EP.5

เมื่อเผชิญวิกฤติวัยกลางคน


ผู้เขียน: John Piper

ต้นฉบับ: My Midlife Crisis and Counsel for Yours


ผมคิดว่าตอนนั้นผมอายุประมาณสี่สิบ เบน เพทเทอร์สัน ศิษยาภิบาลคริสตจักรเพรสไบทีเรียนในเมืองเออไวน์ขอให้ผมไปเทศนาแทน โดยเบนเสนอให้ผมและครอบครัวไปนอนที่บ้านของเขาในช่วงที่เขาไม่อยู่จะได้ถือโอกาสว่ามาพักร้อนไปด้วย… ผมตกปากรับคำ

 

ในช่วงเวลานั้นมีสองเหตุการณ์เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ผมจำได้ดีและน่าจะเป็นสัญญาณเตือนให้ผมติดสนิทกับพระเยซูในเวลาที่ย่างเข้าสู่วัยกลางคน

 

สิ่งแรกที่ผมประสบคือ ความรู้สึกหดหู่อย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ เช้าวันหนึ่งขณะที่นั่งอยู่ตรงบันไดขึ้นชั้นสองของบ้าน ผมเริ่มร้องไห้ ภรรยาของผมเดินมาเจอและตกใจมาก เพราะผมไม่ใช่คนที่ร้องไห้ง่าย ๆ เธอถามผมว่า “เกิดอะไรขึ้น” ผมได้แต่เพียงตอบว่า “ผมไม่รู้เหมือนกัน” ขนาดเพื่อนผมยังแปลกใจตอนที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เขาได้แต่ส่ายหน้าและพูดว่า “ผมไม่เคยเจออะไรอย่างนั้นมาก่อน” ผมตอบไปว่า “ดีแล้ว ผมเองก็ไม่อยากเป็นอย่างนี้เลย”

 

ส่วนเหตุการณ์ที่สองคือ หลังจากที่ผมได้เทศนาที่คริสตจักรของเบนแล้ว อยู่ ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทักผมและถามว่า “คุณอายุเท่าไรแล้ว” ในตอนแรกผมประหลาดใจมาก แต่พอรู้ว่าชายคนนั้นคือ จิม คอนเวย์ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “ผู้ชายและวิกฤตวัยกลางคน” (ซึ่งผมคิดว่าเป็นหนังสือที่มีประโยชน์และยังมีขายอยู่) ผมจึงคิดได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมคงเกี่ยวข้องกับวิกฤตวัยกลายคนอย่างแน่นนอน

จิมถามผมว่า “คุณอายุเท่าไรแล้ว” ผมตอบว่า “สี่สิบ” เขายิ้มและบอกว่า “คุณยังเหลืออีกหนึ่งปีครึ่งนะ” จิมกำลังหมายความว่า ผมอาจต้องเผชิญกับวิกฤตวัยกลางคนนี้ไปอีกสักปีครึ่ง เพราะผู้ชายส่วนใหญ่จะผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปได้เมื่ออายุ 41 ปี ครึ่ง (อย่างน้อยนั้นคือข้อมูลที่ผมจำได้) ซึ่งตอนนั้นผมเองไม่เคยคิดถึงเรื่องวิกฤตวัยกลางคนเลย ผมไม่ค่อยเชื่อข้อสรุปที่เหมารวมอย่างนั้นเท่าไหร่

 

แต่ปัญหาเรื่องวิกฤตวัยกลางคนนี้ก็มีหลักฐานอยู่ไม่น้อยใช่ไหมล่ะครับ เราเคยได้ยินเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นกับผู้ชายวัยสี่สิบ (ซึ่งโดยส่วนมากมักจะไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไหร่) ผมจำคำพูดของจิมแบบคำต่อคำไม่ได้ แต่โดยรวมเขาบอกผมว่า “อืม จอห์น ยังไงก็อย่าทิ้งภรรยา อย่าละทิ้งการรับใช้ อย่าซื้อบิ๊กไบค์หรือทิ้งทุกอย่างแล้วออกเดินทาง อย่าทิ้งทุกอย่างที่คุณสร้างมากับมือล่ะ”

 

คำเตือนของจิมเป็นตัวอย่างการตัดสินใจที่สิ้นคิดของผู้ชายในช่วงวิกฤตวัยกลางคน บางคนทิ้งสิ่งที่มีค่าที่สุดทุกอย่างในชีวิตไปเพียงเพื่อจะลองหรือแสวงหาสิ่งใหม่ๆ (ที่ส่วนใหญ่ไม่มีสาระหรือเพ้อฝันเหล่านั้น) คุณคงจะพอนึกภาพการเผชิญหน้ากับวิกฤตวัยกลางคนของผมและการสนทนากับจิมได้ใช่ไหมครับ

 

_______________

 

แล้วไอ้วิกฤตวัยกลางคนนี่มันมาจากไหน?

 

ผมพยายามคิดว่า “แล้ววิกฤตนี้มันมาได้ยังไง และทำไมมันต้องเกิดขึ้นกับเรา” ผมรู้ตัวว่าไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญและคนที่กำลังประสบกับวิกฤตดังกล่าวควรจะหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยการอ่านหนังสือ ไม่ใช่เพียงแต่ฟังผมในวันนี้ ผมเพียงแต่แบ่งปันสิ่งที่ผมคิดได้เมื่อนั่งวิเคราะห์ทั้งตนเองและความเป็นไปของโลกนี้ ผมเพียงแต่หวังว่าจะสามารถยกธงเตือนผู้ชายหลาย ๆ คนที่อาจจะอยู่ในจุด ๆ นั้น

 

ปัจจัยทางด้านร่างกาย

ผมคิดว่ามีปัจจัยทางกายภาพก็มีส่วน เช่น ฮอร์โมน หรือที่เขาเรียกกันว่า วัยทอง อะไรประมาณนั้น ผมไม่แน่ใจเพราะผมไม่ใช้ผู้เชี่ยวชาญ และคงไม่สามารถพูดถึงประเด็นนี้ได้ลึก แต่ผมเดาว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในร่างกายของเรา

 

จุดสูงสุดของอาชีพ

ผู้ชายหลายคนอาจรู้สึกว่าช่วงวัยนี้น่าจะกำลังเข้าสู่จุดสูงสุดของอาชีพการงาน แต่ความจริงคือเขาอาจรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นไปได้ตามที่หวังไว้ และเริ่มรู้สึกว่าความฝันที่วาดไว้อาจไม่เป็นจริงเมื่อคิดว่าจะต้องทำงานแบบนี้ไปอีก 25 ปี

 

ผมคิดว่าวิกฤตส่วนหนึ่ง เกิดจากการงานที่ทำอยู่อาจจะไม่ได้เป็นไปดังที่เขาคาดฝันไว้ จึงทำให้รู้สึกกดดันเมื่อต้องคิดว่าจะต้องทำอย่างเวียนวนอยู่กับงานเดิมซ้ำๆ ไปอีกครึ่งชีวิต

 

รูปลักษณ์

อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง ผู้ชายอาจจะมองตัวเองและภรรยาในกระจกแล้วรู้ตัวว่าต่อจากนี้ไปจะเป็นขาลง เราไม่มีวันหล่อหรือสวยขึ้น เขาและเธอจะไม่ได้มีรูปทรงที่กระชับน่าดูอีกต่อไป

 

ในความเป็นจริง เขาอาจจะปล่อยปละละเลยตัวเองจนน้ำหนักเกิน ขี้เกียจ ไม่ออกกำลัง จนอวบอ้วน เขาอาจจะรู้สึกไม่ค่อยดีกับมัน แต่ก็เหนื่อยเกินไปที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ไข ความเครียดจากการงานทำให้เขายอมแพ้ที่จะออกกำลังหรือดูแลสุขภาพ เขาอาจจะนอนหลับไม่เพียงพอเพราะลูกๆ การงาน และความเครียด หรืออาจจะทั้งหมดรวมกัน และเมื่อคุณนอนไม่เพียงพอ คุณก็จะท้อแท้และหดหู่ได้ง่าย

 

น้ำพริกถ้วยเก่า

เป็นได้ว่าเขาและภรรยายอมรับว่าในชีวิตคู่กว่ายี่สิบห้าปีผ่านมามีอะไรมากมายที่ทั้งคู่ไม่ลงรอยกันและประเด็นเหล่านั้นยังคงเป็นหนามทิ่มแทงในความสัมพันธ์ ความสงบสุขและความชื่นชมยินดีที่เขาเคยคาดหวังไว้ในชีวิตสมรส แทนที่นับวันจะดีขึ้นในตอนนี้กลับถูกแทนที่ด้วยสัญญาสงบศึกที่ทั้งคู่ไม่ยอมยืนยันว่ายังมีความชื่นชมยินดีเหลืออยู่ชีวิตคู่นั้นหรือไม่ ความฝันของชีวิตคู่นั้นเหมือนจะค่อยๆ ตายไปจากความหวังของเขาไป

 

ความกดดันจากการเลี้ยงลูกวัยรุ่น

อันนี้ก็อีกประเด็นหนึ่ง และผมก็มีความรู้สึกว่าจะเป็นประเด็นที่โดนใจสำหรับผู้ชายหลายคน ผมไม่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เฉพาะสำหรับผมหรือไม่ แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นประเด็นที่มีความสำคัญ ในช่วงชีวิตวัยกลางคนนั้นลูกๆ ส่วนใหญ่กำลังก้าวเข้าสู่วัยรุ่น

 

ในขณะที่เขาพยายามประคับประคองลูกๆ วัยรุ่นเหล่านี้ เขาก็โดนรบเร้าให้ตอบคำถาม ซึ่งท้าทายทั้งศีลธรรมและความเชื่อของเขา ความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วและคำถามซึ่งตอบไม่ได้ง่ายๆ มาพร้อมกับภาระการเลี้ยงดูลูกๆ และวัยรุ่น เป็นยุคสมัยนี้เป็นความท้าทายที่ไม่รู้จบ

 

การที่ต้องชี้แนะและเป็นแบบอย่างแก่ลูกๆ เป็นภาระที่หนักและไม่รู้จบ การเป็นพ่อแม่ไม่มีวันพักร้อน การเลี้ยงดูลูกวัยรุ่นนั้นแตกต่างจากการเลี้ยงดูเด็กสามหรือเก้าขวบ เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ใหม่ ผมจึงคิดว่าประเด็นนี้มีส่วนในวิกฤตวัยกลางคน

 

การยึดมั่นในองค์พระเยซูคริสต์

ขณะนี้ผมอายุ 71 ปี เมื่อมองกลับไปในช่วงอายุวัยกลางคนนั้น ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่ทรงเมตตาอุ้มชูผมด้วยพระคุณและกำลังจากพระองค์ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้น แน่นอนในชีวิตของ จอห์น ไปเปอร์ มีบางตอนที่น่าหดหู่ ผมได้แต่หวังว่าโลกนี้จะไม่มีโอกาสได้รับรู้มัน เมื่อผมมองย้อนกลับไปดูวิกฤตเหล่านั้น ผมต้องพูดว่า “ขอบพระคุณพระเจ้า ถ้าพระองค์ไม่มั่นคงในพระสัญญาที่จะทำการดีของพระองค์ให้สำเร็จ ผมคงไม่สามารถรอดมาได้ ผมแน่ใจเหลือเกินว่าคงไม่มีแรงพอที่จะเอาตัวรอดมาได้”

 

ผมอยากหนุนใจให้คนหนุ่มทุกท่านยึดมั่นในพระคริสต์ดังที่อาจารย์เปาโลกล่าวไว้ใน

 

“ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าได้รับแล้ว หรือดีพร้อมแล้ว

แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปเพื่อที่จะฉวยไว้เพราะพระเยซูคริสต์ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้”

(พระธรรมฟิลิปปี 3.12)

 

ลองตื่นนอนก่อนลูกๆ ของคุณเพื่อที่จะมีเวลาเข้ามุมสงบของตนเอง คุกเข่าและอธิษฐานต่อพระเจ้า เพื่อขอพระองค์เสริมกำลังคุณในวันที่จะถึง ผมก็ปฏิบัติเช่นนั้นเป็นเวลาหลายปีและรู้ว่ามันสำคัญ

 

ทูลขอให้พระองค์เติมเต็มพระสัญญา ไม่ละทิ้งคุณ ขอพระองค์เสริมกำลังและอุ้มชูคุณไว้ในพระคำของพระองค์ ทูลบอกพระองค์ว่าพระองค์เป็นความหวังเดียวของคุณในการอบรมเลี้ยงดูลูกๆ

 

ปลีกวิเวก

ลองขอภรรยาของคุณว่าคุณอยากมีเวลาส่วนตัวสักครึ่งวัน ไม่วันเสาร์หรือวันอาทิตย์ก็ได้ ออกบ้านไปสักสามสี่ชั่วโมง หรือไปยืมบ้านเพื่อนสักคน (หรือหาร้านกาแฟสักร้าน) หรือออกไปนั่งที่สวนสาธารณะ พกพระคัมภีร์และสมุดจดไปด้วย ปล้ำสู้กับพระเจ้าสักสามชั่วโมงจนกว่าคุณจะได้รับนิมิตที่ชัดเจนถึงวัตถุประสงค์ของคุณบนโลกนี้

 

อะไรคือวัตถุประสงค์สำหรับชีวิตของคุณ หาความกระจ่างให้ได้

 

ผมไม่ได้หมายถึงให้พิจารณาเรื่องงานที่คุณมีอยู่ในปัจจุบัน มันอาจจะมีส่วนแต่ก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักอยู่ที่ความอุทิศทุ่มเทแบบสุดๆ จากในพระธรรม กิจการ 20.24 และ ฟีลิปปี 1.20

 

“แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ถือว่าชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งมีค่าสำหรับตัวเอง

ขอแต่เพียงให้ข้าพเจ้าได้ทำหน้าที่ของข้าพเจ้าและทำพันธกิจที่ได้รับจากพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าให้สำเร็จ

คือการเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐที่สำแดงพระคุณของพระเจ้า”

(กิจการ 20:24)

“ข้าพเจ้าคาดหมายและหวังว่าจะไม่ได้รับความละอายใดๆ เลย แต่โดยความกล้าหาญอย่างยิ่ง

พระคริสต์จะทรงได้รับการยกย่องสรรเสริญในร่างกายของข้าพเจ้าในเวลานี้ดังเช่นที่เคยได้ตลอดมา

ไม่ว่าจะโดยชีวิตหรือความตาย”

(ฟีลิปปี 1:20)

 

อาจารย์เปาโลกล่าวไว้อย่างชัดเจนไม่ได้ซับซ้อนอะไร หากสรุปสั้นๆ เป็นหนึ่งประโยคว่าเหตุผลที่ อ.เปาโลเกิดมาในโลกนี้ก็คือ เพื่อให้พระคริสต์ยิ่งใหญ่ขึ้น ไม่ว่าจะเข้มแข้งหรืออ่อนแอ จะมีชีวิตอยู่หรือตายไป ก็ต้องดำเนินชีวิตอย่างเต็มที่ด้วยความเชื่อและความรัก ไม่หันซ้ายมองขวา ไม่ละทิ้งความเชื่อ ละทิ้งครอบครัว หรือละทิ้งพันธกิจของตนเอง

 

แสวงหาพระพักตร์พระเจ้า

พี่น้องทั้งหลาย ผมไม่สงสัยเลย ถ้าหากคุณให้เวลาที่จะเสาะแสวงหาพระพักตร์ของพระเจ้า เพื่อที่จะรู้จักพระองค์ เพื่อที่จะสัมผัสถึงความรักของพระองค์ คุณจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี คุณจะวิ่งและไม่อ่อนเปลี้ย คุณจะเดินและไม่เหน็ดเหนื่อย (อิสยาห์ 40:31)

 

มันเป็นความจริง ผมรู้ว่ามันเป็นความจริง ผมเคยลองด้วยตัวเองมาแล้วในสถานการณ์ที่ดูเป็นไปไม่ได้เลย ในเวลาที่คุณไม่คิดว่าคุณจะสามารถทำอะไรได้อีก ในช่วงเวลานั้นของชีวิต คุณต้องยึดมั่นตามในพระธรรมอิสยาห์ 40

 

ผมให้สัญญากับคุณได้เลย ถ้าคุณยังคงสัตย์ซื่อกับภรรยา/สามี พระเจ้าจะเสริมชีวิตแต่งงานของคุณในแบบที่คุณคาดไม่ถึง หรือแม้แต่ลูกๆ ของคุณ พวกเขาอยู่ในมือของพระเจ้า คุณเป็นแค่ตัวแทนของพระองค์ หน้าที่คุณคือบอกความจริงจากพระคัมภีร์ให้เขารู้ทุกวัน ดำเนินชีวิตด้วยความรัก อ่อนสุภาพ ถ่อมตน ใจเย็น และเต็มเปี่ยมด้วยกำลัง ให้มากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ และมอบพวกเขาไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า

.

พระองค์ทรงสัตย์ซื่อ นั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด


(ติดตามอ่านซีรี่ส์ Life in Crisis ทุกตอนได้ทางเว็บไซด์ https://choojaiproject.org/category/articles/experiment/)


Previous Next

  • Translator:
  • ลุงหมีสักหลาด
  • ชายอบอุ่นที่มีหลากหลายมิติ มีทั้งมิติแห่งการเป็นผู้รับใช้ มิติของคุณครูภาษาอังกฤษ แถมด้วยมิติของการเป็นนักดูหนังตัวยง ชูใจจึงจีบมาเขียนรีวิวหนัง และบทความความรู้พระคัมภีร์ซะเลย
  • Editor:
  • Jick
  • บก.ชูใจ ผู้ใฝ่ฝันจะชูใจน้องๆ จากความพลาดของตัวเอง