หลายคนที่เกิดช่วงปี 90 น่าจะจำได้ว่าเราเคยมีช่วงวัยรุ่นปี 2000+ ที่นิยมใส่กางเกงขาเดฟกับรองเท้าแตะคีบ และในโรงเรียนต่างจังหวัดอย่างโรงเรียนของผม รองเท้าแตะคีบนั้นต้องเป็น… ตราปู!!!!!! แล้วในช่วงหนึ่งทุกคนทำก็เหมือนกันจนมันเชยไป และไม่นานก็มีอะไรใหม่ๆ เข้ามาแทน ขณะที่ความเพลิดเพลินของผมคือการเฝ้ามองสิ่งเหล่านั้น
ผมชอบแฟชั่น ชอบการแต่งตัว และพระเจ้ารู้จักผมดี
นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่พระเจ้าเรียกผมผ่านอิทธิพลของแฟชั่นก็เป็นได้
_______________
ผมอยู่ ม.ปลายในตอนที่รองเท้านันยางยิ่งเก่ายิ่งสวย ส้นรองเท้าขอบเปื่อยสีซีดคือความภูมิใจที่หนึ่งตอนเหยียบให้มันพับลงไปแนบกับพื้นรองเท้า ความเท่นี้กลายเป็นเอกลักษณ์ในการแต่งตัวของเพื่อนๆ ผู้ชาย ขนาดที่บ้านซื้อรองเท้าใหม่ให้ ผมยังแอบเอาไปเปลี่ยนสลับกับคู่ลุ่ยๆ ของคนอื่น
ไอเท็มบางอย่างน่าประทับใจจนต้องมีต้องได้
แต่บางอย่างก็ไม่ถูกจริตเอาเสียเลย
ไม่นานนัก แฟชั่นกางเกงเดฟตัดขาก็เข้ามาแพร่ระบาดในโรงเรียน ซึ่งตรงนี้แหละที่ผมไม่ชอบ และด้วยความไม่ชอบ เลยพยายามหาแฟชั่นแบบอื่นโดยการขี่มอเตอร์ไซค์ตระเวณร้านเสื้อผ้า กระทั่งเจอร้านหนึ่งที่พี่คนขายถักเดรดร็อก รู้สึกว่าได้พบกับวัฒนธรรมการแต่งตัวอีกแบบที่กว้างขึ้นกว่าที่เห็นในโรงเรียนเลยลองแวะเข้าไป และหลังจากนั้นผมก็กลายเป็นลูกค้าประจำของร้าน ผมไปที่ร้านเกือบทุกวันหลังเลิกเรียน บางครั้งแวะไปดูของ บางครั้งแวะไปนั่งคุยกับพี่คนขาย
จนวันหนึ่ง ขณะที่ผมเลือกเสื้อในร้านประจำก็ได้พบกับ “พี่ป๋อง” (นามสมมติ) ชายผู้มีธีมเป็นของตัวเอง เขามาพร้อมเสื้อลายดอกคู่กับกางเกงขาม้า ซึ่งในพื้นที่ที่ผมอยู่สมัยนั้นนับว่าแปลกตาอย่างกับหลุดมาจากในหนัง แรกเห็นก็ประทับใจ แต่ก็รู้สึกแปลกอยู่บ้าง
แกไม่ใช่คนในร้าน ไม่ใช่พนักงาน ไม่ใช่เจ้าของ
เราเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก เป็นคนแปลกหน้า 100%
…
และแกก็เดินเข้ามา ชวนคุยเรื่องพระเจ้า
“อะไรกัน” การชวนคุยเรื่องพระเจ้าตอนเดินเลือกซื้อเสื้อผ้านี่มันไม่ตรงประเด็นเอาเสียเลย แล้วที่สำคัญคือผมก็เรียนในโรงเรียนคริสเตียนอยู่แล้ว ได้ยินเรื่องพระเจ้ามาก็บ่อยเสียจนไม่อยากฟังอีกด้วยซ้ำ
ผมปฏิเสธไปทั้งด้วยท่าทีและคำพูด แต่นั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดบทสนทนาขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไปๆ มาๆ ก็โต้ตอบกันจนเข้าสู่เนื้อหาที่ลึกขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเวลาต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน
ก่อนกลับ แกพูดถึงส้ม
“ถ้าเห็นส้ม แล้วคนอื่นบอกว่านี่คือส้มสายน้ำผึ้งที่เปรี้ยวและหวาน แต่เราไม่ได้แกะผลออกมาลองชิม เราจะรู้ได้ยังไงว่าจริงๆ มันเป็นรสไหน… พระเยซูก็เหมือนกัน เรายังไม่ได้ลองกับตัว จะรู้ได้ยังไง”
เป็นการอุปมาที่ค่อนข้างประหลาด และมั่นใจว่าไม่น่าจะมีใครเอาพระเยซูมาเปรียบเทียบกับการกินส้มแน่ๆ อย่างไรก็ตาม มันเห็นภาพและเข้าใจง่ายทีเดียว จนผมกลับฉุกคิดว่า “มันก็จริง” ถ้าไม่ลองด้วยตัวเองจะรู้ได้ยังไง
_______________
หลังจากนั้นไม่นาน ผมตัดสินใจลองไปโบสถ์กับพี่ป๋อง เปิดประสบการณ์ดูแล้วก็รับเชื่อในพระเยซูคริสต์ผ่านไฮไลท์เรื่องส้ม
ถ้าเปรียบเทียบกับส้มจริงๆ ก็เหมือนจะต้องชิมดูอีกหลายๆ ครั้ง ผมได้รู้จักพระเจ้ามากขึ้นในแต่ละวัน จากที่ไม่เคยสนใจมาก่อนก็ได้อธิษฐานมากขึ้น สัมผัสประสบการณ์มากขึ้นจนรู้แน่ว่าพระเจ้าอยู่กับผมตลอดเวลา
หลังจากนั้น ถ้าใครถามถึงหนทางในการมาเชื่อพระเจ้า ผมจะบอกอย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า
“พระเจ้าเรียกผมมาผ่านอิทธิพลด้านแฟชั่น และนำให้ผมรับเชื่อผ่านส้มสายน้ำผึ้ง”
ขอบคุณพระองค์ผู้ทรงรู้จักและรู้ใจ
และขอบคุณที่ทรงนำผมไปเจอกับพี่ป๋องในวันนั้น
…
สุดท้าย ผมขอฝากไว้ให้คิด
“พระเจ้าก็เหมือนส้ม ไม่ชิมก็ไม่รู้หรอกว่ารสชาติเป็นยังไง”
#ชูใจชวนแชร์ เพราะเรารู้ว่าทุกคนมีเรื่องเล่า… ชูใจจึงชวนมา ‘ส่งต่อ’ เรื่องราวที่พระเจ้าทรงทำในชีวิตของคุณเพื่อ ‘ชูใจ’ คนอื่นต่อไป <3 อ่านรายละเอียดได้ที่ >> https://choojaiproject.org/choojai-forward
Related Posts
- Editor:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน