“ผมเริ่มช่วยตัวเองตอน ม.ต้น แล้วก็มองว่ามันเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แต่ต่อมาผมได้รู้ว่าพระเจ้ามองเรื่องนี้ยังไง ดังนั้นทุกครั้งที่ผมกลับไปทำอีก ผมรู้สึกแย่ จนบางครั้งผมถามตัวเองว่า… พระเจ้าจะรักคนอย่างผมได้ยังไง?”
_______________
ถ้าพูดถึงการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง (Masturbation) หรือในที่นี้พี่ขอเรียกสั้นๆว่า MT เราจะเห็นปฏิกริยาต่างๆของผู้คน บ้างก็รู้สึกอาย บ้างก็โกรธ บ้างก็ตกใจ บ้างก็ขยะแขยง แล้วทำไมการสำเร็จความไคร่ด้วยตัวเองถึงทำให้เกิดอากัปกิริยาต่างๆ เหล่านี้ โดยเฉพาะในหมู่คริสเตียน?
ส่วนตัวพี่เองมองว่าคงมีหลายสาเหตุ แต่หนึ่งสาเหตุที่น่าสนใจคือ…ก็เพราะว่ามันเป็นปัญหาที่ส่วนตั๊วส่วนตัวเอาซะมากๆ
บางสถิติบอกว่า ชายกว่า 95% และหญิงกว่า 89% เคย สำเร็จความไคร่ด้วยตัวเองมาแล้ว
นั่นหมายความว่าคนที่อยู่รอบๆตัวเราเกือบทุกคนเคยต่อสู้กับเรื่องนี้มาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะทั้งชายหรือหญิง ไม่ว่าจะนอกหรือในโบสถ์ ไม่ว่าจะเป็นน้องเลี้ยงหรือแม้แต่พี่เลี้ยงของเรา
ด้วยเหตุนี้เองทำให้เรื่อง MT เป็นเรื่องที่พูดยาก เพราะเราหลายคนก็เคยทำกัน และว่ากันตามตรงหลายคนก็ยังคงต่อสู้ในเรื่องนี้อยู่…ซึ่งการไม่เปิดใจพูดคุยกันนี่เอง ทำให้เรายังต้องต่อสู้ดิ้นรนกับเรื่องนี้เพียงลำพัง จนหลายคนรู้สึกผิด ผิดมากจนมองว่าตัวเองไม่ดีพอ ผิดพลาดซ้ำซาก และไม่มีค่าพอในสายตาของพระเจ้าอย่างที่ควรจะเป็น
…
ดังนั้นเรื่องนี้จึงสำคัญและจำเป็นจะต้องเปิดใจคุยกันอย่างตรงไปตรงมาถึงมุมมองที่พระเจ้ามอง
พี่เองก็เป็นหนึ่งในชาย 95% ที่เคยต่อสู้ในเรื่องนี้มาอย่างหนัก แต่วันนี้ใกล้ครบ 1 ปีแล้วที่ไม่ได้ MT เลย แต่ถึงกระนั้นแม้ไม่ได้ทำก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้องต่อสู้ ยังต่อสู้อยู่ แต่สู้น้อยลงกว่าแต่ก่อนชนิดที่เรียกว่าหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
เนื่องด้วยพระเจ้าได้ชูใจพี่ในเรื่องนี้ พี่เองจึงอยากมีส่วนในการชูใจน้องๆในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
…
สิ่งสำคัญคือ เราไม่ได้เผชิญเรื่องนี้อยู่คนเดียว
ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านทั้งหลาย นอกเหนือการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ พระเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ทรงให้พวกท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อถูกทดลอง พระองค์จะทรงให้มีทางออกด้วย เพื่อพวกท่านจะมีกำลังทนได้
(1 โครินธ์ 10:13)
การสำเร็จความไคร่ด้วยตัวเองผิดหรือไม่?
เป็นคำถามที่พี่เชื่อว่าหลายๆคนสงสัย และก็เคยได้ยินมาว่า “เนี่ยคือถ้าเราทำโดยที่ไม่ได้จินตนาการถึงใครก็ไม่ถือว่าบาป” …พี่ขอบอกว่าในพระคัมภีร์ไม่ได้พูดในเรื่องนี้ชัดๆ จึงทำให้มีความเห็นหลากหลายเกี่ยวกับการ MT ซึ่งข้อพระคำที่ถูกอ้างอิงเกี่ยวกับเรื่องนี้บ่อยๆคือ
“ผู้ใดมองดูผู้หญิงด้วยใจกำหนัด ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจของเขาแล้ว”
(มธ. 5:28)
- บ้างก็มองว่าการ MT บาป!! (ในทุกกรณี) มองว่า การช่วยตัวเอง = การล่วงประเวณี = ความบาป
- บ้างก็มองว่า ไม่บาป (ในบางกรณี) เช่น การ MT โดยไม่ได้จินตนาการ หรือ MT โดยจินตนาการถึง สามีหรือภรรยาของตน
อย่างในเพจเรียนพระคัมภีร์ออนไลท์กับพี่ซัน ก็ให้ความเห็นไว้น่าสนใจว่า
(ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากและเป็นสิ่งที่วัยรุ่นส่วนใหญ่ทำ)”
ส่วนตัวพี่เห็นด้วยกับพี่ซัน …
แต่พี่มองว่าควรตั้งคำถามที่จะช่วยทำให้เราเข้าใจมุมมองของพระเจ้ามากขึ้นต่อเรื่องนี้
ไม่ใช่ถามเพียงแค่เรื่องผิดหรือไม่ผิด? บาปหรือไม่บาป?
แต่ควรจะถามอีกว่า “นั่นถวายเกียรติหรือไม่?
และนั่นทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าสนิทสนมกันมากขึ้นรึเปล่า?
น้องๆลองนึกภาพตามดู ในเช้าวันอาทิตย์ก่อนไปโบสถ์ เราใช้ facebook แล้วเลื่อนไปเห็นภาพวั๊บๆแวมๆที่ถูกแชร์กันมาพอดี แล้วเกิดมีอารมณ์ เลยจัด MT ไปสักดอก เมื่อถึงโบสถ์ ถามจริงๆ ว่ายังสามารถร้องเพลงนมัสการ อธิษฐาน หรือฟังเทศน์ ด้วยใจที่ชื่นชมยินดีอย่าง 100%ได้จริงๆ หรือเปล่า?
คงไม่มีใครที่เพิ่ง MT ก่อนไปโบสถ์แล้ว ร้องเพลงนมัสการ หรืออธิษฐาน ด้วยความชื่นชมยินดีได้อย่าง 100% นอกเสียจากว่าเราจะชินชากับมันไปแล้ว
บางครั้งการทดสอบว่าอะไร ถวายเกียรติหรือไม่?
คือ การที่เราสามารถอธิษฐานขอบคุณหรือขอพระเจ้าอวยพรกิจกรรมนั้นๆ
ด้วยความบริสุทธ์ใจได้อย่าง 100%
ส่วนตัวพี่ไม่คิดว่าการช่วยตัวเองจะเป็นอะไรที่เราจะ “สามารถขอบคุณพระเจ้าได้อย่างบริสุทธิ์ใจได้จริงๆ”
ซึ่งแน่นอนว่าการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้านั้นไม่สามารถสนิทสนมได้อย่างที่ควรจะเป็น ทำให้ลึกๆในใจเรารู้สึกผิดและละอาย ไม่กล้าที่จะสู้หน้าพระองค์ได้อย่างบริสุทธิ์ใจ
จะบอกว่าการ MT ทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าเหินห่างก็ว่าได้ !!
พี่บอกเลยซาตานน่ะมันร้าย มันใช้สิ่งนี้แหละเป็นเครื่องมือในการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า ซาตานจะล่อลวงให้เรานึกถึงแต่ความล้มเหลว ความผิดพลาด ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก…
“ดูสิ แกทำผิดอีกแล้วนะไหนว่าจะไม่ทำอีกแล้วไง เนี่ยก็อีหรอบเดิม แกน่ะทำไม่ได้หรอก แกน่ะมันบ้ากามแก้ไม่ได้หรอก แกน่ะมันสกปรก แบบนี้ยังจะมีหน้าไปสู้หน้าพระเจ้าอีกเหรอ พระเจ้าจะรักคนแบบแกได้ลงจริงๆเหรอ” เราถูกกรอกหูด้วยความคิดเหล่านี้จนเริ่มคิดว่าพระเจ้าไม่ทรงพอพระทัย และปฏิเสธเราเพราะความผิดบาปที่เรากระทำ และนั่นทำให้เราจมอยู่กับความรู้สึกผิด จนเราไม่สามารถสู้หน้าพระองค์…
ทำไมเราจึงคิดเช่นนั้น? …เพราะเราถูกโลกฝึกมาให้คิดแบบนั้น
- ตอนเราเป็นนักเรียนเมื่อทำอะไรผิด ก็มักจะถูกคุณครูดุ
- ตอนเราเป็นนักศึกษาเมื่อทำอะไรผิด ก็มักจะถูกเพื่อนมองเราด้วยสายตาแปลกๆ
- ตอนเราเข้าสู่วัยทำงานเมื่อทำอะไรผิด ก็มักจะถูกหัวหน้าตำหนิ ต่อว่า
- ถ้าเราอยู่ในสังคมเมื่อเราทำผิดพลาด เราก็รู้ว่า เราจะถูกปฏิเสธ
เพราะประสบการณ์ในโลกสอนเราแบบนั้น เราจึงมีแนวโน้มที่จะคิด คิดว่าพระเจ้าก็จะกระทำแบบเดียวกัน คือ “เราคงถูกปฏิเสธจากพระเจ้า เมื่อเราทำผิด” …นั่นไม่จริงเลย
ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่เราจะมองความบาป ความล้มเหลว และความผิดพลาด จากมุมมองของพระเจ้า ไม่ใช่ฟังจากโลกที่กรอกหูเราอยู่
ในพระคัมภีร์พระเจ้าได้พูดถึงบุคคลหนึ่งว่าเป็น “คนที่พระองค์พอใจ” ใช่แล้วเขาคือ ดาวิด เรามักจะคุ้นเคยกับเขาว่าเป็นคนที่พิเศษ เป็นจอมกษัตริย์ เป็นคนที่พระเจ้ารัก และอาจจะทำผิดบ้างนิดหน่อย …นิดหน่อยจริงหรือ?
ถ้าเรายังพอจำเหตุการณ์เหล่านี้ได้
- วันหนึ่งดาวิดชายที่พระเจ้าพอใจเดินไปเห็นผู้หญิงอาบน้ำ แทนที่จะรีบกลับไปอาบน้ำ เตะบอล เขากลับยืนอยู่ตรงนั้นมองดูแล้วจินตนาการจนเกิดตัณหา
- ต่อจากนั้นดาวิดเรียกให้หญิงคนนั้นมาพบ เธอชื่อบัชเชบา และอ้าว! เพิ่งรู้ว่าเธอแต่งงานแล้ว! …มาถึงตอนนี้ชายที่พระเจ้าพอใจคงจะพูดว่า “ดีใจนะที่เธอมา เธอเป็นคนดีมาก ยินดีที่ได้รู้จัก ไว้เจอกันใหม่นะ บาย 🙂 ” แต่ไม่เลย ดาวิดได้ชวนเธอไปข้างในแล้วร่วมหลับนอนกับเธอ
- จากนั้นบัชเชบาดันมาท้องซะนี่! ถึงตอนนี้เขาคงจะต้องยืดอกสารภาพผิด แต่เปล่าเลยเขากลับวางแผนกลบเกลื่อนความผิด โดยเรียกให้สามีของเธอกลับมาจากสนามรบ แล้วบอกเขาว่า “อุริยาห์ นายเนี่ยเป็นทหารที่ดีมากเลย เราจะให้นายได้พักผ่อนอยู่กับภรรยานาย” โดยดาวิดหวังว่าอุริยาห์และบัชเชบาจะได้หลับนอนด้วยกันเพื่อที่จะทำให้ดูเหมือนว่าเด็กในท้องเป็นลูกของอุริยาห์
- แต่อุริยาห์ดั้นเป็นทหารที่ดี้ดีซะอย่างงั้น เขาไม่ยอมทิ้งการทำศึก เพื่อนของเขายังรบอยู่ข้างนอก เขาต้องรีบรบให้ชนะ จึงปฏิเสธข้อเสนอของดาวิดไป
- ทีนี้มาดูชายที่พระเจ้าพอใจว่าจะทำยังไง? เขาประทับใจในตัวอุริยาห์และสารภาพหรือ เปล่าเลย เขากลับเขียนจดหมายฝากอุริยาห์ไปให้แม่ทัพ โดยใจความในจดหมายนั้นบอกว่า “จงตั้งอุรียาห์ให้อยู่กองหน้าของการรบที่ดุเดือดที่สุด แล้วให้พวกเจ้าถอยไปจากเขาเพื่อให้เขาถูกฆ่าตาย” มันเป็นจดหมายสั่งฆ่าอุริยาห์ชัดๆ
ทีนี้เราคงพอจะเห็นภาพในสิ่งที่ดาวิดทำทั้งเกิดตัณหา,ล่วงประเวณี,โกหก,หลอกลวง,ใช้อำนาจในทางที่ผิด และฆ่าคนบริสุทธิ์ที่จงรักภักดีกับตัวเองเสียด้วย แต่น่าแปลกทำไมคนที่เลวร้ายอย่างดาวิดเนี่ย พระเจ้าเรียกว่าเขาว่า “คนที่พระองค์พอใจ” พระองค์ให้อภัยคนอย่างดาวิดได้ยังไง?
เราต้องจำไว้ว่า เราต้องเอามุมมองแบบโลกวางไว้ก่อน แล้วมองในมุมมองของพระเจ้า
ที่พระเจ้าให้อภัยดาวิดนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเขาทำชั่วมากน้อยแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่าเขานั้นกลับใจหรือเปล่า?
ในพระธรรม 1ยอห์น 1:8-9 กล่าวว่า ‘ถ้าเราอ้างว่าไม่มีบาป เราก็หลอกตัวเองและความจริงไม่ได้อยู่ในเราเลย ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมจะทรงอภัยบาปของเราและชำระเราให้พ้นจากความอธรรมทั้งสิ้น ‘
แม้ว่าดาวิดจะทำผิดมากมายสักกี่ครั้งแต่ในที่สุดเขาก็ยอมรับผิดและกลับใจพร้อมเชื่อฟังเสมอ พระเจ้าไม่ได้มองที่ความผิดพลาดของเรา แต่พระองค์มองท่าทีข้างในของเราที่มีให้พระองค์ต่างหาก
ถ้าพระเจ้าให้อภัยดาวิดได้ พระเจ้าก็ให้อภัยเราได้
ถ้าดาวิดรับการอภัยจากพระเจ้าได้ เราก็รับการอภัยจากพระองค์ได้
“ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด
พระองค์ก็ทรงยกเอาการล่วงละเมิดของเราออกไปไกลเพียงนั้น “
(สดุดี 103:12)
สิ่งสำคัญ คือ เราจำต้องยอมรับว่าเราทำบาป แต่ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ความบาปนั้นผูกมัดเรา แล้วทำให้เราห่างเหินจากความรักของพระเจ้า
แม้ว่าเราทำผิด ทำบาป ล้มเหลว พลาดพลั้งสารพัด แต่การยอมรับของพระเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า เราทำดี หรือแย่มากน้อยแค่ไหน เมื่อพระองค์ทรงมองมาที่ตัวเราผ่านพระเยซูคริสต์ เราเป็นดั่งลูกที่รักและสะอาดบริสุทธิ์ผ่านพระเยซูคริสต์เสมอ ซึ่งการที่เราได้รับในสิ่งที่เราไม่สมควรจะได้รับ นี่แหละถึงเรียกว่าพระคุณ
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พระเจ้าจะอภัยเราหรือไม่
ปัญหาอยู่ที่เราจะยอมรับพระคุณ และการอภัยจากพระองค์อย่าง 100% หรือไม่ ต่างหาก !!
“ในพระเยซูเราได้รับการไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์
คือได้รับการอภัยโทษบาปตามพระคุณอันอุดมของพระเจ้า”
(เอเฟซัส 1:7)
ถ้าตอนนี้ถามพี่ซึ่งอยู่ในชาย 95% ที่เคยผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่า
พระเจ้าจะรักคนอย่างเราได้ยังไง? พี่ก็คงตอบว่า
…
มันไม่สำคัญว่าพระเจ้าจะรักคนอย่างเราได้ยังไง?
แต่สิ่งสำคัญ คือ พระองค์รักเรายังไงต่างหาก?
ฉะนั้นแล้วไม่ว่าเราจะเคยทำผิดพลาดมามากแค่ไหน เราก็ยังเป็นคนที่พระเจ้ารักและพระองค์พร้อมอภัยให้เราเสมอ ส่วนชีวิตเราจะเป็นที่ถวายเกียรติพระองค์ได้หรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และนั่นล่ะหน้าที่ของเรา
ในตอนต่อๆไป พี่จะมาพูดถึง วงจรของการ MT และเราจะหยุดวงจรนี้ได้อย่างไร เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
_______________
สรุป
- บางสถิติบอกว่า ชายกว่า 95% และหญิงกว่า 89% เคยช่วยตัวเองมาแล้ว ซึ่งแปลว่าไม่ได้มีแค่เราคนเดียวที่ต่อสู้ในเรื่องนี้
- ในพระคัมภีร์ไม่ได้พูดชัดในเรื่องนี้ แต่มี 2 แนวคิดหลักๆคือ การช่วยตัวเองนั้นบาปในทุกกรณี และไม่บาปในบางกรณี
- ซาตานใช้การช่วยตัวเองเป็นเครื่องมือในการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า โดยใช้วิธีที่โลกสอนเรามา
- พระเจ้าให้อภัยดาวิดที่ทำผิดพลาดขนาดนั้นได้ พระเจ้าก็ให้อภัยเราได้
- พระเจ้าไม่เพียงแค่พร้อมให้อภัยเราเสมอ พระองค์ยังทรงรักเรามาก และอยากให้เรารับพระคุณ แล้วกลับมามีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับพระองค์
(ติดตาม MT Series ตอนต่อไปได้ทุกวันอังคาร เวลาทุ่มตรง
ทางเว็บไซด์ www.choojaiproject.org
หรือ กดติดตามทางเพจเฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/choojaiproject/ )
Related Posts
- Author:
- ชายหนุ่มวัยปลายยี่สิบ ผู้ผันตัวจากการเป็นกราฟิกมือทอง มาทำงานรับใช้สายผู้ให้คำปรึกษา ต้องการจะชูใจผู้อื่นด้วยการทำให้น้องๆ ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม!!!
- Illustrator:
- บริพัตร เชียงฝาง
- อ้นอ้น ชายหนุ่มพูดน้อยผู้มีพลังจินตนาการเกินตัว จึงส่งพลังงานออกมาเป็นเหล่าตัวคาแรกเตอร์จากต่างดาว มาร่วมเป็นกำลังใจ และติดตามผลงานเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว เก็บตังค์แต่งงานได้ในเพจชื่อ Water Rocket and The Adventures With Bible Time (จรวดขวดน้ำกับการผจญภัยในห้วงเวลาพระคัมภีร์)
- Editor:
- Perapat T.
- Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)