…
“คนที่สัตย์ซื่อในของเล็กน้อยจะสัตย์ซื่อในของมากด้วย
และคนที่อสัตย์ในของเล็กน้อย จะอสัตย์ในของมากเช่นกัน” (ลูกา 16:10)
…
ในโลกที่คุณค่าและความสามารถวัดกันด้วยคะแนนสอบ ทำให้ใครต่อใครต่างต้องพยายามอย่างมากในการที่จะพิสูจน์ตัวเอง แต่สำหรับบางคนแค่ความตั้งใจอาจไม่พอ ดังนั้นเมื่อพยายามอย่างสุจริตไม่ได้ก็คงต้องอาศัยการทุจริตซะแล้วล่ะ!!!
“ฉลาดเกมส์โกง” หนังเรื่องล่าสุดจากจีดีเอช ซึ่งหยิบยกเอาประเด็นความฟอนเฟะของระบบการศึกษามาเล่าอย่างมีชั้นเชิง ชูโรงด้วยประเด็นการโกงสอบที่ยังไม่มีหนังไทยเรื่องไหนกล้าตีแผ่ แต่ ‘บาส–นัฐวุฒิ พูนพิริยะ’ ผู้กำกับ หยิบประเด็นนี้มาขยี้จนละเอียด มากกว่านั้นตัวหนังยังให้ภาพความบิดเบี้ยวในระบบการศึกษาอีกหลากหลาย ทั้งการจ่ายค่าแป๊ะเจี๊ยะ (เรียกสวยๆ ว่าค่าบำรุงการศึกษา) การปล่อยข้อสอบรั่วผ่านชีทเรียนพิเศษของคุณครู ค่านิยมการส่งบุตรหลานเข้าสู่โรงเรียนฮอตฮิตจนต้องกู้หนี้ยืมสิน และการใช้เด็กเป็นเครื่องมือในการหาผลกำไรและปลดทิ้งเมื่อหมดประโยชน์ แม้พล็อตหนังจะใหม่แต่เรื่องโกงๆ แบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ จริงมั้ยครับ ^^
_____________________________
เนื้อเรื่องย่อ :
‘ลิน’ เด็กหัวดีค่อนไปทางอัจฉริยะ ได้เจอกับความไม่เป็นธรรมหลายอย่างในระบบโรงเรียน เธอพบว่าพ่อของเธอเองก็เป็นเบี้ยล่างในเกมส์ผลประโยชน์นี้ จุดพลิกผันของเธอเริ่มจากการช่วยเหลือ ‘เกรซ’ ในการส่งคำตอบวิชาคณิตศาสตร์ที่ครูปล่อยข้อสอบรั่วเพื่อให้เด็กที่เรียนพิเศษกับตัวเองสอบได้ เหตุการณ์นี้นำให้เธอได้รู้จักกับ ‘พัฒน์’ เด็กบ้านรวยที่คะแนนสอบสวนทางกับฐานะ แม้จะดูจนตรอกทางการเรียนแต่เขากลับฉลาดเป็นกรดในเรื่องการหาเงิน ‘พัฒน์’ เสนอให้ ‘ลิน’ มาเป็นส่วนหนึ่งของการโกงข้อสอบเพื่อผลตอบแทนหลักล้าน ในที่สุดทั้งสามก็ก้าวข้ามการโกงระดับ OTOP สู่การโกงระดับอินเตอร์ โดยดึง ‘แบงค์’ นักเรียนทุนอัจฉริยะที่ยากจนเข้ามาเกี่ยวข้องในมหากาพย์โกงสอบข้ามชาติครั้งนี้ หมากเกมส์นี้จะลงเอยยังไงตีตั๋วเข้าไปดูหนังกันเองนะครับ (หนังดีมากกกกก)
คำเตือน! มีการสปอยล์เรื่องราวในหนังเล็กน้อย แต่ไม่ได้เปิดเผยสาระสำคัญของหนัง
_____________________________
คำพูดของ ‘ลิน’ สะท้อนค่านิยมอะไรให้เราได้เรียนรู้บ้าง?
1. “มันโกงเราก่อนนะพ่อ”
ลินบอกกับพ่อหลังถูกจับได้ว่า เธอทำธุรกิจโกงข้อสอบให้เพื่อนจนได้เงินในบัญชีหลักแสน…
สิ่งที่ผลักดันให้เด็กใฝ่ดีอย่างลิน เข้าสู่วงจรการค้าข้อสอบก็คือความไม่ยุติธรรมที่เธอได้เจอ ทั้งการที่เธอได้รู้ว่าพ่อตัวเองต้องเป็นหนี้จากการพยายามให้เธอได้เรียนในโรงเรียนชื่อดัง (แม้จะได้ทุนเรียนฟรีแต่ต้องเสียค่าแป๊ะเจี๊ยะหลักแสน) อีกทั้งการที่โรงเรียนตั้งกฎแปลกประหลาดเกี่ยวกับการคัดตัวนักแสดงละครเวทีของโรงเรียนที่ต้องได้เกรดเฉลี่ย 3.4 ก็เป็นการปิดกั้นโอกาสในการเป็นนักแสดงละครเวทีของ เกรซ เพื่อนสนิทผู้ใฝ่ฝันและหลงใหลการแสดงแต่เรียนไม่เก่ง
การเริ่มต้นเกมส์โกงของลิน เกิดขึ้นเมื่อเธอรู้ว่าครูประจำวิชาคณิตศาสตร์เล่นไม่ซื่อ ออกข้อสอบตามชีทที่ตัวเองสอนพิเศษทำให้เด็กที่เรียนพิเศษสอบได้กันถ้วนหน้า เธอจึงช่วยเกรซด้วยการส่งคำตอบให้ นี่คือก้าวแรกและเป็นจุดเปลี่ยนทางความคิดของเธอไปตลอดกาล
หลายครั้งเราคริสเตียนก็มักมีข้ออ้างไม่ต่างจากลินที่สนับสนุนความชอบธรรมในการทำความผิดของตัวเอง
“ใครๆ เค้าก็ทำกัน”
“ก็ครูสอนไม่รู้เรื่อง”
“วิชานี้ไม่ได้จริงๆ ลงเรียนมาหลายครั้งแล้ว”
“สอบติดมหาลัยแล้ว แต่ไม่ผ่านวิชานี้เนี่ยเอาแค่ผ่านๆ ไป”
“มันอ่านไม่ทันแล้วจริงๆ …ขอซักครั้งต่อไปจะตั้งใจเรียน”
“ลูกตุ้มฉ้อและเครื่องตวงโกง ทั้งสองเป็นที่น่าเกลียดน่าชังแก่พระเจ้าเหมือนๆ กัน” สุภาษิต 20:10
วิธีคิดของพระเจ้าแตกต่างออกไป หลายอย่างรอบตัวเราอาจดูทุจริตพุพัง (Corrupt) พระเจ้าจึงต้องลงมาในโลกเพื่อตายแทนเราและช่วยให้เราทำในสิ่งที่ถูกต้อง (Correct) ในฐานะที่เราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นตัวแทนของพระองค์ในโลกนี้ เราจึงต้องสำแดงพระลักษณะหนึ่งของพระเจ้านั่นคือ ทำสิ่งที่ผิดให้ถูก ไม่ใช่เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของคนในโลก แต่เพื่อให้ชีวิตของเราเป็นที่พอพระทัยพระเจ้านะครับ
2. “การโกงมันหมายถึงต้องมีฝ่ายใดฝ่ายนึงเสียผลประโยชน์ แต่นี่ทุกคนได้ประโยชน์ เขาได้คำตอบ เราได้เงิน win-win”
ความคิดชุดนี้ของลินฟังดูเข้าท่า แต่หากเรามาคิดดูดีๆ แล้วจะพบว่ามันไม่ถูก ในสายตาของลินอาจจะมองว่าเธอใช้ความรู้ของเธอเองและคนจ่ายก็ยินดีจ่าย ถ้ามองแค่นั้นก็ดูวิน-วิน แต่ที่จริงความเสียหายที่เกิดขึ้นมันมากมายกว่านั้น…จริงรึเปล่าที่ว่า “ทุกคน” ได้ประโยชน์?
แน่นอนว่าไม่คนที่จ่ายเงินเองก็ไม่ได้รับประโยชน์เท่าไหร่ เพราะพวกเขาก็ยังคงกลวงโบ๋ทางความรู้ ยิ่งในการสอบอย่าง STIC (ในชีวิตจริงคือการสอบ SAT) ที่ต้องการคัดคนเข้าสถาบันการศึกษาด้วยแล้ว มหาลัยคงต้องส่ายหัวถ้าได้ บรรดาลูกค้าผู้น่ารักของลินเข้าไปเรียน ส่วนคนที่มีความสามารถที่ไม่ได้โกงก็อาจสอบไม่ติดเพราะถูกแย่งเก้าอี้ไป
สถานการณ์นี้คล้ายกับในปฐมกาลที่งูพูดชักจูงเอวาในสวนเอเดน ตอนที่งูใช้คำล่อลวงให้เอวากินผลไม้ “เจ้าจะไม่ตายจริงดอก เพราะพระเจ้าทรงทราบอยู่ว่า เจ้ากินผลไม้นั้นวันใด ตาของเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือสำนึกในความดีและความชั่ว” ฟังดูวิน-วินเหมือนกันมั้ยครับ?
เอวาไม่รู้ ลินเองก็ไม่รู้หรอกว่าการกระทำของตัวเองส่งผลกระทบไปกว้างแค่ไหน สำหรับสิ่งที่ลินทำมันส่งกระทบไปถึงแบงค์ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล
3. “ต่อให้แกไม่โกงใคร ชีวิตก็โกงแกอยู่ดี”
ประโยคที่ลินบอกกับแบงค์ฟังดูเจ็บปวด หลายครั้งสิ่งต่างๆ ดูไม่เป็นใจกับคนดีๆ เลย สิ่งที่แบงค์ยึดถือมาตลอดคือความซื่อสัตย์และความพยายาม เพราะเขาเกิดมามีต้นทุนชีวิตที่น้อยกว่าเพื่อนเขาจึงต้องพยายามหนักกว่าคนอื่น เมื่อสิ่งที่เชื่อกลับทำร้ายและดูเหมือนชีวิตเล่นตลก แบงค์จึงหันหลังให้กับความถูกต้องที่เคยยึดไว้และเข้าสู่วังวนของความมืดอย่างกลับตัวไม่ได้
เพราะเมื่อความหวังและสิ่งที่ยึดถือมาตลอดถูกทำลาย จะให้เขากลับไปหาอะไร? …
“คนมีสติปัญญามีตาอยู่ในสมอง แต่คนเขลาเดินในความมืด ถึงกระนั้นข้าพเจ้ายังเห็นว่า เคราะห์อย่างเดียวกันเกิดขึ้นแก่เขาทั้งมวล” (ปัญญาจารย์ 2:14)
ชีวิตโกงเราแน่นอนอยู่แล้วครับ กษัตริย์ซาโลมอนก็ยังบอกไว้อย่างนั้น ความโกงของชีวิตคือความ ‘อนิจจัง’ หรือที่แบงค์เรียกว่า “ซวย” นั่นเอง เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง
สำหรับคนของพระเจ้าเราต่างรู้ว่าเราควรเลือกที่จะตอบสนองต่อเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาด้วยการพึ่งพาพระเจ้า ไม่ใช่พึ่งพาความรอบรู้ของตัวเอง เพราะถ้าเรารู้มากเราก็อาจลำพอง คิดว่าตัวเอง ”เก่ง” ถ้าเรารู้น้อยเราก็ต้องระวังว่าเราจะทำกดดันไม่ไหวจนเลือกที่จะ “โกง”
“แกไม่คิดบ้างเหรอ ว่าแกเองต้องมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบด้วย?”
ครั้งหนึ่งเคยเป็นประโยคที่ลินพูดกับแบงค์เพื่อโน้มน้าวให้เขามาทำธุรกิจโกงข้อสอบด้วยกัน และประโยคเดียวกันนี้ที่แบงค์ตอกกลับลิน เมื่อตอนที่เค้าดึงเธอกลับมาเข้าสู่วังวนการโกงอีกครั้งหลังจากที่เธอถอนตัวไปแล้ว ไม่ว่าเราจะตัดสินใจทำอะไรในชีวิตนี้ เราไม่อาจปฏิเสธผลที่ตามมาได้ และเราจะต้องเป็นคนรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นจากมัน
” อย่าให้ผู้ใดหลอกลวงตัวเอง ถ้าผู้ใดในพวกท่านคิดว่า ตัวเป็นคนมีปัญญาตามหลักของยุคนี้ จงให้ผู้นั้นยอมเป็นคนโง่ จึงจะเป็นคนมีปัญญาได้ (1 โครินธ์ 3:18)
ชีวิตคริสเตียนก็เหมือนกับการสอบและเป็นการสอบที่ยากมาก จุดจบของความคอรัปชั่นในชีวิตจริงอาจไม่ได้เหมือนในหนังทุกราย แต่พระเจ้าจะเป็นผู้พิพากษาทุกการกระทำในชีวิตของเรา สำหรับคนมากมายในโลกนี้อย่างลินและเพื่อนๆ เงินและคะแนนอาจเป็นสิ่งที่พวกเขายอมทุ่มสุดตัว แต่สำหรับคริสเตียนที่เราไม่ได้เชื่อว่าชีวิตจบแค่ในโลก จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะใช้เล่ห์กลอุบายเพื่อให้เราได้มาซึ่งคะแนนที่เป็นตัวเลข หรือเงินเพื่อเป็นใบเบิกทางของโอกาส แต่ปิดกั้นพระพรและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในชีวิตเรา
“เพราะว่าปัญญาของโลกนี้ เป็นความโง่เขลาในสายพระเนตรของพระเจ้า ด้วยมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระองค์ทรงจับคนที่มีปัญญาด้วยอุบายของเขาเอง และมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์อีกว่า พระเจ้าทรงทราบว่า ความคิดของคนมีปัญญาเป็นสิ่งไร้ประโยชน์” (1โครินธ์ 3:19-20)
ท้ายที่สุดแล้วเราไม่คิดบ้างเหรอ ว่าเราเองต้องมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบด้วย? ทุกการกระทำบนโลกนี้ไม่ว่าจะถูกจับได้หรือไม่ ล้วนส่งผลทันทีกับความคิดและจิตวิญญาณของเรา เมื่อเราเริ่มโกงเพียงเล็กน้อย เราก็จะโกงมากขึ้น เมื่อลินก้าวเข้าสู่เส้นทางสีดำของเธอยิ่งทำให้เธอถลำลึกลงไป และลากแบงค์ให้เข้าสู่เส้นทางเหล่านั้นด้วย หลายครั้งเราเองก็นำให้คนอื่นตามเข้าไปในเส้นทางแบบนั้นแม้เราอาจกลับออกมาได้ แต่คนที่ตามเข้าไปอาจไม่ออกมาอีกเลยก็ได้นะครับ
“จบเรื่องแล้ว ได้ฟังกันทั้งสิ้นแล้ว จงยำเกรงพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เพราะนี่แหละเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง ด้วยว่าพระเจ้าจะทรงเอาการงาน ทุกประการเข้าสู่การพิพากษาพร้อมด้วยสิ่งเร้นลับทุกอย่าง ไม่ว่าดีหรือชั่ว” (ปัญญาจารย์ 12:13-14)
ด้วยรักและกระดาษคำตอบ
.
ติดตามบทความในคอลัมน์ #Featured คอลัมน์ในกระแสที่หยิบจับเอาเรื่องทั่วไปมาพูดคุยกันในมุมมองของคริสเตียน มีประเด็นน่าสนใจเมื่อไหร่เจอกันแน่น๊อนนนน ☺
Related Posts
- Author:
- Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)
- Illustrator:
- Jostar
- พี่ชายผู้อบอุ่นละมุนละไม เวลาใส่หมวกกันน๊อคแล้วนั่ลล๊าคดั่ง Pororo อดีตมาสเซอร์วิชาสอนศิลปะ ปัจจุบันถวายตัวรับใช้ที่โบสถ์สไตล์ลอฟๆ ชอบขีดๆ เขียนๆ วาดๆ
- Editor:
- Jick
- บก.ชูใจ ผู้ใฝ่ฝันจะชูใจน้องๆ จากความพลาดของตัวเอง