เด็กต้นเรื่อง : วิจิตราhttps://choojaiproject.org/category/articles/life-series/yogurtland-and-vijitra/
อ่านโยเกิร์ตแลนด์แอนด์วิจิตราทุกตอนได้ที่ :เคยต้องตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดูเหมือนมีน้ำหนักเท่าๆ กันมั้ยคะ?
คือต้องเลือกระหว่างสองสิ่งที่ไม่ได้มีอันไหนถูก หรือผิดไปกว่ากัน นั่นแหล่ะคือสิ่งที่เราเจอ การที่จะคิดเพียงแค่ว่าได้ทุนแล้วก็ไปสิ ไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
หลังจากที่รู้ว่า “ติดละจ้า!” ทุนที่ได้มาแบบงงๆ (แต่ก็รู้ว่า พระเจ้าอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มันไม่บังเอิญแน่ๆ) เราก็เลยส่งอีเมล์กลับไปทางผู้ประสานงานของมหาวิทยาลัยต้นสังกัด University of Ruse เพื่อขอบคุณที่เลือกเราและถามถึงข้อมูลที่จะต้องเตรียมตัวในขั้นต่อไป
แต่ว่าผ่านไป 1 วัน… เงียบจ่ะ
2 วันก็เงียบจ้า …
5 วัน เอ๊ะ! ลุงเปิดอ่านเมล์บ้างมั้ย
เฮ้ยย 2 อาทิตย์ก็แล้วนะ….
หรือว่าอีเมล์ที่ประกาศผลเป็นสแปมส่งมาเพื่อให้ดีใจเล่นรึป่าว เราเลยส่งอีเมล์ฉบับเดิมพร้อมเพิ่มคำถามใหม่เล็กน้อยไปอีก 2-3 ครั้งแต่ผลที่ได้คือ ความเงียบ คุณคะ อันนี้คือได้ทุนจริงๆ แล้วใช่มั้ย? จนวันนึงอาจารย์ผู้ประสานงานเรื่องทุนของมหาวิทยาลัยเรียกนักศึกษาทุนทุกคนเข้าพบ ปรากฏว่าทุกคนที่อยู่ในโครงการเดียวกับเราได้รับการติดต่อกลับจากผู้ประสานงานเรียบร้อยแล้ว และกำลังดำเนินการทำวีซ่าเตรียมเดินทางช่วงกลางเดือนสิงหา แต่วิจิตรานี่สิ ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับด้วยซ้ำ
“เอ้… หรือว่านี่จะไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้านะ” หลายครั้งเลยที่คำถามนี้ผุดขึ้นมาในความคิด
ปัญหามันไม่ได้อยู่แค่การรอจดหมายตอบกลับเท่านั้น แต่มันมีเรื่องอื่นที่สำคัญรวมอยู่ด้วย เพราะเราอยู่ปี 4 ปลายๆ และปี 5 เราต้องไปฝึกสอนแล้ว (เรียนครูจ้า) ด้วยความที่ยังไม่ได้รับจดหมายตอบกลับ ทำยังไงดีล่ะ ต้องตัดสินใจแล้นนน
ตอนนั้นเราคิดมากพอสมควร เพราะเรื่องเวลาการฝึกสอนที่ไม่ลงตัวทำให้อาจต้องจบช้าไปกว่ากำหนดถึงสองปี แค่คิดก็พังละ ☹ แต่เราก็จบเรื่องนี้ไว้ที่ตัวเรา มีขอคำปรึกษาจากเพื่อนๆ บ้าง ไม่ได้ปรึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษา เพราะเราเองก็ยังไม่มั่นใจในทุนที่ได้ด้วยซ้ำ ช่วงรอจดหมายเราเลยตัดสินใจไปฝึกสอนก่อน รอได้จดหมายตอบกลับแล้วค่อยว่ากัน ระหว่างไปฝึกสอน ความซับซ้อนกลับยิ่งหนักขึ้นกว่าเดิม คือเรามีเพื่อนจากมช. ไปด้วยอีก 1 คน “เฮ้ยย แกจะทิ้งเพื่อนเหรอ?!?!” (คือโรงเรียนที่ไปฝึกสอนอยู่ไกล จะออกมาในเมืองทีนึงคือ คิดแล้วคิดอีก) แถมครูที่หมวดกำลังจะเกษียณ 1 คน นั่นหมายความว่าถ้าเราออกไปกลางเทอม จะมีคาบลอย (ไม่มีใครสอน) ประมาณ 20 คาบเรียน (โอ้ว เส้นทางการไปเหยียบย่ำแผ่นดินโยเกิรต์ทำไมมันดราม่าแบบนี้!!!)
เอาเป็นว่าช่วงฝึกสอน 2 อาทิตย์แรกเราห่อเหี่ยวมาก เราถามตัวเองว่า “กรี๊ดดดด มาทำอะไรที่นี่เนี่ย มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้รึป่าวคะ พระเจ้า?!?!” เราไม่เข้าใจพระเจ้าจริงๆ นะ เราคิดว่า ถ้าพระเจ้าไม่ให้ได้ทุนตั้งแต่แรกมันน่าจะเป็นความรู้สึกที่ไม่คาดหวังขนาดนี้ พระเจ้ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ คำอธิษฐานของเราเต็มไปด้วยความสงสัย แต่แน่นอนถึงแม้จะมองไม่เห็นทางเลย เราก็ยังมีความหวังเล็กๆ ว่า พระองค์กำลังทำงานบางอย่างในขณะที่ตัวเราเองยังไม่เข้าใจ
หลังจากผ่านการฝึกสอนไป 2 เดือน เราเป็นประสาทมากคือ เช็คเมล์ทุกเช้า–เย็น ยังมีความหวังเล็กๆว่าต้องได้รับจดหมายตอบกลับซักวันนึงแหละนะ และในคืนวันนึง…
พอเห็นอีเมล์ก็… กรี๊ดสิคะคุ้ณณณณ!!!
ในที่สุด 3 เดือนหลังจากที่ส่งอีเมล์ไปครึ่งความจุอินบ๊อกซ์ เมล์ตอบกลับก็มาถึง คิดในใจแค่ว่า ลุงมัวแต่ไปรีดนมวัวทำโยเกิร์ตที่ไหนมาคะพึ่งมาตอบตอนนี้เนี่ย แล้ววิจิตราต้องทำยังไงต่อ สับสนไปหมด แต่ยังค่ะ ความดราม่ายังไม่จบแค่นั้น คือการจะไปแลกเปลี่ยนครั้งนี้ไม่มีใครในครอบครัวที่เห็นด้วยกับเราเลยเพราะ…
- “ประเทศอะไรนะ บัลแกเรีย ห๊ะ!” ปฏิกิริยาของญาติมักจะเป็นแบบนี้ (ทุกวันนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่า แม่จะออกเสียงชื่อประเทศถูกหรือยัง 555+) เคยถึงขนาดมีคนในหมู่บ้านมาถามว่า “จะไป ‘บังคลาเทศ’ เหรอ“ อันนี้เรื่องจริง ด้วยความที่เป็นประเทศที่ไม่ค่อยมีคนได้ยินชื่อหรือรู้จักมาก มากที่สุดก็แค่เป็นเมืองโยเกิร์ต เจมส์ จิเป็นพรีเซนเตอร์ แค่นั้นจริงๆ
- ไม่มีสถานทูตบัลแกเรียที่ไทยจ้า โอ้ และก็ไม่มีสถานทูตไทยที่บัลแกเรียด้วย นี่เป็นสิ่งที่แม่กังวลมาก ถึงขั้นขนาดบอกว่า ไม่ไปได้มั้ย ถ้าไม่ไป ตอนเรียนจบแม่จะยอมให้เงินเป็นค่าตั๋วไปอเมริกา (โอ้โห เงื่อนไขน่าสนใจมาก) เอาเป็นว่า ทุกคนเป็นห่วงความปลอดภัยในชีวิตของเรา และที่สำคัญเราเป็นลูกคนสุดท้องที่ไม่มีใครเชื่อเลยว่า เราจะสามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง รวมถึงเพื่อนส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วยถ้าเราจะตัดสินใจไปจริงๆ
- ปัญหาสุดท้ายก็อยู่ที่ตัวเราเองนี่แหล่ะ เนื่องจากเราเป็นคนขี้กลัวมาก เรามี Comfort Zone ของตัวเองอยู่นั่นคือ ความกลัวการเริ่มทำอะไรใหม่ๆ (จริงๆ แล้วอยากทำนะ แต่กลัว) มันเป็นช่วงเวลาสับสน ที่เราตอบคำถามตัวเองไม่ได้ว่าเรามีเป้าหมายอะไรในการที่จะไป มีคนถามเยอะนะด้วยเรื่องเป้าหมายเนี่ย แต่เรากลับไม่มั่นใจในตัวเองเนื่องจากรับความคิดเห็นของคนอื่นเยอะมาก วิจิตราไม่ชอบการเลือกเลย เรากลัวพลาด กลัวว่าถ้าเราตัดสินใจ เลือกอันใดอันหนึ่ง แล้วถ้ามันพลาดล่ะจะเป็นยังไงต่อ ใครจะรับผิดชอบกับการตัดสินใจที่พลาดของเราถ้าไม่ใช่ ตัวเราเอง!
ถึงจะมีความคิดเห็นมากมายจากหลายคน แต่ท้ายที่สุดแล้วตัวเราเป็นคนตัดสินใจที่จะเลือก เลือกในสิ่งที่ไม่ต้องย้อนกลับมาแล้วจะเสียใจทีหลัง การที่จะเดินต่อได้ อยู่ที่ก้าวแรกที่เราตัดสินใจจริงๆ ดูเหมือนว่าสิ่งที่เราเล่ามาข้างบนทั้งหมด ไม่มีอะไรเปิดทางให้เราได้ไปเลยด้วยซ้ำ เราอธิษฐานเยอะมาก แต่ดูไม่มีคำตอบที่ชัดเจนเลยว่าจะทำยังไงต่อดี ยังไงก็ตามเราก็ตัดสินใจเลือกฝั่ง “ไปละกัน” ด้วยความไม่มั่นใจเท่าไหร่ ถึงแต่ละขั้นตอนจะเจออุปสรรคเป็นระยะๆ
แต่เราอธิษฐานกับพระเจ้าว่า “นับจากนี้ ถ้านี่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าจริงๆ ขอพระองค์ทรงอวยพร แต่ถ้าไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า ขอพระองค์ทรงปิดกั้นทุกทาง” เย้! ในที่สุดเราก็ตัดสินใจได้แล้ว
แน่นอนว่าเราอาจจะพลาดได้ แต่สิ่งที่เราและหลายคนรู้แน่ๆ คือ
“พระเจ้าไม่เคยผิดพลาด”
ตอนหน้าจะมาเล่าต่อนะจ๊ะว่า วิธีการของพระเจ้ามันเยี่ยมยอดขนาดไหน บอกได้เลยว่ามันเยี่ยมยอด ชีวิตคริสเตียนนี่ตื่นเต้นจีจี
ติดตามเรื่องราวของวิจิตราและการเดินทางแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าของเธอได้ใน
Facebook: ChoojaiProject ทุกวันจันทร์จ้า
Related Posts
- Author:
- วิจิตรา - สาวน้อยหัวใจผจญภัย กับความฝันอยากไปเมืองนอกที่ยังไม่หมดอายุของเธอ ถึงตอนนี้จะกลับมาจากบัลแกเรียแล้ว แต่ก็ยังคงเก็บตังค์เพื่อพาตัวเองออกนอกประเทศอีกครั้ง ตอนนี้เลยมาช่วยงานแปลพี่ชูใจไปก่อนเงินจะเต็มกระปุกให้ออกเดินทางงงงง
- Illustrator:
- Narit
- เนื้อแท้เป็นคนรักหนัง เบื้องหลังดีไซน์เก๋ๆ สวยๆ ของเว็บชูใจ คือฝีมือของเค้า นักออกแบบตัวยงผู้รักบอร์ดเกมเป็นชีวิตจิตใจ และอยากเห็นงานสร้างสรรค์คริสเตียนไทยพัฒนาก้าวไกลไม่แพ้ชาติไหนในโลก
- Editor:
- Jick
- บก.ชูใจ ผู้ใฝ่ฝันจะชูใจน้องๆ จากความพลาดของตัวเอง