บนโลกที่ไม่มีใครและการสูญเสีย (me & another me)

EP. 5/6

บนโลกที่ไม่มีใครและการสูญเสีย (me & another me) – EP. 5/6


บทความนี้ใช้เวลาอ่านประมาณ  6 นาที
อ่านตอนอื่นๆ ของซีรีส์นี้ได้ทาง : https://choojaiproject.org/category/articles/life-series/me-and-another-me/


 

***เรื่องราวในตอนนี้เกิดขึ้นก่อนที่ผู้เขียนจะรู้จักกับพระเจ้า
การบรรยายความคิดและความรู้สึกเป็นไปตามสถานการณ์ของผู้เขียนที่กำลังเผชิญขณะนั้น***

 

บนโลกที่ไม่มีใคร

ฤดูร้อน, 2555

 

อย่างน้อยในตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าฉันหายไปอยู่ที่ไหน

เสียงประตูเปิดไล่ทีละห้องค่อยใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฉันใช้สองมือปิดปากตัวเองแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดลอดไปภายนอก จนกระทั่ง เงาคนเดินผ่านเข้ามาในห้องปรากฏให้เห็นผ่านช่องบานเลื่อนของประตูตู้เสื้อผ้าที่แม้พยายามปิดให้สนิทเพียงใดก็ยังมีรอยแยกช่องน้อยๆ ทำให้แสงจากไฟนีออนลอดผ่านเข้ามา

ไม่นานนักเสียงฝีเท้าก็ค่อยห่างออกไป ฉันกดหมายเลขฉุกเฉินในโทรศัพท์–
หมายเลขที่ระยะหลังมานี้ต่อสายไปบ่อยเหลือเกิน

 

เสียงของหมอทำให้ฉันสงบลง อย่างน้อยก็สักนิดหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเล่าถึงสถานการณ์เมื่อครู่ที่เกิดขึ้นในบ้านและวิธีตอบสนองด้วยการซ่อนตัวในพื้นที่ปลอดภัย ตอนนี้ฉันพยายามหนีจากปัญหา หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า แต่ไม่รู้ว่าจะได้ผลนานแค่ไหนและปัญหาของวันนี้จะจบลงอย่างไร

 

“อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น”

นี่คือความคิดและความรู้สึกที่เกิดขึ้นเสมอเมื่อ “เรา” ต้องอยู่ด้วยกัน

 

ฉันไม่แน่ใจว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ตัวเองเริ่มสังเกตได้ว่าบุคคลที่ตัวเองคอยหลีกเลี่ยงเสมอมาคนนี้มีอะไรผิดแปลกไปจากคนปกติทั่วไป นอกจากความเกลียดชังอันมีที่มาจากสถานการณ์ในวัยเด็กก็ยังมีอย่างอื่นที่ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะอยู่ใกล้

 

บทสนทนาปกติที่เพิ่งเข้าใจและยอมรับว่าไม่ปกติเริ่มขึ้นอีกครั้งในเช้าวันนี้

 

ความกลัว สงสาร และโกรธผสมปนเปจนฉันไม่แน่ใจว่าควรแสดงความรู้สึกอย่างไหนออกมาจึงตัดสินใจหนีการเผชิญหน้า ฉันอธิบายเพิ่มเติมให้หมอฟังถึงบทสนทนารวมถึงการแสดงออกที่ค่อนข้างผิดไปจากความปกติของเขาว่าพบมาตั้งแต่เด็ก แต่มันเกิดขึ้นบ่อยจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาจึงไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาจนระยะหลังที่อาการเหล่านี้ค่อยรุนแรงขึ้น

 

ไม่รู้ว่าทำไมต้องมาติดอยู่ในที่แห่งนี้
แต่ฉันรู้ดีว่าอิสระกำลังจะใกล้เข้ามาในอีกไม่นาน

 

โรคซึมเศร้า

 

______________________

 

พร้อมๆ กับที่อิสระใกล้เข้ามา ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจผู้เดียวของฉันก็แต่งงาน และย้ายไปเรียนต่อโดยไร้คำร่ำลา ฉันพบการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยตัวเองที่โรงพยาบาลเมื่อหมอที่นั่งอยู่หลังเก้าอี้ไม้ตัวเดิมไม่ใช่หมอคนเดิม การจากลาถูกอธิบายผ่านริมฝีปากที่ฉันไม่คุ้นเคย และนั่นทำให้ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะมาที่นี่เป็นครั้งสุดท้าย


 

กลับมาคิดแล้วก็พบสัจธรรม

 

บนโลกนี้จะมีใครห่วงใครคนอื่นเทียบเท่ากับตัวเองได้ ไม่มีใครหรอกที่จะอยู่กับเราได้ตลอดเวลาและตลอดไป ไม่มีใครหรอกที่เมื่อมีปัญหาแล้วจะปรึกษาหรือระบายได้ทุกเรื่อง ไม่มีใครหรอกที่จะผูกชีวิตติดกับอีกคนไปได้ด้วยความเต็มใจ

 

บางทีฉันอาจจะต้องคำสาปหรืออะไรสักอย่างให้ต้องอยู่โดดเดี่ยวไม่มีใคร

 

เด็กที่เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจอันน่ารังเกียจของมนุษย์เพียงคนเดียวลืมตาดูโลกด้วยปราศจากความสมัครใจ ทั้งที่มันไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่เด็กคนนั้นกลับโตมาอย่างปลอดภัยและสมบูรณ์ เรื่องนี้คอยทำให้ฉันอึดอัดใจเสมอจนสร้างภาพฝันที่อาจเป็นไปได้ขึ้นมา เช่นว่า บางทีโลกนี้อาจเป็นโลกจำลองของใครสักคน ชีวิตที่มีอยู่นี้ไม่ใช่ชีวิตจริงๆ ที่เกิดขึ้นได้ด้วยตัวมันเอง อาจมีคนคอยควบคุมบังคับอยู่ และเผอิญว่าฉันก็เป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาให้เกิดขึ้นและจบลงตามเส้นเรื่องแนวโศกนาฏกรรมเพื่อความบันเทิง

 

อย่างน้อยคิดอย่างนี้ก็ทำให้สบายใจขึ้นมาได้ว่าทุกอย่างมีเหตุผลของมันอยู่
และชีวิตนี้ยังมีประโยชน์เพื่อสร้างความบันเทิงให้กับใครสักคนได้

______________________

 

ฉันพบอิสระทันทีที่ผลแอดมิชชั่นประกาศ
ทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการ
ในเวลาที่ต้องการที่สุด
ฉันจะออกไปจากที่นี่
และจะไม่กลับมาอีกแม้อะไรจะเกิดขึ้น

 

______________________

 

แอดมิชชั่น

 

เปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยนสังคม ฉันกลายเป็นคนใหม่อย่างที่ตัวเองเข้าใจ โรงพยาบาลไม่ใช่สถานที่ประจำของฉันอีกแล้ว ในเมื่อฉันสามารถใช้ชีวิตด้วยการดีขึ้นได้ด้วยตัวเอง ยาก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป

 

ฉันยิ้มมากขึ้น หัวเราะดังขึ้น น้ำหนักก็เพิ่มขึ้น ทั้งยังนอนหลับได้ดีขึ้นด้วย

 

เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดเหมือนเป็นอดีตที่ผ่านมานานเหลือเกิน ฉันพบความจริงที่ว่าฉันมีความสุขได้ด้วยตัวเองแล้ว ฉันไม่ใช่คนที่ไม่มีใครต้องการอีกต่อไป ฉันมีทั้งเพื่อน คนรัก และจะมีครอบครัวที่มีความสุขให้ได้ในอนาคต

 

______________________

 

การสูญเสีย

ฤดูหนาว, 2556

 

สองปีในโลกจำลองที่โดยรวมเต็มไปด้วยความสุขผ่านไป กระทั่งโศกนาฏกรรมครั้งใหม่เกิดขึ้นในรูปแบบของการสูญเสีย

 

การจากไปของคนไกลที่นานครั้งจะได้พบ

สร้างผลกระทบได้มากถึงเพียงนี้เชียวเหรอ?

.

ตัวฉันเองก็ไม่เข้าใจเท่าไรนัก

 

พ่อจากไปด้วยโรคร้ายในช่วงอายุที่นับว่าอยู่มานานเหลือเกิน เขาจากไปพร้อมความลับ คำสัญญา และปัญหาก้อนใหญ่ที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง … ความหดหู่ใจที่ต้องเห็นวาระสุดท้ายอันทรมานยังมีไม่มากเท่าความวุ่นวายในงานศพ

การต้องพบเจอคนทั้งหลายที่มีความเชื่อมโยงกันทางสายสัมพันธ์คือหายนะขนาดย่อม ฉันที่ไม่ได้ร้องไห้เพราะการสูญเสียจึงกลับต้องร้องไห้ออกมาเพราะความกดดัน

 

______________________

 

 

ลมหายใจที่กำหนดไม่ได้

ฤดูหนาว, 2557

 

หลังงานศพผ่านไปแล้วสามเดือนฉันก็เพิ่งตระหนักได้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ

ฉันที่เพิ่งเปลี่ยนชุดนักศึกษาเป็นเสื้อยืดเปิดอ่านสูจิบัตรจากงานศพเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้มาเปิดดูเอาตอนนี้ และเมื่ออ่านประวัติและข้อความที่พี่สาวเขียนถึงพ่อก็เกิดความรู้สึกกลวงโบ๋ขึ้นมา เพิ่งจะรู้ว่าความรู้สึกว่างเปล่ามีพลังรุนแรงมากยิ่งกว่าอารมณ์เศร้าเสียอีก

และความว่างเปล่าไม่มีอะไรก็ทำให้ฉันขาดสติ

ฉันเคยคิดว่าการฆ่าตัวตายมีไว้สำหรับคนแพ้และสิ้นคิด ซึ่งตัวฉันเองก็เคยดูถูกทางออกประเภทนี้จนคิดว่าจะไม่มีวันทำกับตัวเอง

 

จนกระทั่งวันนี้…

วันที่ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีกแล้ว ไม่มีความคิดใดๆ อยู่ในหัว ไม่มีความรู้สึกใดๆ ที่กำลังรู้สึก ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น ซึ่งมันทำให้ฉันเปิดถุงยาที่นานมาแล้วไม่ได้กิน หยิบเอายากล่อมประสาทและยานอนหลับทั้งหมดของหลายเดือนเข้าปากก่อนจะดื่มน้ำตามราวกับมันเป็นกิจวัตร

 

ไม่มีการวางแผน ไม่เคยคิดมาก่อน

นี่สินะ ความหมายของคำว่า “สิ้นคิด”

 

จำได้เลือนลางว่าความพะอืดพะอมทำให้ฉันพยายามพยุงตัวขึ้น แต่ไม่ทันจะยืนได้ด้วยสองเท้าก็กลับล้มลงไปใหม่ เข่ากระแทกลงตอนล้มยังไม่รุนแรงเท่าอาการปวดศีรษะเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยง ทั้งยังคลื่นไส้เวียนหัวจนทรมาน ภาพซ้อนเกิดขึ้นครั้งแรกในชีวิตจังหวะนั้นเอง ทุกอย่างรอบห้องมืดๆ เลือนและซ้อนทับกันไปหมดจนมองไม่ออก

 

ฉันกำหนดลมหายใจสุดท้ายให้ตัวเองและยอมแพ้ให้กับโลกใบนี้

/

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน

 

พื้นกระเบื้องเย็นที่แนบแก้มทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อย อาการทรมานทั้งหลายทุเลาลง ทว่าก็ยังไม่ถึงขั้นจะลุกขึ้นยืน ฉันไถตัวเองไปกับพื้นจนถึงขวดน้ำข้างเตียงก่อนจะเทกรอกลงปาก

 

ซึมเศร้า

 

ได้ยินเสียงโทรศัพท์สั่นอยู่ข้างๆ เลยเอื้อมมือไปหยิบ
เห็นวันที่บนหน้าจอก็พอนึกออกลางๆ ว่าน่าจะผ่านมาแล้วสองสามวันที่อยู่ในสภาพนี้

ฉันตอบข้อความที่เพื่อนถามว่าอยู่ที่ไหน

 

สักพัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะเสือกตัวเองไปถึงลูกบิดประตูแล้วปลดล๊อกได้

 

เพื่อนรักพร้อมบะหมี่สองถุง เดินเข้ามาในห้องมืดไร้หน้าต่าง เดินไปเปิดไฟ แล้วก็ตกใจกับสภาพห้อง ตอนนั้นเองฉันจึงสังเกตเห็นว่าอีกมุมหนึ่งมีขวดน้ำ ซอง และเศษยาจำนวนหนึ่งเกลื่อนกระจายบนพื้น

 

ไม่ต้องมีคำอธิบาย

ฉันคว้าถุงบะหมี่แล้วแกะห่อบนเตียงทั้งน้ำตาโดยเว้นสภาพที่เกิดเหตุไว้

 


เรื่องราวยังไม่จบ ใน Ep. หน้า เด็กต้นเรื่องจะได้พบกับบางอย่างที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอ …

ติดตาม Me & another Me ตอนต่อไป ได้ในวันเสาร์ ที่ 5 พฤษภาคม เวลา 21.00 น.
และอ่านตอนที่ผ่านมาที่ https://choojaiproject.org/category/articles/life-series/me-and-another-me/


Previous Next

  • Author:
  • เด็กผู้หญฺิงธรรมดาที่พบว่าตัวเองป่วยเป็น โรคซึมเศร้า เมื่อคุณหมอบอกให้การบ้านเป็นการเขียนไดอารี่ จึงเกิดเรื่องราวใน Me AND ANOTHER ME ขึ้นมา เคยเชื่อว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่งดงาม จนได้มาเจอพระเจ้าผู้สมบูรณ์แบบ
  • Illustrator:
  • Emma C.
  • เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
  • Editor:
  • Perapat T.
  • Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)