EP.8

ความรักและพื้นที่ลึกลับ [Faith Hope Love Diary EP8]


เรื่องราวต่อไปนี้เป็นคำพยานเรื่องยาวที่ต่อมาจากตอนก่อนหน้าสามารถอ่านตอนที่ผ่านๆ มาได้ทาง >>>> https://choojaiproject.org/category/articles/life-series/faith-hope-love-diary/


 

 

 

“ทันทีที่เธอกระโดดลงจากสะพาน ชายที่เพิ่งปฏิเสธรักเมื่อครู่ก็กระโจนตามเธอลงไปกลางแม่น้ำเพื่อช่วยอดีตคนรักทันที”

 

ข่าวที่ปรากฏในหน้าจอดูเป็นเรื่องสลด เรื่องนี้จบลงอย่างน่าเศร้าด้วยการจากไปของทั้งสองคน พร้อมกับคำวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นเรื่องความรักและความเหมาะสมของวิธีแก้ปัญหาจากผู้ที่รับรู้เรื่องราวผ่านหน้าจอเครื่องมือสื่อสาร ผมเลื่อนนิ้วอ่านความเห็นสาธารณะอยู่สักพักก่อนจะหยุดและปิดโทรศัพท์มือถือ พาลนึกไปถึงเรื่องที่คล้ายกัน

 

แม่เคยเล่าว่า พ่อของผมกระโดดลงไปในคลองระบายน้ำเสียอย่างไม่ลังเลเพื่อช่วยลูกชายวัยสามขวบที่พลัดตกลงไป และเพราะการเสียสละในวันนั้น จึงทำให้ผมมีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้

มีหลายเรื่องราวที่เมื่อผ่านพ้นไปแล้วจะเกิดช่วงเวลาแห่งการตกตะกอน หรือก็คือช่วงที่มีเวลาให้เราได้ย้อนมองเพื่อคิดทบทวนและตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้น หากบทสรุปจบลงที่การสูญเสียจะกลายเป็นโศกนาฏกรรม แต่หากรอด คนที่เสี่ยงชีวิตลงไปช่วยก็จะกลายเป็นวีรบุรุษ ทว่า สำหรับคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น คนที่มองเห็นคนรักกำลังจะตายต่อหน้าต่อตาไม่มีแม้เวลาให้คิดหาเหตุผล ซึ่งสิ่งที่ต้องการในสถานการณ์คับขันคงไม่ใช่การสดุดีตามอย่างวีรบุรุษแน่ เพราะเวลานั้น ชีวิตของคนที่เรารักสำคัญที่สุด

 

 

แม้ผมจะจำเหตุการณ์ในคลองไม่ได้

แต่ผมก็รู้ว่าพ่อรักผมแค่ไหน

หายแต่หาพบ

_______________

แสงสปอตไลท์ส่องลงตรงหน้า สว่างจนมองไม่เห็นแขกที่นั่งเงียบรอฟังอยู่ด้านล่าง แม่ควรขึ้นมายืนบนเวทีตอนนี้
แต่ผมรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ การจะให้มาระลึกถึงคนรักที่เพิ่งจากไปไม่ใช่เรื่องง่าย ผมจึงขึ้นมายืนตรงนี้เพื่อแม่ และเพื่อพ่อ

 

“ท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้าอย่างคนอื่นๆ ที่ไม่มีความหวัง” – 1 เธสะโลนิกา 4:13

ผมอ่านพระคัมภีร์ข้อสั้นๆ ที่อยู่ใต้หัวข้อของมานาประจำวัน และในนั้นม่ีคำหนุนใจสั้นๆ ว่า “ถ้าเราเชื่อ วันหนึ่งเราจะได้พบกันอีก” เพราะพระเยซูเป็นความหวังนิรันดร์ ผมเคยพาพ่อกลับบ้านด้วยหวังว่าจะเป็นวันสุดท้าย แต่ก็ไม่ได้เป็นตามนั้น ผมจึงพาพ่อกลับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลพร้อมเผชิญกับความเหนื่อยทั้งกายและใจทุกวันที่เห็นแต่ร่างทรุดโทรมของพ่อ ผมเคยอยากพบกับพ่ออีก ได้พูดได้คุยกัน ซึ่งผมไม่รู้ว่าความปราถนานี้หรือเปล่าที่ทำให้พ่อยังคงติดอยู่ตรงกลางระหว่างการมีชีวิตและความตาย

ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงเป็นเพียงความปราถนาของผมที่รั้งความรู้สึกของตัวผมเองไว้ การที่เห็นพ่อยังหายใจ อาจทำให้ผมไม่รู้สึกสูญเสีย แต่ต้องแลกด้วยการทรมานของพ่อในทุกๆ วัน

ถ้าหากเป็นเช่นนั้น…

ถ้าผมต้องเจ็บปวด แต่พ่อไม่ต้องทรมาน คงเป็นเรื่องที่ดีกว่า

สิ่งที่ผมหวังตอนนี้ คือการได้เจอกับพ่ออีกครั้ง แม้จะไม่ใช่เวลาของโลกใบนี้ก็ตาม

_______________

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ผมในวัยนักศึกษายกขึ้นดูหน้าจอขาวดำแสดงชื่อปลายสายเป็นภาษาต่างชาติ “DAD”

ช่วงนั้นผมเริ่มกลับบ้านดึกเป็นประจำตามประสาวัยรุ่นที่มีสังคมอยู่นอกบ้าน ซึ่งหลายครั้งที่กลับถึงบ้าน พ่อกับแม่ก็หลับหมดแล้ว พอเช้ามาทุกคนก็แยกย้ายไปทำงานยกเว้นผมที่นอนตื่นสายเพราะหลับดึก กลายเป็นวงจรที่ไม่ค่อยได้เจอกันทั้งที่อยู่ด้วยกัน

วันนั้นผมเลยไม่ได้บอก เพราะคิดว่าพ่อกับแม่คงรู้อยู่แล้วว่าผมหายไปอยู่กับเพื่อน

“อยู่ไหน ทำอะไรอยู่” เสียงพ่อทักมาตามสาย

“มากินข้าวกับเพื่อน” ผมตอบ

“อย่ากลับดึกนะ”

“ครับ” ผมตอบพ่อสั้นๆ เหมือนคนไม่รู้จะคุยอะไร แม้รับรู้ได้ว่าพ่อเป็นห่วง แต่ผมก็รู้สึกผิดที่ตอบสั้นขนาดนั้น จึงแสดงความเป็นห่วงด้วยคำถามกลับไปว่า “แล้วป๊าอยู่ไหน”

“ที่ลึกลับ” พ่อตอบ

“…ป๊าอยู่ที่ไหน” ผมถามซ้ำเผื่อพ่อจะได้ยินไม่ชัด

“ที่ลึกลับ”

“………”

“เอาจริงๆ ป๊าอยู่ที่ไหนเนี่ย”

“ที่ลึกลับ” “แล้วก็…อย่ากลับดึกนะ” พ่อตัดสาย

จนทุกวันนี้ผมก็ไม่รู้ว่าวันนั้นพ่ออยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าเมื่อถามทุกครั้งพ่อจะยังตอบแบบเดิมเสมอว่า “ที่ลึกลับ”

แต่ตอนนี้ผมรู้ว่าพ่ออยู่ที่ไหน ร่างของพ่อนอนอยู่ในโลงข้างผม แต่วิญญาณของพ่ออยู่กับพระเจ้า

ครั้งหนึ่งพ่อจะไปส่งผมแต่ลืมผมไว้ที่บ้านก่อนจะกลับมารับ ครั้งนี้พ่อก็ออกตัวไปก่อน แต่ผมรู้ว่าวันหนึ่งพ่อจะกลับมารับอีกครั้ง

ตอนผมอยู่ ป.5 ผมยืนมองพ่อเดินทางออกไปเพื่อผมจะได้ใช้ชีวิตต่อในโรงเรียนประจำ ส่วนตอนนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ผมในอายุ 35 ยืนมองพ่อเดินทางออกไป ขณะที่ผมก็ต้องอยู่ต่อไป

แต่ผมบอกพ่อไว้ว่าจะไม่ร้องไห้

พ่อจะได้ไม่ต้องห่วงผม

วันนี้ ผมก็ไม่ได้ร้องไห้

วันนี้ผมมาส่งพ่อกลับบ้านเพื่อรอวันที่ผมตามไป ผมรู้ว่าพ่อจะรอผมอยู่ที่นั่น บ้านที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้ ผมเชื่อว่าเป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งที่เราต้องแยกจากกัน แต่ท้ายที่สุดเราจะได้พบกันอีกครั้ง

_______________

แสงไฟยังส่องลงตรงหน้า ภาพความทรงจำย้อนกระจ่างชัดจนผมนิ่งอึ้ง

ภาพผมที่มองพ่อด้วยความเจ็บปวดเพราะทนเห็นคนที่รักเจ็บปวดไม่ได้กับหัวใจของผมแตกสลายเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดคิด และไม่มีอะไรเป็นไปดั่งที่ตั้งใจ ผมเริ่มนึกถึงเรื่องลาซารัสอีกครั้ง … ทำไมพระเยซูถึงร้องไห้ให้กับครอบครัวของลาซารัส ถ้าอีกเพียงไม่กี่นาทีจะเรียกลาซารัสให้ฟื้นขึ้นมา? พระองค์ช่วยเพียงเพราะเป็นเพื่อนสนิทเท่านั้น? และ ทำไมพระองค์ยังคงร้องไห้เพราะสงสาร?

หรือเพราะพระองค์บอกกับเราว่าพระองค์รักเรา จึงเจ็บปวดเพราะรู้ว่าปลายทางของเราจะเป็นอย่างไร ชีวิตของเราจะจบลงตรงไหน

แล้วถ้าพระองค์ต้องเห็นเรื่องนี้เสมอมา พระองค์จะเจ็บปวดแค่ไหน

แต่พระองค์ก็ทำสิ่งที่ใครก็คาดไม่ถึง นั่นคือพิสูจน์ความรักที่พระองค์มีด้วยการยอมสละชีวิตของพระองค์เองเพื่อเรา

พระองค์ไม่ได้ทำเพื่อชื่อเสียง ซ้ำพระองค์ยังบอกแค่ว่า “เราเป็นทางนั้น” ทางที่จะกลับไปยังบ้านที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้

พระเยซูคือโอกาสที่พระเจ้ามอบไว้ให้กับเรา

โอกาสที่เรามีสิทธิเลือก

เลือกที่จะวางใจในพระเยซูที่ร้องไห้แม้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลาซารัส พระเยซูที่บอกว่ารัก เข้าใจ และรู้เวลาของเราทุกคน

รวมถึงเวลาของผมด้วย

 

 

 


ติดตาม Faith Hope Love Diary ในตอนหน้าได้ทางเว็บไซด์ชูใจโปรเจ็ค หรือทางเฟจเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/choojaiproject/


Previous Next

  • Author:
  • เนื้อแท้เป็นคนรักหนัง เบื้องหลังดีไซน์เก๋ๆ สวยๆ ของเว็บชูใจ คือฝีมือของเค้า นักออกแบบตัวยงผู้รักบอร์ดเกมเป็นชีวิตจิตใจ และอยากเห็นงานสร้างสรรค์คริสเตียนไทยพัฒนาก้าวไกลไม่แพ้ชาติไหนในโลก
  • Illustrator:
  • Rhoda Phu
  • กอง บก. น้องเล็กคนใหม่คนชูใจ แม้เรียนมาด้านออกแบบจิลเวอรี่แต่ก็ยังมีใจรักการออกแบบสิ่งทอ บางวันสอนเสริมศิลปะ บางวันก็ตามหาความฝัน
  • Editor:
  • Emma C.
  • เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน