“มิตรภาพของพระยาห์เวห์มีอยู่แก่คนที่ยำเกรงพระองค์
และพระองค์ทรงให้พวกเขารู้จักพันธสัญญาของพระองค์” – (สดุดี 25:14 THSV11)
_____________________
พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่น่ายำเกรง ถึงอย่างนั้นพระองค์ก็ปรารถนาที่จะมีความสัมพันธ์กับเราในแบบมิตรสหาย มีบุคคลพระคัมภีร์หลายต่อหลายคนที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าในรูปแบบ “เพื่อน” ไม่ว่าจะเป็น โมเสส (อพยพ 33:11) หรือ อับราฮัม (อิสยาห์ 41:8)
นอกจากนี้พระเยซูเองก็ได้เรียกสาวกของพระองค์ทั้ง ชาย-หญิง ว่าเป็นสหายของพระองค์ ทั้งยังพูดถึงเป้าหมายของพระองค์ในการไถ่เราทุกคนว่าเปรียบกับการตายเพื่อเพื่อน “ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการสละชีวิตเพื่อมิตรสหายของตน” – (ยอห์น 15:13 THSV11)
ตลอดเส้นทางการรับใช้ของพระเยซู ทรงปฏิบัติต่อเพื่อนของพระองค์อย่างดีด้วยความรักและให้เกียรติเสมอๆ ไม่ว่าเขาจะเป็นเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข เพื่อนกิน เพื่อนพูดคุยในหัวข้อที่สนใจเรื่องเดียวกัน เพื่อนที่คาดหวังอะไรบางอย่างจากพระองค์ หรือแม้กระทั่งเพื่อนทรยศ สำหรับพระองค์แล้วเราเป็นเหมือนเพื่อนคนสำคัญที่พระองค์พร้อมยอมทำทุกอย่างเพื่อเรา
วันนี้ชูใจชวนคิดว่า แล้วสำหรับเราเองแล้วความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้ากำลังอยู่ในรูปแบบไหน และเราเป็นเพื่อนแบบไหนสำหรับพระองค์กันนะ?
- เพื่อนสนิท :
เราจะรู้ว่าคนสองคนสนิทกันมากแค่ไหนก็ต่อเมื่อถามถึงอีกคน
เพื่อนสนิทรู้จักแทบทุกย่างก้าวของเพื่อน … เมื่อวานพึ่งเจอกัน เมื่อกี้พึ่งคุยโทรศัพท์กัน อ๋อมันไม่อยู่ไปกระบี่กลับมาสัปดาห์หน้า
เพื่อนสนิทคือคนที่เราอาจสามารถไปหาที่บ้านได้แม้เวลาเพื่อนที่เป็นเจ้าของบ้านไม่อยู่เพราะว่าพ่อแม่ของเพื่อนก็รู้จักเราเป็นอย่างดี เป็นคนที่รู้ว่าชื่อเฟสบุ๊คของเราเคยเปลี่ยนเป็นชื่ออะไรมาบ้าง คือคนที่เราสามารถจำวันเกิดได้ หรือลืมวันเกิดเราได้ด้วย ถึงอย่างนั้นเราก็เราสามารถบอกแฮปปี้เบิร์ดเดย์ย้อนหลังได้อย่างไม่กระดากและมันยังมีคุณค่า
การที่เราสนิทกับพระเจ้า ย่อมสะท้อนออกมาในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา ว่าเรารู้จักกับน้ำพระทัยของพระองค์ดีขนาดไหน และเรานึกถึงพระองค์บ่อยแค่ไหนในการดำเนินชีวิตประจำวัน เราสามารถพบเจอพูดคุยพระองค์ได้ทุกที่ไม่เฉพาะที่โบสถ์ ไม่ใช่เพียงแค่ผ่านการอธิษฐานในพิธี แต่เป็นทุกที่ทุกเวลา
…
- เพื่อนห่างๆ :เมื่อมีคนถาม บางครั้งก็ตอบว่ารู้จักกันบางครั้งก็ตอบว่าไม่รู้จักกัน
ชาวชูใจคงมีเพื่อนหลายคนที่ไม่สามารถเรียกได้ว่าเพื่อนเต็มปาก คนๆ หนึ่งอาจตอบเรื่องความสัมพันธ์อย่างสับสน ความสัมพันธ์ที่สับสนนี้เกินบนเส้นขอบของการรู้จักและการไม่รู้จัก เราอาจเคยมีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่คนละฝั่งของห้องเรียนเคยมีโอกาสได้พูดกันสั้นๆ เห็นกับแว็บๆ ในงานเลี้ยงรุ่นแต่ได้แค่ยิ้มให้กัน เวลาถูกถามว่าเป็นเพื่อนกันเหรอ ก็อาจอ้ำๆ อึ้งๆ ตอบกี่ทีก็ไม่ค่อยเหมือนเดิม ใช่บ้างล่ะ ไม่ใช่บ้างล่ะ
เพราะการได้สบสายตา คุยกันสองสามประโยค หรือเดินผ่านกันไปมาในโรงเรียน หรือนั่งอยู่ในห้องเรียนเดียวกันมันไม่ได้ทำให้เราเกิดความรู้จักมักคุ้น หรือไว้วางใจกันจนเรียกว่าเพื่อนได้เต็มปาก ก็เคยๆ คุยกันบ้าง พอรู้จักนิสัยใจคอ แต่บางเรื่องก็ไม่เคยรู้ หรือ รู้แค่ที่เค้าโพสลงหน้าเฟสบุ๊คแบบนี้ เพื่อนห่างๆ บางคนก็เหมือนเพื่อนในโซเซียลหลายคนที่เราก็ไม่ใช่เพื่อนเค้าจริงๆ อะไรทำนองนี้
สถานการณ์การนี้บางทีก็เหมือนกับเวลาเราเป็นคริสเตียนใหม่ เวลามีใครถามว่าเชื่อพระเจ้าเหรอ เราก็จะตอบว่าเชื่อบ้าง ไม่ได้เชื่อบ้าง เพราะเราก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นนั้นคือเรียกว่าคริสเตียนไหม รู้จักพระเจ้าเท่าที่อาจารย์เทศน์ หรือบทความในอินเทอร์เน็ตบอกเท่านั้น พอห่างโบสถ์ไปนานๆ เราก็เริ่มไม่มั่นใจในความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า
ระยะห่างนี้สามารถย่นลงได้หากเราต้องการจะพัฒนาความสัมพันธ์หรือใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น
…
- เพื่อนเก่า :
พูดได้เต็มปากนะว่าเป็นเพื่อนกัน … แต่เหมือนเรื่องราวผ่านมานาเหลือเกิน
เพราะความสัมพันธ์ถูกสร้างมาอย่างแน่นแฟ้นแข็งแกร่งสายสัมพันธ์จึงไม่ขาด แต่ไม่ว่าเคยสนิทกันแค่ไหนก็ตาม เมื่อตกอยู่ในสถานะเพื่อนเก่า เรื่องราวทั้งหมดก็กลายเป็นความหลัง เมื่อพูดถึงเพื่อนเก่าก็มักจะเล่าแต่เรื่องความหลัง วีรกรรม หรือความตั้งใจร่วมกันที่ยังทำไม่สำเร็จ หากคำพยานของเรามีแต่เรื่องเก่าๆ แบบนี้บางทีอาจถึงเวลากลับไปรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับพระเจ้าซะหน่อยแล้ว
ข้อดีของเพื่อนเก่าก็คือเราสามารถกลับมาหากันได้เสมอ และความสัมพันธ์ลึกซึ้งพร้อมจะเริ่มต้นใหม่โดยไม่ต้องนับจากศูนย์ แน่นอนว่าวีรกรรมเก่าๆ เมื่อครั้งที่สนิทกันนั้นยัง มีคุณค่าทุกครั้งที่นึกถึง แต่เมื่อความสัมพันธ์ยังดำเนินต่อไปอาจจะต้องมีการสานต่อเรื่องราวใหม่ๆ กันบ้างแล้วล่ะ
- แค่คนเคยรู้จัก :
แค่ถามถึง…ก็รู้สึกถึงความเจ็บปวด
สถานะแบบนี้ มันไม่ค่อยจะเป็นความจริงเท่าไหร่ที่คนเราเมื่อรู้จักกันแล้วจะกลายเป็นคนเคยรู้จักไปได้ เพราะแม้คนรู้จักที่ไม่ได้เจอกันนานก็ยังสามารถคงสถานภาพคนรู้จักกันได้อยู่
แต่การที่คนเรามักนิยามการเป็นคนเคยรู้จักอาจเพราะ … ความสัมพันธ์ห่างเหินไปอย่างมีบาดแผลหรือเพราะมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้คนสองคนต้องหันหลังให้กัน
ชาวชูใจอาจรู้จักเพื่อนบางคนที่บอกว่าตัวเองเคยนับถือพระเจ้า หากถามว่าแล้วทำไมตอนนี้ไม่นับถือแล้ว พระเจ้าไม่น่านับถือแล้วเหรอคงไม่ใช่แบบนั้น แต่เพราะบางคนอาจเลือกเส้นทางที่ต่างออกไปจากสิ่งที่เขาคิดว่าพระเจ้าคาดหวัง แม้ไม่ได้ขัดแย้งกับพระเจ้า แต่เพราะขัดแย้งในใจกับตัวเอง บางคนจึงหันหลังให้กับความเชื่อ หรือบางครั้งเพราะห่างออกมานานเกินไปและเมื่อไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเพียงพอจึงไม่รู้จะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับพระเจ้ายังไง สุดท้ายเลยกลายเป็นแค่คนเคยรู้จักไป
หากใครกำลังอยู่ในสภาวะแบบนี้ ไม่ต้องกังวลว่าพระเจ้าจะไม่ให้อภัยหรือไม่ต้องกลัวที่จะเข้ามาหาพระองค์ พระเจ้าพร้อมที่จะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับเราอีกครั้ง เพียงแต่เรากล้าที่จะกลับมาหาพระองค์
…
- (ก็แค่)เพื่อนคนหนึ่ง :
ความสัมพันธ์ที่เลวร้ายที่สุดคือ…การไม่ถูกนิยามความสัมพันธ์ในทางใดทางหนึ่ง
การเป็นเพื่อนรัก ศัตรู หรือแม้กระทั่งการเป็นคนเคยรู้จัก ยังมีความรู้สึกอะไรบ้างในนั้น แต่การเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งนั้นคือ ความไม่สำคัญ และไม่ใส่ใจใดๆ การให้พระเจ้าเป็นเพียงเพื่อนคนหนึ่ง หรือ “พระ” องค์หนึ่งนั้น น่าหดหู่มากๆ เพราะมันปราศจากการให้ความสำคัญและไม่มีช่องว่างให้กับการพัฒนาความสัมพันธ์ใดๆ ได้เลย เราอาจเห็นศัตรูกลับมาเป็นเพื่อนรักได้ หรือคนเคยรู้จักกลับมายอมรับและรู้จักกันใหม่ แต่ว่าการให้ใครสักคนเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งนั้น ยิ่งกว่าความหมางเมินและเย็นชา คือความพอใจที่จะมีระยะห่าง และไม่ต้องการที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ใดๆ อีก
แต่แม้ว่าเราจะเคยเป็นหรือกำลังอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ พระเจ้ายังคงเห็นเราเป็นคนสำคัญสำหรับพระองค์เสมอ ถึงได้ยอมให้พระเยซูคริสต์ลงมาบนโลกใบนี้เพื่อนนำเราให้กลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์อีกครั้ง
________________________________
ไม่ว่าวันนี้ เราจะมีความสัมพันธ์ฉันเพื่อนแบบไหนกับพระองค์ แต่พระคัมภีร์บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าต้องการที่จะเป็นเพื่อนกับเรา
- เป็นเพื่อนที่จะคอยอยู่เคียงข้างไม่ทอดทิ้ง (ฮีบรู 13:5)
- คอยฟัง ยินดีไปกับเราและร้องไห้ไปกับเรา (สดุดี 6:7-8)
- และช่วยให้เราเดินไปในเส้นทางที่ดี (สดุดี 37:23-24)
มีเคล็ดไม่ลับที่จะ พัฒนาความสัมพันธ์กับพระเจ้านั้น พระเยซูได้บอกกับเราเอาไว้แล้ว ในพระคัมภีร์ และเป็นวิธีเดียวกันที่ใช้มาทุกยุคสมัย
“พระบัญญัติของเรา คือให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เราได้รักท่าน ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามที่เราสั่งท่าน ท่านก็จะเป็นมิตรสหายของเรา เราจะไม่เรียกท่านทั้งหลายว่าบ่าวอีก เพราะบ่าวไม่ทราบว่านายทำอะไร แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา เราได้สำแดงแก่ท่านแล้ว … สิ่งที่เราสั่งท่านทั้งหลายไว้ก็คือ ท่านจงรักกันและกัน” (ยอห์น 15:12-17)
เพราะความรักเป็นกุญแจสำคัญในทุกความสัมพันธ์
#ด้วยรักและเพื่อนในพระคริสต์
ขอบคุณภาพประกอบสวยๆ ขากเพจ Happy Holy และติดตามอ่านบทความและฟัง Podcast ของชูใจ Project ได้ทาง www.choojaiproject.org เช่นเคยจ้าาา
Related Posts
- Author:
- Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)
- Illustrator:
- Wilah
- เด็กสาวขี้อาย ชอบนอน รักแมว และมีภารกิจแจกความแฮปปี้ผ่านเพจ HappyHoly ของเธอ ลายเส้นภาพการ์ตูนที่สวยสะดุดตา ทำให้ต้องจีบมาร่วมชูใจกันนนน ขอแค่เลี้ยงชาเขียวก็พอ อะไรจะใจดีขนาดนี้ๆๆๆ