อาจด้วยความที่พ่อแม่ทำงานในสภาคริสตจักร โตมาในครอบครัวคริสเตียน เรียนโรงเรียนคริสเตียน และอยู่ชมรมคริสเตียน จึงทำให้ผมไม่ชอบมาโบสถ์
_______________
โบสถ์ในสายตาของเด็กมัธยมอย่างผมเป็นสถานที่ที่อนุชนหาเรื่องมาจีบกัน พูดก็พูดเถอะ หลายคนตอนอยู่โบสถ์ดูเป็นเด็กดีมาก แต่พอเจอข้างนอกกลับเป็นคนละคน ความจริงหลายอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ทำให้ผมรู้สึกผิดหวังสะสม ยิ่งพอบวกกับความเบื่อที่มีมาอยู่ก่อนเลยทำให้ผมพยายามมองหาสังคมใหม่
แล้วยังมีประเด็นเรื่องความอึดอัดในช่วงวัยรุ่นที่รู้สึกเหมือนถูกจับตามองตลอดเวลา ซึ่งการที่ใครๆ ต่างก็รู้จักพ่อแม่กดดันให้ผมเครียดจนหาทางออกโดยการย้ายตัวเองไปทำงานไกลถึงชลบุรีอยู่พักนึง ก่อนจะตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทที่กรุงเทพฯ และเริ่มเข้าทำงานในบริษัทส่งออกเป็นลำดับถัดไป
เส้นทางชีวิตที่ห่างไกลของผมดูจะเรียบง่าย
จนกระทั่งพ่อบอกว่าอยากให้ผมกลับมาอยู่ที่บ้านเพื่อดูแลแม่
…
ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เริ่มเกิดขึ้นในใจเมื่อผมกลับมาเปิดบริษัทของตัวเอง เป็นงานด้านส่งออกอย่างที่เคยทำ แต่เมื่อเทียบกับตอนที่ยังเป็นพนักงานอยู่ชลบุรีแล้ว งานสีเทาๆ ที่ผมรู้สึกว่าต้องทำเพื่อบริษัทอย่าง “การรับรองลูกค้า” ที่ต้องพาลูกค้าชาวต่างชาติไปสังสรรค์ หรือพาไปรับบริการประเภทหนึ่ง (ที่ก็ไม่ถูกกฎหมายเสียทีเดียว) กลับเป็นงานที่มันดูจะมืดดำมากขึ้น
ข้ออ้างที่เคยบอกตัวเองว่า “ถูกสั่งให้ทำ” หรือ “เพื่อประโยชน์ส่วนรวม” ในเวลานี้ดูจะเป็น “การทำเพื่อตัวเอง” เสียมากกว่า
“เพื่อเงิน เราทำได้ขนาดไหนกันนะ?”
ผมนึกรู้สึกรังเกียจตัวเองและสะอิดสะเอียนจิตใจข้างในที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ได้ กลายเป็นความรู้สึกไม่มีคุณค่า มันว่าง มันกลวง เหมือนเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ที่กำลังดูดกลืนผมเข้าไปทีละน้อย
ทว่า จากนั้นไม่นานพระเจ้าก็เรียกผมไว้
_______________
ขอเล่าย้อนเสียหน่อยว่านับตั้งแต่ย้ายออกไปอยู่คนเดียว ผมก็ไม่ได้ไปโบสถ์ที่ไหนอีกเลย แต่รอบนี้พอกลับมาอยู่บ้านแล้วเกิดเบื่อๆ กลับนึกถึงโบสถ์เป็นที่แรกเสียอย่างนั้น
ระหว่างนั้นก็มีคนในโบสถ์ชวนไปรับใช้ที่ค่ายผู้พิการ
ผมรับปากไปอย่างเสียไม่ได้โดยบอกไปว่าจะอยู่แค่วันเดียว
พอถึงเวลาจริง พี่ที่ทำหน้าที่แปลเกิดป่วย ผมเลยได้โอกาสทำหน้าที่แปลภาษาในค่าย สรุปคืออยู่แปลยาวไปจนจบ 5 วัน เกิดความรู้สึกประหลาดใจที่พระเจ้าเลือกใช้ อันที่จริงเพียงแค่เรายอมไป พระเจ้าก็จะมีหนทางในการใช้พระพรของเราเสมอ อย่างที่ผมได้ทำงานประชาสัมพันธ์ติดต่อลูกค้าต่างชาติมาตลอด ใครจะคิดว่าประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากการทำงานที่ผมไม่ค่อยภูมิใจกับมันเท่าไหร่จะได้เป็นพระพรในการรับใช้ในภายหน้า
…
หลังจบค่าย คนที่ไปค่ายด้วยกันและรู้ว่าผมแปลสดได้ก็เริ่มขอแปลให้ที่โบสถ์ เพราะอย่างนั้นเอง ผมเลยมีโอกาสไปโบสถ์มากขึ้น
จนกระทั่งมีกิจกรรมอบรมยาวสองอาทิตย์ที่โบสถ์
ขณะที่ผมได้โอกาสเข้าไปนั่งเรียนด้วยก็ได้รับข่าวร้ายติดกันถึงสองครั้ง
ครั้งแรก คือโทรศัพท์จากแม่ที่บอกว่ารุ่นพี่ที่เคยสนิทด้วยสมัยทำงานอยู่ชลบุรีเสียชีวิต ผมตกใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตลอดช่วงเวลาท่ีเจอกัน ผมไม่เคยประกาศเรื่องพระเจ้ากับเขาเลย ซ้ำยังพร่ำบ่นว่าชีวิตของผมมันเต็มไปด้วยความน่าเบื่อ
ครั้งที่สอง คือหลังคาบเรียนอบรมเรื่องการให้คำปรึกษาสิ้นสุดลง ผมก็ไปงานศพของพี่ที่โบสถ์ที่ผมเพิ่งรู้ข่าวเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าเขาเสียชีวิตด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตกเพราะความเครียด เขาเป็นคนใกล้ตัวที่เคยมาช่วยงานที่บ้านผมตั้ง 10 กว่าปี ได้ใช้เวลาด้วยกันมากพอสมควร แต่กลับไม่เคยรู้เลยว่าลึกๆ เขากำลังมีปัญหา ทั้งยังไม่เคยใส่ใจพยายามรับรู้ถึงความรู้สึกของเขา หรือไม่เคยหนุนใจเขาเลยสักครั้ง
“เราเจ็บใจที่ไม่เคยประกาศกับเขาเลย
เราบ่นแต่ว่าชีวิตของเราห่วยขนาดไหน แย่ขนาดไหน
แต่เราไม่เคยพูดถึงความรักของพระเจ้าที่มีให้
จนกระทั่งไม่มีโอกาสได้บอกอีกแล้ว”
เหมือนกับพระเจ้ากำลังบอกกับผมโดยตรงว่าการเป็นคริสเตียนต้องมีทั้งการรับใช้ และการประกาศควบคู่กันไป หลังจบหลักสูตรอบรมนั้นผมเลยคิดอยากจะไปเรียนพระคัมภีร์เต็มตัว อธิษฐานดีแล้วก็ตัดสินใจบอกภรรยา
แน่นอนว่าภรรยาแปลกใจ และสิ่งที่ตามมาคือความกังวล… กังวลว่าจากที่เคยมีรายได้หลายหมื่นด้วยบริษัทจะกลายเป็นศูนย์เพราะต้องใช้เวลาทั้งหมดกับการเรียน จนผมกลับเข้าห้องไปเปิดพระคัมภีร์อ่าน แล้วพระเจ้าบอกกับผมว่า
“อย่ากังวล อย่ากลัวเลย เราจะสร้างขึ้นใหม่”
คืนนั้นขณะทำใจกำลังจะบอกกับภรรยาอีกครั้งเรื่องการตัดสินใจเรียนพระคัมภีร์ ก็พบว่าภรรยากำลังอ่านพระคัมภีร์ เขาบอกผมว่ารู้สึกเครียดเลยนั่งเฝ้าเดี่ยว และพระเจ้าได้บอกกับเขาผ่านข้อพระคัมภีร์ว่า “อย่ากังวลเลย”
ข้อพระคัมภีร์ที่คล้ายกันและสื่อสารออกมาเป็นอย่างเดียวกันยืนยันกับผมว่าพระเจ้าเปิดทางให้ลอง ส่วนหนทางจะเป็นอย่างไรไม่อาจรู้ แต่ผมเชื่อว่าพระเจ้าจะทำให้มันเกิดประโยชน์ในการรับใช้และการประกาศอย่างที่พระองค์สร้างภาระใจนี้ให้ผม
_______________
ก่อนนี้ ผมมีเงินมากมาย แต่กลับมองไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ผมทำ
ส่วนตอนนี้ พระเจ้าให้ “งาน” ที่ผมไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงแน่
แต่ที่แน่ๆ คือผมรู้สึกว่า “ตัวผมมีคุณค่าเหลือเกิน”
สุดท้ายนี้อยากเป็นพยานว่า แม้บางครั้งเราอาจรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะสม หรือไม่มีความสามารถเพียงพอ แต่หากเรายอมพระเจ้าจริงๆ ก็จงเชื่อว่า พระเจ้าจะมีหนทางใช้เราแน่ แม้จะเป็นทางที่ตัวเราเองอาจคิดไม่ถึงก็ตาม
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
(ด้วยรัก และชูใจ)
#ชูใจชวนแชร์ เพราะเรารู้ว่าทุกคนมีเรื่องเล่า… ชูใจจึงชวนมา ‘ส่งต่อ’ เรื่องราวที่พระเจ้าทรงทำในชีวิตของคุณเพื่อ ‘ชูใจ’ คนอื่นต่อไป <3 อ่านรายละเอียดได้ที่ >> https://choojaiproject.org/choojai-forward
Related Posts
- Editor:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน