บทความนี้ใช้เวลาอ่านประมาณ 5 นาที
อ่านตอนอื่นๆ ของซีรีส์นี้ได้ทาง : https://choojaiproject.org/category/articles/life-series/me-and-another-me/
***เรื่องราวในตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการบันทึกส่วนตัวของผู้เขียน
การบรรยายความคิดและความรู้สึกเป็นไปตามสถานการณ์ของผู้เขียนที่กำลังเผชิญขณะนั้น***
_______________
ชีวิตหลังความตาย
ฤดูร้อน, 2558
ใครๆ ก็พูดว่าฉันเป็นคนใหม่เพราะการบังเกิดใหม่ (รับเชื่อในพระเยซู)
แต่รู้อะไรไหม? การเปลี่ยนตัวเองน่ะมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก
จำได้ว่าตอนอยู่ในกลุ่มเซลล์ที่โบสถ์จะได้ยินหลายคนแบ่งปันว่าพระเจ้าเปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเขาอย่างไรบ้าง ประเด็นที่น่าสนใจจากคำพยานเหล่านี้คือแทบทุกคนบอกว่าพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่พระเจ้าเป็นผู้เปลี่ยนพวกเขา ส่วนฉันนั้น กลับเข้าใจไปว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นผู้เปลี่ยนแปลงตัวฉัน แต่พระเจ้าเป็นสาเหตุทำให้ฉันอยากเปลี่ยนตัวเอง
เหมือนกับที่ตั้งใจจะเชื่อ ฉันบังคับตัวเองให้เปลี่ยน…
ก็คนเราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองโดยไม่ตั้งใจได้ยังไงล่ะ?
_______________
ถ้าเรียนจบแล้ว ฉันจะย้ายไปอยู่เชียงใหม่ เพราะรู้ว่ามันจะเป็นที่ที่ตัวเองได้เติบโตขึ้นอีกก้าวในการเจริญเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ ใช่! พระเจ้าอยู่กับเราในทุกที่ แต่การเลือกโบสถ์ประจำก็สำคัญต่อการเติบโต และฉันก็เข้าใจดีว่าตัวเองไม่เข้มแข็งพอที่จะติดสนิทกับพระเจ้าได้จากการฟังเทศน์ออนไลน์ หรือเพียงการอธิษฐานส่วนตัว
ช่วงก่อนฉันลองไปโบสถ์ใกล้มหาวิทยาลัยอยู่พักหนึ่ง แม้ที่นั่นจะมีเพื่อน มีพี่น้องที่น่ารัก แต่กลับไม่รู้สึกสนิทใจเลยว่านี่คือที่ของเราจริงๆ จนกระทั่งตอนนี้ ฉันที่ออกจากหอมาอยู่บ้านก่อนจะเรียนจบในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ลองไปสำรวจโบสถ์ใกล้บ้านในกรุงเทพฯ ดู ก็พบว่าวิธีการใช้ชีวิตของตัวเองไม่เข้ากับโบสถ์ใหญ่ๆ ที่มีสมาชิกเยอะๆ ดังนั้นการไปโบสถ์ในระยะหลังจึงกลายเป็นการบังคับตัวเองให้ไปนั่งจนจบนมัสการภาคเช้า แล้วก็เดินกลับบ้านแบบเงียบๆ
ก็ไม่ใช่ว่าไม่ปรับตัวหรือไม่เปิดใจหรอกนะ…
ฉันเคยพยายามทำความรู้จักพี่น้อง ลองมานมัสการทั้งภาคเช้าและบ่าย เข้าร่วมกลุ่มแคร์อีกในตอนเย็น แต่ก็ยังไม่เหมือนกับโบสถ์ที่เชียงใหม่ที่ฉันเคยได้ไปเมื่อตอนปิดเทอมภาคฤดูร้อนครั้งก่อน อาจเป็นเพราะฉันเริ่มต้นรู้จักกับโลกของคริสเตียนที่นั่น ความเป็นครอบครัวจึงทำให้รู้สึกผูกพัน สิ่งเหล่านี้เองที่เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจว่าจะย้ายถิ่นที่อยู่หลังเรียนจบ
สำหรับฉันแล้ว บ้านไม่ใช่สถานที่ที่มีพันธะใดๆ อยู่ในนั้น บอกตามตรง โบสถ์ที่เชียงใหม่ดูจะมีความเป็นบ้านอยู่มากกว่าเสียด้วยซ้ำ ส่วนหมอที่เคยเป็นที่พึ่งเดียวก็ไม่อยู่แล้ว ดังนั้นมันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ฉันจะไม่ย้ายตัวเองออกไป
…
จริงสิ! ลืมเล่าไปอย่างหนึ่ง
สองสามเดือนที่ผ่านมา ฉันกลับไปรักษาโรคซึมเศร้าที่โรงพยาบาลเดิมกับหมอคนใหม่อย่างไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในการรักษาหรือการทำจิตบำบัด สิ่งเดียวที่ได้รับจากการนัดพบคือยาจำนวนที่มากพอจะไม่ต้องมาอีกในหลายสัปดาห์
พอฉันบอกหมอว่าจะย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด เขาก็เห็นดีเห็นงามด้วย พร้อมกับให้เหตุผลประกอบว่าการย้ายไปที่ใหม่ๆ อาจเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศให้ใจได้พักผ่อนจากความตึงเครียดของเรื่องในอดีต สิ่งที่ฉันต้องทำมีเพียงสองอย่าง คือ กินยาต่อไปอย่างสม่ำเสมอ และกรอกข้อมูลให้โรงพยาบาลส่งประวัติไปยังอีกโรงพยาบาลในเครือเดียวกันที่เชียงใหม่
_______________
การย้ายถิ่นที่อยู่
ฤดูฝน, 2558
พี่ที่เช่าห้องอยู่ชั้นสองของโบสถ์ย้ายออกไปพอดีกับช่วงที่ฉันไปถึง ฉันก็เลยถือโอกาสขอเช่าที่นั่นต่อ เป็นอันว่าหมดปัญหาเรื่องที่อยู่ไปอย่างหนึ่ง อย่างเดียวที่ยังกังวลคือเรื่องงาน
ในใจอยากได้งานที่ตรงกับสายที่เรียนมา ซึ่งมันไม่ง่ายเลยที่จะหาในเชียงใหม่ แต่ระหว่างกำลังหาสิ่งที่ต้องการก็รับฟรีแลนซ์ไปพลางๆ เรื่องค่าใช้จ่ายจึงไม่น่าเป็นห่วงสักเท่าไหร่ เท่ากับว่าเรื่องงานที่กังวลนั้นไม่ถือเป็นปัญหาหนักมากนัก
จริงๆ ก็เรียกได้ว่าแทบไม่มีเรื่องอะไรที่น่าหนักใจเลย พฤติกรรมการกินและการนอนก็ดูปกติดี ฉันกินได้มากขึ้นจนทำให้ฉันเข้าใจแล้วว่า การย้ายที่อยู่ส่งผลต่อสภาพจิตใจมากทีเดียว
การใช้ชีวิตโดยรวมดูมีคุณภาพจนฉันตั้งใจหยุดยาอีกครั้ง…
ฉันเคยได้ยินได้อ่านว่ามีหลายคนที่หายขาดจากโรคซึมเศร้าแล้วสามารถหยุดกินยาได้ จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่คุยกับหมอ เขาบอกว่ากรณีของฉันต้องกินติดต่อกัน 3 ปีขึ้นไป หรืออาจต้องกินไปตลอดชีวิต
ใครจะอยากกินยาไปตลอดชีวิตกันล่ะ?
อย่างที่หมอเคยแนะนำให้นั่งสมาธิ ฉันแนะนำตัวเองให้อธิษฐาน เมื่อเชื่อว่าพระเจ้ามีจริงและพระองค์สามารถรักษาได้ ฉันก็จะใช้เวลากับพระเจ้าให้มากขึ้น ตั้งใจจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นอีกสักขั้นเพื่อให้ใช้ชีวิตบนโลกอย่างมีจุดหมายและเป้าหมายตามอย่างที่เข้าใจ
ใช่ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าตัวเองเกิดมาด้วยความตั้งใจและความรักจากพระเจ้า ชีวิตของฉันไม่ได้เต็มไปด้วยความเกลียดชังเสียทีเดียว และจุดหมายของการมีชีวิตอยู่ก็เพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิตมืดๆ นี้ให้กลายเป็นแสงสว่าง
“อะไรที่ดูเป็นไปไม่ได้ก็เป็นไปได้เมื่ออาศัยความเชื่อ
แม้มันจะมีขนาดเทียบเท่าเพียงเมล็ดมัสตาร์ดก็ตาม”
ดังนั้น ความเชื่อที่ว่าพระเจ้าจะรักษาอาการซึมเศร้าให้หายขาดได้ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องเหนือจริงเสียทีเดียว
#ไว้จะมาคุยด้วยใหม่นะ
ติดตาม Me & another Me : Season 2 ตอนต่อไป ได้ในวันเสาร์ ที่ 2 เมษายน เวลา 19.00 น.
และอ่านตอนที่ผ่านมาที่ https://choojaiproject.org/category/articles/life-series/me-and-another-me/
Related Posts
- Author:
- เด็กผู้หญฺิงธรรมดาที่พบว่าตัวเองป่วยเป็น โรคซึมเศร้า เมื่อคุณหมอบอกให้การบ้านเป็นการเขียนไดอารี่ จึงเกิดเรื่องราวใน Me AND ANOTHER ME ขึ้นมา เคยเชื่อว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่งดงาม จนได้มาเจอพระเจ้าผู้สมบูรณ์แบบ
- Illustrator:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
- Editor:
- Perapat T.
- Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)