่งบางอย่างได้ในเวลาที่จำกัดและไม่แน่นอน
ในโลกที่ชีวิตไม่มั่นคงและควบคุมไม่ได้นี้
จะมีอะไรที่มีคุณค่ากว่าการแสดงความรักให้กับคนอื่น
…
ความรักของพ่อช่วยผมไว้
ตลอดความทรงจำที่มี พ่อมอบความรักให้กับผมเสมอมา และผมรู้ว่าพ่อคงไม่อยากให้ผมอยู่กับความรู้สึกแบบนี้แน่ เพราะทุกอย่างที่พ่อทำเพื่อครอบครัวล้วนมีเป้าหมายเดียวมาโดยตลอด นั่นก็เพื่อ “ให้พวกเรามีความสุข” ผมผูกความเจ็บปวดเอาไว้ และสุดท้ายพ่อก็ช่วยคลายมันออก แม้พ่อจะไม่ได้อยู่ตรงนี้อีกแล้ว แต่ความรักของพ่อยังช่วยผมเอาไว้ ผมเลือกที่จะใช้ชีวิตให้มีความสุขอย่างที่พ่อตั้งใจใช้โอกาสที่ยังมีอยู่ดูแลคนที่เรารัก และรักคนอื่นต่อไปจากนี้ให้มาก
_______________
เชียงใหม่, วันศุกร์, 22.00 น.
9 มี.ค. 2018
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมตัวอักษรหน้าจอ “แม่”
แม่โทรมาจากโรงพยาบาลด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะนิ่งเฉย
“หมอบอกว่า สัญญาณป๊าไม่ค่อยดี หมออยากคุยด้วย”
ผมเข้าใจได้ในทันที เหมือนรู้ดีว่ากำลังจะเจอกับอะไรเลยรีบออกจากบ้านไปที่โรงพยาบาล ภาพการตัดสินใจในครั้งก่อนวิ่งกลับเข้ามาหาอีกครั้ง จะเป็นเหมือนครั้งที่แล้วไหม หรือนี่อาจถึงเวลาที่เราทุกคนรอคอย
ผมมาถึงหน้าหวอดผู้ป่วยที่พ่อพัก ผลักประตูไม้หน้าห้องพักที่ปิดอยู่เพราะเลยเวลาเยี่ยม พบแม่และน้องยืนรอพร้อมกับคุณหมอที่ข้างเตียง
คุณหมอที่ยืนอยู่ตอนนี้ก็เป็นแพทย์ประคับประคอง จึงเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี ซึ่งคราวนี้หมอแนะนำเราไม่ต่างจากครั้งที่แล้วเช่นเดียวกับหมอแอล
“ถ้าทางบ้านพร้อม จะเลือกพาพ่อกลับบ้านก็ได้นะคะ”
ทางเลือกเหมือนครั้งที่แล้ว แต่ประสบการณ์ทำให้พวกเราไม่ได้ตื่นตระหนกอย่างครั้งก่อน
การประสานงานระหว่างโรงพยาบาล รถพยาบาล และการเดินทางกลับ เป็นไปอย่างเรียบร้อย
พ่อกลับไปนอนบนเตียงเดิมที่บ้านตอนตีสามในท่าเหมือนคนหลับในที่ที่คุ้นเคย กระทั่งเวลาผ่านไปจนเช้า ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ในใจเราทุกคนรู้ว่าเวลานั้นกำลังจะมาถึง
_______________
เชียงใหม่, วันเสาร์
10 มี.ค. 2018
ผม น้องสาว และแม่ นั่งอยู่ล้อมรอบเตียงพ่อ คืนนี้ไม่มีใครหลับ พ่อก็อาจยังไม่หลับด้วย เพราะเราร้องเพลง เป็นเพลงที่พ่อเคยร้องในโบสถ์ เราหัวเราะกับการเล่าเรื่องราวต่างๆในความทรงจำที่มีร่วมกัน ความเหนื่อยที่ผ่านมาหายไปราวกับกำลังฮึดสู้ช่วงสุดท้ายเมื่อเห็นเส้นชัย ไม่มีความรู้สึกติดค้างใดๆในการรอคอยที่ผ่านมา
เรากำลังไปส่งพ่อด้วยกันในช่วงเวลาสุดท้ายที่ทุกคนหัวเราะ และร้องไห้ไปพร้อมๆ กัน
พ่อที่ติดค้างอยู่ตรงกลางระหว่างเส้นแบ่งของความมีชีวิตกำลังจะก้าวข้ามไปอีกฝั่ง การเดินทางของพ่อเพิ่งเริ่มต้น และเราที่เหลือก็กำลังยืนเพื่อส่งพ่อให้ไปต่อพร้อมกับบทเพลงร่ำลา เมื่อถึงเวลาทุกอย่างก็ต้องดำเนินไป
สุดท้าย พ่อหลับไปอย่างสงบเหมือนกับที่ผ่านมา ปราศจากลมหายใจตอนรุ่งเช้าของวันที่ 11 มีนาคม
ชั่วโมงหลังจากนั้นเราทำตามขั้นตอนที่เตรียมตัวมาเป็นเดือน น้องสาวและแม่เปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดตัว ส่วนผมโกนหนวดของพ่อเพื่อจัดเตรียมให้พร้อมสู่ขั้นตอนต่อไป รอจนเช้าเพื่อประสานงานกับผู้ใหญ่บ้านและงานพิธีต่างๆ อาจฟังดูแปลกที่ควรจะเศร้า แต่พวกเรากลับมีความสุข และหัวเราะราวกับว่าพ่อยังรับรู้อยู่ตรงนั้น
ในที่สุดทุกอย่างก็เตรียมเสร็จสมบูรณ์ก่อนจะเช้า ส่ิงสุดท้ายที่พวกเราเห็นตรงกันเป็นภาพสุดท้ายคือ พ่อสงบนิ่งในชุดที่พ่อชอบใส่ นอนบนเตียงที่คุ้นเคย และยิ้มอย่างมีความสุข
_______________
ส่งท้าย
มองทางหนึ่ง พระเจ้าอาจเตรียมชีวิตใครคนใดคนหนึ่ง ให้ได้เรียนรู้เรื่องราวบางอย่างมาก่อนหน้านั้นเพื่อเป็นคำตอบให้กับเราในเวลาที่เหมาะสม เวลาที่พระเจ้าวางไว้ไม่ได้เท่ากันสำหรับแต่ละคน สิ่งที่เราทำได้คือมีความหวังและรอคอยการช่วยเหลือของพระเจ้าที่จะมาในรูปแบบที่เราไม่รู้ จากคนที่เราไม่รู้ ในเวลาที่เราไม่รู้
เช่นเดียวกับเวลาที่ผ่านมา ประสบการณ์จากผู้เขียนหนังสือมานาหลายเรื่องได้ให้กำลังใจผม ช่วยให้ผมได้คิดและยอมรับถึงความสูญเสียที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน
ผมเป็นแค่คนหนึ่งที่ผ่านมาได้ด้วยความหวัง หากประสบการณ์หนึ่งของความรักนี้สามารถช่วยอีกคนที่ไม่รู้จักได้ ส่ิงที่ผมจะทำคือจดบันทึกเรื่องราวของผมและพ่อ เรื่องราวของความเชื่อ ความหวัง และ ความรัก
เพราะทุกคนควรได้รับโอกาสที่สอง
…
อยู่ๆ ผมก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
จะว่าไป วันสุดท้ายที่ผมได้เจอพ่อนอกโรงพยาบาล พ่อก็บอก…
_______________
เชียงใหม่, วันอาทิตย์
31 ม.ค. 2017
เราไปกินข้าวด้วยกันเป็นครอบครัว พ่อนั่งตรงข้ามผม ก่อนจะบอกกับผมว่าต้องลงกรุงเทพฯเพื่อไปงานศพน้องชายของพ่อ เขาพูดด้วยน้ำเสียงปนความเศร้าอยู่ภายใน เมื่อก่อนหน้านี้ไม่นานกำลังวางแผนว่าจะไปเยี่ยมพี่น้องที่ไม่ได้เจอกันหลายปี แต่กลายเป็นว่าต้องลงไปเพราะงานศพแทน
ทำให้บรรยากาศส่งท้ายปีอึมครึม ผมไม่ค่อยได้คุยอะไรกับพ่อมากนัก เมื่อกินข้าวเสร็จเราต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ผมกอดลาพ่อ และพ่อก็ตอบรับด้วยการกอดเบาๆ และกระซิบที่ข้างหู
“ดูแลม๊ากับน้องๆ ด้วยนะ” ป๊าบอก
“ครับป๊า ไม่ต้องห่วง” ผมตอบ
คืนนั้นเราแยกย้ายกลับบ้าน ผมเปิดมานาฯ วันสุดท้ายของปี 2017 ขึ้นอ่าน ก่อนนอน
ขณะมองไปยังปีที่อยู่ข้างหน้า
จงจำไว้ว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อเสมอและตลอดไป
จบบริบูรณ์แล้วค่พสำหรับ #เด็กสมัยนี้ ตอน Faith Hope Love ไดอารี่ : ขอขอบคุณมานาประจำวันที่เอื้อเฟื้อบทเฝ้าเดี่ยว และสนับสนุนการเผยแพร่บทความชุดนี้ มีความคิดเห็นอย่างไรสามารถ Inbox มาหาพี่ชูใจได้เหมือนเดิม และหากใครยังไม่ได้อ่านเรื่องเต็มๆ ทั้ง 3 ช่วง Faith/Hope/Love ตามอ่านได้ที่ >>> Faith Hope Love ไดอารี่
Related Posts
- Author:
- เนื้อแท้เป็นคนรักหนัง เบื้องหลังดีไซน์เก๋ๆ สวยๆ ของเว็บชูใจ คือฝีมือของเค้า นักออกแบบตัวยงผู้รักบอร์ดเกมเป็นชีวิตจิตใจ และอยากเห็นงานสร้างสรรค์คริสเตียนไทยพัฒนาก้าวไกลไม่แพ้ชาติไหนในโลก
- Illustrator:
- Rhoda Phu
- กอง บก. น้องเล็กคนใหม่คนชูใจ แม้เรียนมาด้านออกแบบจิลเวอรี่แต่ก็ยังมีใจรักการออกแบบสิ่งทอ บางวันสอนเสริมศิลปะ บางวันก็ตามหาความฝัน
- Editor:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน