ผู้เขียน: Matt Chandler
ต้นฉบับภาษาอังกฤษ: Q&A on dating with Matt Chandler
*แมตต์ แชนด์เลอร์เป็นศิษยาภิบาลประจำคริสตจักร เดอะวิลเลจ ในเมืองดัลลัส และเป็นผู้เขียนหนังสือคริสเตียนเกี่ยวกับความรักหลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็น The Mingling of Souls: God’s Design for Love, Marriage, Sex, and Redemption
แฟนเราเอาจริงเอาจังกับพระเจ้าพอไหม?
พระคัมภีร์บัญชาให้คริสเตียนแต่งงานกับผู้เชื่อด้วยกัน (1 โครินธ์ 7:39; 2 โครินธ์ 6:14) แต่ในบริบทที่ทุกวันนี้คนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณจริงๆ หาได้น้อย ยิ่งการเอาความเติบโตฝ่ายวิญญาณเป็นเกณฑ์เวลามองหาคนที่จะมาเป็นคู่ครองในอนาคตด้วยแล้วล่ะก็… ทำให้เรามีตัวเลือกไม่มากนัก
ผมว่าสิ่งที่น้องกำลังหาก็คือ คนที่จริงจังในการเติบโตฝ่ายวิญญาณ ดังนั้นผมจึงคิดว่าคริสตจักรจึงควรดูแลและช่วยคริสเตียนโสดในเรื่องการคบหาดูใจกันและการแต่งงานด้วย ภายในชุมชนของพี่น้องในพระคริสต์ ควรจะมีสักคนที่บอกน้องได้ว่าคนที่น้องสนใจอยู่นั้นมีชื่อเสียงเป็นยังไง เอาจริงเอาจังกับพระเจ้ามากแค่ไหน และต่อสู้กับการทดลองหรือจัดการกับความบาปของเค้ามั้ย และนี่คือคุณสมบัติที่คุณควรมองหาในตัวคนๆ นั้น เขาคนนั้นเอาจริงเอาจังกับการเติบโตในความสัมพันธ์และมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าหรือไม่?
ที่ผมแนะนำอย่างนี้ เพราะเป็นเรื่องเศร้า เวลาเจอคริสเตียนโสดตกอยู่ในสภาพ “ขบวนสุดท้าย” โดยเฉพาะคริสเตียนสาวๆ ซึ่งมักจะอ้างว่า “ก็เค้าเป็นคริสเตียน แล้วเค้าก็มาโบสถ์ด้วย” แต่ในความเป็นจริงคือ หนุ่มคนนี้มาโบสถ์ไม่กี่ครั้งต่อเดือน แต่สำคัญกว่าการมาโบสถ์คือเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะรู้จักพระเจ้าจริงๆ ไม่ได้ขวนขวายที่จะเข้าใจพระคัมภีร์ให้มากขึ้น ไม่ได้ชอบอธิษฐาน ไม่ได้กระตือรือร้นในการเติบโต ไม่ได้ตั้งใจจัดการกับบาปในชีวิต แถมยังไม่มีใครในโบสถ์สนิทกับเค้ามากขนาดที่กล้าเข้าไปตักเตือนหรือหนุนใจเพื่อให้เขาเปลี่ยนแปลงได้
ในทางปฏิบัติก็คือ คนโสดจำเป็นต้องมีคนที่กล้าพูดตรงไปตรงมากับเรา เพราะเรากำลังได้รับการสร้างให้เป็นสาวก ไม่ว่าจะเป็นในแบบระบบพี่เลี้ยงน้องเลี้ยง หรือแบบสายสัมพันธ์ตามธรรมชาติ ซึ่งผมคิดว่าพี่เลี้ยงหรือคนที่คนโสดเข้าหา น่าจะเป็นตัววัดที่ปลอดภัยยิ่งกว่าการดูว่าคนๆ นั้นไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ไหม หรือไฮไลท์พระคัมภีร์ของตัวเองรึเปล่า
____________________
สำหรับคริสเตียน เวลาดูใจกันแบบไหนที่เรียกว่า “เร็วเกินไป” ?
คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าความสัมพันธ์ในช่วงการดูใจพัฒนาเร็วเกินไปรึเปล่า?
หรือตัดสินใจแต่งงานเร็วเกินไปไหม?
สำหรับคำว่า ‘เร็วเกินไป’ ผมคงต้องพูดอย่างระมัดระวังหน่อย แต่ขอถามก่อนว่าอะไรเป็นปัจจัยที่เร่งความเร็ว? ถ้าจุดดึงดูดภายนอกเท่านั้น หรือความรู้สึกพลุ่งพล่านที่มโนว่าคนนี้แหละคือคนที่ใช่ เป็นตัวเร่งแล้วล่ะก็ แบบนี้แหละที่เรียกว่า “เร็วเกินไป” ถ้าในระหว่างดูใจ คุณล้ำเส้นไปก่อนการทำความรู้จักตัวตน บุคลิก ชื่อเสียง และความรู้ในการดำเนินตามทางของพระเจ้า ก็จงรู้ไว้เถอะว่าแบบนี้ คือ เร็วเกินไป
แต่ถ้าในกรณีที่คุณได้เฝ้าดูชีวิตฝ่ายวิญญาณของคนๆ นั้น แล้วคุณเกิดความประทับใจตัวตน ชีวิต นิสัยใจคอของเขา คุณเห็นสิ่งที่พระเจ้าทำทั้งในและผ่านชีวิตของเขาคนนั้น แล้วคุณชื่นชมยินดี ถ้าเป็นอย่างนี้ ความเร็วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
ที่โบสถ์ผมมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ได้เจอกับคู่ครองของเขาและแต่งงานกันในเวลาไม่กี่เดือนต่อมา แต่ก่อนหน้านี้เธอได้มีโอกาสเฝ้าดูเขาทำพันธกิจที่โบสถ์ และได้ยินชื่อเสียงและกิตติศัพท์ต่างๆ ของเขา สิ่งที่เร่งความเร็วในความสัมพันธ์จึงไม่ใช่แค่อารมณ์ความรู้สึก และไม่ใช่เพราะเธอกลัวจะตกรถไฟขบวนสุดท้าย แต่เป็นการได้เห็นความสัตย์ซื่อที่คนๆ นั้นมีต่อพระเจ้า ความปรารถนาที่จะรับใช้พระเจ้า และความเอาจริงเอาจังกับพระเจ้าของเขา
____________________
เฟซบุ๊คทำลายการออกเดทรึเปล่า?
จากประสบการณ์ของคุณ เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลง
วิถีการทำความรู้จักกันของวัยรุ่นไปอย่างไรบ้างครับ?
คุณคิดว่ามันเข้าท่าหรือว่าน่าเป็นห่วงมากกว่ากันครับ?
ถ้าเป็นกรณีที่วัยรุ่นคู่หนึ่งกำลังออกเดท โดยที่ทั้งคู่ตัดสินใจเรื่องสถานะของความสัมพันธ์แล้ว และจริงจังกับความสัมพันธ์นี้ เทคโนโลยีก็จะช่วยปูทางให้เค้าได้ติดต่อกันบ่อยขึ้น ถ้าเป็นอย่างนั้นผมเห็นด้วยที่เทคโนโลยีได้เข้ามาช่วยเรื่องนี้
แต่ในกรณีที่เทคโนโลยีเปลี่ยนเกมการเข้าหากันของวัยรุ่น ก่อนที่จะตัดสินใจเรื่องสถานะความสัมพันธ์ให้ชัดเจนกลับทำให้ผมเป็นห่วงมากกว่า
ด้วยความที่ทุกวันนี้เราสามารถแชท ทวิต หรือโพสต์หน้าวอลของกันได้ เป็นการเปิดโอกาสให้จีบหรือหยอกเย้ากันโดยไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะตกลงกันว่า “ตอนนี้เราเป็นอะไรกัน?” และเพราะอย่างนี้ผมคิดว่าการจีบผ่านทางเทคโนโลยีจะสร้างบาดแผลยิ่งกว่าการจีบแบบต่อหน้าเสียอีก
สมมติว่ามีหนุ่มคนหนึ่งส่งข้อความมาให้ลูกสาวผมบ่อยๆ แล้วยังติดต่อกันผ่านทางสังคมออนไลน์อยู่เสมอ แต่เจ้าตัวไม่เคยบอกกับลูกสาวผมให้ชัดเจนว่า “เรากำลังจีบเธอนะ“ หรือไม่แสดงความปรารถนาที่ชัดเจนว่าอยากสร้างความสัมพันธ์อะไรเลย แบบนี้ผมชักจะกังวลแล้วสิครับ
ผมเห็นสาวๆ หลายคนในโบสถ์ที่ผมอยู่ ถูกล้อเล่นทางความรู้สึกโดยน้ำมือของหนุ่มๆ ที่ตามมากดไลค์ทุกเฟสบุ๊คโพสต์ หรือส่งข้อความมาหาเรื่อยๆ แต่ไม่ยอมพูดให้ชัดเจนว่าอยากให้ความสัมพันธ์เป็นแบบไหนกันแน่ แบบนี้ไม่ดีนะครับหนุ่มๆ
____________________
ผมควรจะออกเดทกับสาวคริสเตียนที่จริงจังกับพระเจ้าแต่ไม่โดนใจผมรึเปล่าครับ?
นี่เป็นคำถามที่หนุ่มโสดมักจะถามกันอยู่บ่อยๆ ถ้าผมไม่ถูกใจรูปร่างหน้าตาของผู้หญิงคริสเตียนที่รักพระเจ้า แล้วผมควรจะจีบเธอเพื่อพัฒนาความรู้สึกให้ชอบเธอมั้ย? ถ้าควร ผมควรใช้เวลากับเธอนานแค่ไหน? หรือจนกว่าจะรู้สึกว่าไม่ใช่ จนต่างฝ่ายต่างเจ็บและเลิกกันไปเองครับ?
ผมไม่หนุนใจให้หนุ่มๆ ไปจีบสาวที่รักพระเจ้าถ้าตอนนั้นคุณไม่ได้ถูกใจภายนอกของเธอด้วย แต่ผมหนุนใจให้หนุ่มๆ ไปเป็นเพื่อนกับสาวๆ เหล่านั้นก่อน ด้วยหวังว่ามิตรภาพจะกลายเป็นความรักได้ วัฒนธรรมในสังคมบอกเราว่า รูปร่างหน้าตาต้องมาก่อน หลังจากนั้นค่อยพิจารณานิสัยใจคอ ต่อด้วยชีวิตฝ่ายวิญญาณ และท้ายสุดคือความเข้ากันได้ แต่ผมว่าเราควรไล่จากหลังไปหน้า
ผมพึ่งประกอบพิธีแต่งงานให้กับชายหนุ่มคนหนึ่งที่มาใช้เวลาที่บ้านกับผมและลอเรนบ่อยๆ เค้าเจอสาวน้อยคนหนึ่งที่โบสถ์ของเราซึ่งเป็นคนที่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและเป็นหญิงสาวที่ดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า แต่หน้าตาภายนอกเธอไม่ตรงสเป็กหนุ่มคนนี้เลย แต่เค้าก็ชอบใช้เวลากับเธอ ผมก็เลยหนุนใจให้เค้ารักษาระดับความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนเอาไว้ด้วยหวังว่าความสัมพันธ์นี้อาจจะเติบโตได้
มองในมุมผู้หญิงคนนี้แล้ว ผมก็ไม่อยากให้หนุ่มคนนี้ไปพูดกับเธอว่า “ผมจะลองจีบคุณเผื่อว่าวันหนึ่งผมจะชอบรูปร่างภายนอกของคุณขึ้นมา”
ผมมักจะพูดกับน้องๆ บ่อยๆ ว่า “การดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้าจะดูเซ็กซี่เสมอในสายตาของคนที่รักพระเจ้า” ดังนั้นถ้าคุณใช้เวลากับผู้หญิงคนนึงและได้เห็นชีวิตฝ่ายวิญญาณและนิสัยใจคอของผู้หญิงคนนั้นแล้ว คุณจะเริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องการเข้ากันได้ ชีวิตฝ่ายวิญญาณ และการรับใช้ร่วมกันมากกว่ารูปกายภายนอกซะอีก
ในหนังสือที่ผมเขียน ผมเขียนว่าการถูกตาต้องใจกันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร แต่ไม่ควรถึงขั้นที่สังคมภายนอกพยายามหล่อหลอมเรา เพราะทุกอย่างจะเป็นไปตามกฏแรงโน้มถ่วงของโลกเสมอ สักวันเราทุกคนจะเต็มไปด้วยรอยตีนกา หูตาจะฝ้าฟาง ซิกแพคและหุ่นเซี้ยะๆ ที่เราเคยให้ความสำคัญเหลือเกินจะหายไป คงเหลือแค่ความดึงดูดใจที่มาจากตัวตนและคำสัตย์สัญญาแทน
ตอนที่ผมเป็นมะเร็ง ความเซ็กซี่ของผมหายเกลี้ยงภายใน 2 ปี ทั้งกำลัง เรี่ยวแรง อารมณ์ขัน ความโรแมนติกที่มีต่อลอเรน ผมของผมร่วงหมด กลายเป็นคนแห้งเหี่ยว ไม่หนุ่มไม่แน่นเหมือนก่อนที่จะเป็นมะเร็งเลย แต่เพราะลอเรนปฎิญาณตนในพันธสัญญาแห่งการแต่งงานกับผม เธอรักตัวตนของผมและการมีลักษณะที่เหมือนพระเจ้าของผม ซึ่งช่วยเติมพลังให้เธอสนใจในร่างกายของผมได้
สังคมภายนอกกรอกหูเราว่า รูปร่างหน้าตาและความเย้ายวนนั้นมาเป็นที่หนึ่ง แล้วค่อยเป็นนิสัยใจคอ ต่อด้วยชีวิตฝ่ายวิญญาณ และความเข้ากันได้ แต่เราควรเรียงลำดับใหม่จากหลังไปหน้า ผมคิดว่าเมื่อเราเข้ากันได้ ทั้งชีวิตฝ่ายวิญญาณและนิสัยใจคอ เราก็จะดึงดูดกันในแบบที่พระเจ้าพอพระทัย และปลอดภัยสำหรับชีวิตจิตใจของเรา
แต่ในทำนองเดียวกัน ผมก็ต้องการปกป้องหัวใจโดยเฉพาะของสาวๆ ที่จะไม่โดนพวกหนุ่มๆ มาแกล้งจีบเล่นๆ ดังนั้นจงเริ่มต้นจากการเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก่อน แล้วค่อยๆ ปล่อยให้ความสัมพันธ์นั้นเติบโตขึ้น ซึ่งผมเชื่อว่า เมื่อเวลาผ่านไป ในที่สุดเราจะเลือกคนนั้นที่นิสัยใจคอและชีวิตฝ่ายวิญญาณมากกว่าสิ่งอื่นใด
<3 พบกับ #LoveCoach และ #โค้ชเจเจ้ คอลัมน์ตอบปัญหาความรักในสไตล์คริสเตียนได้ทุกวัน อังคารสีชมพูววว์ หรือ ใครที่มีเรื่องความรักแน่นอก อยากให้พี่ชูใจช่วยยกออก ก็ Inbox เข้ามาได้จ้า <3
Related Posts
- Translator:
- Por Paula
- พอลล่า รักเด็กและหน้าก็เด็ก บุคลิกร่าเริงสดใสวัยรุ่นชอบ จึงคร่ำหวอดในงานพันธกิจวัยรุ่น ชอบเดินทางเน้นกินและถ่ายรูป มีความสามารถทั้งการเขียน การแปล เห็นงานชูใจเลยคันไม้คันมืออยากมาร่วมแจมกัน!
- Illustrator:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
- Editor:
- Gade Rammasoon
- จากแฟนคลับชูใจ พลิกผันมาเป็น Editor เรียบเรียงคำแปลในทีมชูใจ เธอผู้นี้ถวายตัวรับใช้พระเจ้ากับ YWAM มีทั้งงานแปล งานสอน และเต้นรำเพื่อการนมัสการ! ภารกิจรัดตัวแต่ก็ยังอาสามาช่วยชูใจน้องๆ กัน
- Editor:
- Jick
- บก.ชูใจ ผู้ใฝ่ฝันจะชูใจน้องๆ จากความพลาดของตัวเอง