ซีรีย์ : เรื่องเหล้าของผม
ตอนที่ : 3/6
อ่านเรื่องเหล้าของผมทุกตอนได้ที่ : https://choojaiproject.org/category/articles/life-series/my-alcohol-story/
.
ในช่วงมัธยมผมเคยโดนพี่เลี้ยงผมต่อว่าว่า ผมเป็นคนมีข้ออ้างเยอะ เหตุผลที่ใช้ ‘แถ’ มีเยอะมากจนพี่เลี้ยงผมต้องเตือนว่า “ผิดก็ยอมรับว่าผิด การขอโทษมันทำให้เรื่องจบเร็วกว่าแถ” ทำให้ผมต้องกลับใจใหม่และตั้งใจว่าจะเป็นคนที่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้าทั้งต่อหน้าและในใจ
_________________________________
อาทิตย์แรกของชีวิตมหาลัยเริ่มต้นด้วยการรับน้อง นอกจากกิจกรรมเฮฮาปกติแล้ว วันสุดท้ายของการรับน้องก็ถือเป็นไฮไลท์ เพราะจะมีการเฉลยสายรหัสกับกินข้าวร่วมกันทั้งรุ่นพี่และอาจารย์
“ไปต่อกันน้อง”
“พี่ครับ พอดีผมมีธุระ ขอตัวก่อนนะครับ”
“เหอะน่า พี่เลี้ยงๆ ไปเถอะ”
“เอ่อ… ขอโทษครับพี่ ผมมีธุระจริงๆ”
“อะไรมึง พี่เค้าเลี้ยงก็ไปหน่อย เอาม่วน”
.
ขอบคุณพระเจ้าที่เพื่อนโทรมาขอความช่วยเหลือตอนนั้นพอดี วันนั้นจึงสามารถเอาตัวรอดมาได้อย่างฉิวเฉียด
.
_________________________________
ขึ้นชื่อว่าคณะดนตรี วัฒนธรรมการดริ๊งค์ยิ่งอยู่ในสายเลือด ขนาดว่าช่วงปี 1 ซึ่งถือว่าเรียนหนักที่สุดแล้วสำหรับสาขาผมก็ยังมีการดริ๊งค์ให้เห็นแทบทุกสัปดาห์ ที่แย่กว่านั้นคือผมได้สายรหัสที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “คอทองแดง” ของสาขา นับรวมตั้งแต่รุ่นพี่แต่ละชั้นปียันรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว ไม่รู้ว่าพระเจ้าจะพิสูจน์คำพูดของผมรึเปล่าถึงส่งบททดสอบความเชื่อที่เข้มข้นขึ้นให้ผมเรื่อยๆ
“เอาเบียร์ไหม ใครเอาบ้างยกมือ”
รุ่นพี่ในสายรหัสถามขึ้นขณะที่พาพวกเราไปกินเลี้ยงสาย ทุกคนยกมือยกเว้นผมคนเดียว ตอนแรกก็อึดอัดใจไม่น้อยเพราะเกรงใจรุ่นพี่ แต่พอถูกถามก็มีพี่คนหนึ่งที่เคยเล่นดนตรีด้วยกันสมัยม.ปลายพูดขึ้นมาว่า
“เฮ้ย ไอ้นี่มันไม่กินหรอก”
ผมปฏิเสธจากการถูกชวนเข้าวงเหล้าเรื่อยมาตลอดสองปีแรกในมหาวิทยาลัย ถึงจะโดนล้อบ้างว่าเป็นศาสนาจารย์ เป็นบาทหลวง แต่ผมกลับคิดว่ามันสะท้อนให้เห็นว่าในสายตาของเขาเราเป็นคนยังไง และการปฏิเสธนี้ไม่ได้ทำให้ผมขาดเพื่อนหรือเข้าสังคมกับเพื่อนในสาขาไม่ได้ ผมมีจุดร่วมกับพวกเขาในการเล่นดนตรี รวมถึงยังมีสังคมเพื่อนคริสเตียนอีกด้วย
พอหมดช่วงปี 1 ไปคำชวนก็เริ่มลดลงไปเอง เพราะทุกคนเริ่มรู้ตัวตนของแต่ละคนมากขึ้น เริ่มรู้ว่าคนไหนกิน คนไหนไม่กิน พอเข้าปี 3 ก็แทบจะไม่มีปัญหาเลย และเมื่อได้เป็นรุ่นพี่ผมจึงพาน้องในสายรหัสไปเลี้ยงหมูกะทะแทนเหล้า
_________________________________
ประชากรคริสเตียนในสาขาที่ผมเรียนมีประมาณ 10-20% ในแต่ละชั้นปี ซึ่งถือว่าจำนวนไม่น้อย แต่การใช้ชีวิตกับคริสเตียนในมหาลัยกลับยากกว่าการใช้ชีวิตกับคนไม่เชื่อ เพราะมีคริสเตียนอยู่หลายประเภทในนั้น
คริสเตียนสายดาร์ก กลุ่มนี้จะไม่สนใจเลยว่าตัวเองเป็นคริสเตียน ดำรงตนอย่างชัดเจนในความมืด เหล้า บุหรี่ กัญชา การพนัน ครบ ผมก็ปฏิบัติกับเขาปกติ ไม่ตัดสิน แต่พูดความจริงถ้าเขาถาม มีเพื่อนผมคนหนึ่งที่อยู่กินกับแฟน ทั้งคู่เป็นคริสเตียน เขามาถามผมว่าการทำแบบนี้มันโอเคไหม ผมก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา ทั้งตามความเชื่อคริสเตียนและตามบริบทคนไทย
คริสเตียนสายเทา กลุ่มนี้มักหลีกเลี่ยงที่จะพูดคุยกันตรงๆ เพราะใจเขาก็รู้ว่ามันไม่ดี แต่ผมก็จะชอบยิงประเด็นเปิดบทสนทนา และหลายครั้งที่ได้เปิดใจคุยกับเพื่อนหรือรุ่นน้อง ผมก็จะบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่าถ้าไม่กินได้มันก็ดีกว่า โดยเฉพาะถ้าเขาเป็นนักร้องมันก็จะมีผลต่อการร้องเพลง สุขภาพ หรือแม้แต่เรื่องเงิน ทั้งนี้ทั้งนั้นผมไม่เคยห้าม แต่จะบอกให้คิด หรือเสนอทางให้เลี่ยงซะมากกว่า
คริสเตียนสายขาว ข้อดีของกลุ่มนี้คือเขาจะมีชีวิตที่ดีตามแบบฉบับของคริสเตียน แต่คนกลุ่มนี้มักจะปลีกตัวออกจากกลุ่มเพื่อนในมหาลัย เรียนเสร็จก็กลับบ้าน ทำให้ไม่มีสังคมในมหาลัย ขาด connection ซึ่งสำคัญมากต่อชีวิตนักดนตรีเพราะการมี connection จะช่วยให้เรามีงาน ผมก็ไม่ค่อยเห็นด้วยที่คนกลุ่มนี้จะใช้ชีวิตปลีกตัวออกจากสังคมโลก เพราะนั่นทำให้เรากับเขาแบ่งแยกกันอยู่คนละโลก ความสว่างจะเห็นชัดเจนได้ก็ต่อเมื่อได้อยู่ในความมืดเท่านั้นนะ ผมว่า
คริสเตียนสายขาวโอโม่ ที่บอกว่าขาวโอโม่นี่เพราะเราจะเห็นความ “ไชน์” (เปล่งแสง) ออกมาจากร่างของคนกลุ่มนี้ เขาจะขาวแบบเอ็กสตรีม ขาวสุดโต่ง ในความขาวมีความเทพอยู่ด้วยเพราะกลุ่มนี้คนธรรมดาจะเข้าถึงยาก บางคนภูมิใจในความขาวของตัวเองจนชี้นิ้วตัดสินคนอื่น คือ ผมชอบในความโอโม่ของเขานะครับ แต่ผมว่าขาวแบบนั้นมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ที่จริงแล้วเราควรใช้ชีวิตคริสเตียนที่ขาวแบบไม่แบ่งแยก ไม่ป้ายสีดำให้คนอื่นดูแย่ แต่น่าจะช่วยพยุงกันไปให้คนอื่นอยากขาวขึ้นเหมือนเรา
_________________________________
ช่วงชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นบททดสอบที่ยากที่สุด โดนรุกเร้ามากที่สุด เรียกได้ว่าถูกตื๊ออย่างต่อเนื่อง แต่ก็เป็นช่วงที่เติบโตและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้ามากขึ้นอีกช่วงหนึ่งด้วย ผมได้อยู่ในทีมนมัสการหลายทีม ผมรู้สึกว่าการได้รับใช้ช่วยได้มาก เพราะมันทำให้ผมตระหนักตลอดว่าผมอยู่ในทีมที่ต้องนำคนอีกหลายคนนมัสการพระเจ้า ถ้าผมรู้สึกไม่พร้อม ผมก็จะบอกว่าผมไม่พร้อม ขอไม่ทำหน้าที่ดีกว่า เพราะผมรู้สึกว่ามันไม่จริงใจ ซึ่งสิ่งนั้นสำคัญที่สุดในการรับใช้พระเจ้า
เคล็ดลับอย่างหนึ่งที่ผมได้จากช่วงเวลานั้นก็คือ “การใช้เวลากับพระเจ้า” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ผมไม่ได้หลงไปกับการทดลองที่ยั่วยวนพวกนั้น หลายคนที่เล่นดนตรีนมัสการพระเจ้ามักมีชีวิตสองด้าน เก่งมากแต่ก็ไม่ได้มีชีวิตที่แสดงให้เห็นพระเจ้าในตัวเขาเด่นชัด และผมก็คิดว่าพระเจ้าไม่ได้ต้องการอย่างนั้น อย่างที่บอก ผมตั้งใจแล้วว่า ผมจะสัตย์ซื่อกับพระเจ้าทั้งข้างนอกและข้างในอย่างที่เคยอธิษฐานและตั้งใจไว้
ดีกว่าเป็นนักดนตรีที่เก่งแต่ไม่สัตย์ซื่อ…
ดีกว่าใช้ชีวิตแถๆ อย่างที่ผมเคยเป็นมา…
คอลัมน์ #เด็กสมัยนี้ ร่วมติดตามเรื่องราวของเด็กต้นเรื่อง และการเดินทางแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าของเหล่าคริสเตียนรุ่นใหม่ได้ ทุกวันเสาร์ เวลา 1 ทุ่มตรงนะจ๊ะ
Related Posts
- Author:
- เป็นคนคูลๆ เป็นคริสเตียน เรียนดนตรี บุหรี่ไม่สูบ รูปโปรไฟล์ไม่ค่อยเปลี่ยน แม้ตัวจริงไม่ได้แก่แต่เพื่อนๆ ให้ฉายาว่า "ผู้ใหญ่บ้าน" เรื่องเขียนเพลงพี่ชูใจไม่ห่วง แต่เรื่องเขียนบทความนี่พี่ชูใจอยากให้ลองอ่าน
- Illustrator:
- tumtim
- เด็กสาววัยรุ่นพึ่งจบจิตวิทยามาหมาดๆ แต่มุ่งมั่นตั้งใจจะทำงานสายกราฟิก เธอผู้ยังหาค้นหาตัวเองคนนี้มีความสามารถมากมายที่ตัวเองไม่มั่นใจอยู่ตลอดเวลา เลยเจอพี่ชูใจจับมาใช้งานให้มั่นใจซักทีว่าตัวเองมีของ
- Editor:
- Jick
- บก.ชูใจ ผู้ใฝ่ฝันจะชูใจน้องๆ จากความพลาดของตัวเอง
- Editor:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน