ย้อนกลับไปตอน ม.4
เช้าวันหนึ่งมีกลุ่มคริสเตียนมาแจกพระคัมภีร์หน้าโรงเรียน แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเหล่านักเรียนที่ได้รับไปจะเอามากองทิ้งไว้บนโต๊ะของโรงอาหาร พระคัมภีร์เล่มสีน้ำเงินกีเดี้ยนกองพะเนินถูกทิ้งอยู่ที่นั่น ฉันเลยถือวิสาสะหยิบเล่มหนึ่งกลับมาอ่าน
ฉันไม่ได้รับแจกตอนเช้าจากหน้าโรงเรียน แต่หยิบจากโต๊ะนั้นมา โดยที่ไม่รู้เลยว่าพระคัมภีร์เล่มนั้นจะกลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตในภายหลัง
“ตอนเปิดอ่านพระคัมภีร์ครั้งแรกก็พบว่ามีทั้งบางอย่างที่ยากเกินความเข้าใจ
และมีบางอย่างอ่านแล้วรู้สึกว่าดี
แม้ในขณะที่เรากำลังเผชิญกับความโดดเดี่ยว
พอได้อ่านหนังสือเล่มนี้กลับรู้สึกอบอุ่นข้างใน”
หลังจากนั้นเลยพกพระคัมภีร์ไปทุกที่ และฉันก็ไม่รู้ว่าการพูดคุยกับพระเจ้าในตอนนั้นคือการอธิษฐาน รู้เพียงแค่อ่านแล้วเชื่อว่า พระเจ้ามีจริง
_______________
พ่อกับแม่ทำท่าว่าจะเลิกกัน
ในขณะที่บรรดาญาติเอาไปติฉินนินทา บ้างเอาไปเล่าต่อกันอย่างสนุกปาก บ้างพูดด้วยตั้งใจเสียดสีให้ฉันฟัง ส่วนฉันกลับเป็นคนหนึ่งที่บอกแม่ไปว่า “ไม่ต้องทำเพื่อลูก”
แต่เรื่องกลับมาหักมุมเสียก่อน เมื่อพ่อหัวใจวายเสียชีวิต
โศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครคาดคิดเกิดขึ้นตอนฉันอายุ 17 และในเมื่อคนเดียวที่เคยสื่อสารด้วยในบ้านคือพ่อผู้ล่วงลับ จึงไม่มีพันธะที่ผูกพันฉันเข้ากับบ้านหลังนั้นอีกต่อไป ตัดสินใจแล้วว่าถึงเวลาต้องย้ายออกเพื่อมีชีวิตของตัวเอง
_______________
กระทั่งย้ายออกมาเรียนมหาวิทยาลัยที่ต่างจังหวัดจนจบปริญญา ฉันก็ตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อเพื่อทำงานด้านออแกไนซ์กับเพื่อนๆ แต่งานที่คนข้างนอกมองว่ามีชื่อเสียงและรายได้ที่ดีก็ไม่สามารถเติมเต็มความว่างเปล่าในใจได้
ไม่มีใครมานั่งฟังปัญหาของเรา ในขณะที่เรานั่งฟังปัญหาของคนอื่น
คำว่า “อย่าคิดมาก” กับท่าทีบอกปัดทำให้ฉันเข้าใจว่าตัวคนพูดไม่ได้อยากจะช่วยจริงๆ เขาไม่อยากแม้กระทั่งเสียเวลาฟังด้วยซ้ำ
…
หลังช่วยดูแลทุกคนที่เมาไม่ได้สติจนถึงที่พัก ฉันก็แยกย้ายกับเพื่อน กลับจากงานเลี้ยงที่ไปด้วยข้ออ้างว่า “เพื่อคอนเนคชั่น” เหมือนอย่างวันอื่นๆ ด้วยความเคยชิน จังหวะกำลังจะนอนก็พบว่านาฬิกากำลังบอกเวลา 7 โมงเช้าพอดิบพอดี แล้วฉันเกิดนึกขึ้นได้ว่าครั้งล่าสุดที่ตื่นก็เป็นเวลาเดียวกัน
เกิดอะไรขึ้น
ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่–กับชีวิตกลวงๆ
ขณะนั้นเองที่เหลือบไปเห็นพระคัมภีร์เล่มสีน้ำเงินกีเดี้ยนแล้วร้องไห้ออกมา พูดกับพระเจ้าว่าอยากได้ครอบครัว อยากได้พื้นที่ที่เป็นของตัวเองจริงๆ พื้นที่ในตำแหน่งเหมาะสมและสบายใจไปกับมัน ทั้งที่เป็นสิ่งที่ต้องการที่สุดแท้ๆ แต่ทำไมถึงไม่เคยได้ หนำซ้ำจนป่านนี้ก็ยังไม่ได้สักที
ร้องไห้จนหลับไปแล้วค่อยออกมาทำงาน ผ่านมาสองอาทิตย์ก็คิดอยู่ในหัวตลอดว่าอยากออกจากงาน ออกจากที่ตรงนี้ แต่ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไง
“แล้วจะทำอะไรต่อล่ะ ในเมื่อมันเป็นอาชีพเดียวที่ทำมาตั้งแต่เรียนจบ
ถ้าลาออกตอนนี้จะไปทำอะไรได้อีก
ทั้งเพื่อน ทั้งลูกค้า งานนี้เป็นคอนเนคชั่นเดียวที่เรามี”
ความกังวลเพราะการใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวทำให้ฉันไม่กล้าตัดสินใจในทันที ระหว่างนั้น เพื่อนที่กำลังจะเปิดร้านก็นัดเจอกับสถาปนิกคนหนึ่งเพื่อคุยงาน
“วันอาทิตย์นี้ว่างไหม ไปดูร้านให้หน่อยสิ”
“วันอาทิตย์ไม่ได้ครับ ผมต้องไปโบสถ์”
ประโยคที่ได้ยินทำให้ฉันผู้บังเอิญติดรถมาด้วยเกิดความสนใจ ก่อนจะถามออกไปว่า “ไปโบสถ์ที่ไหน”
…
และในวันอาทิตย์นั้นเอง ฉันก็ตัดสินใจไปโบสถ์เป็นครั้งแรก โดยที่ไม่อาจรู้เลยว่ามันจะกลายเป็นโบสถ์ที่ไปประจำจนถึงทุกวันนี้
จำได้ว่าความรู้สึกตอนนั้นคือความมั่นใจ
มั่นใจว่าพระเจ้าไปด้วยทั้งที่เราไม่เข้าใจว่าคริสเตียนคืออะไร
ฉันเชื่อมาตั้งแต่ตอนได้อ่านพระคัมภีร์เป็นครั้งแรกแล้วว่าพระเจ้ามีจริง จนได้เรียนพระคัมภีร์ที่โบสถ์ด้วยบทเรียนที่เรียกกันว่า “เล่มแดง” มันเป็นเหมือนบทเรียนพื้นฐานเกี่ยวกับคริสเตียนที่มีจุดมุ่งหมายให้รู้จักพระเจ้า บอกว่าพระเจ้ามีจริง พระเยซูมีจริง และบอกเล่าเรื่องราวของพระเจ้าและพระเยซูตามพระคัมภีร์
หลังจากเรียนได้สองสัปดาห์ ฉันก็โทรศัพท์ไปบอกแม่ว่าจะเป็นคริสเตียน แน่นอนว่าแม่โมโหจนร้องไห้ เพราะคาดหวังว่าเราจะตามศาสนาเขา
ตั้งแต่เด็ก ฉันจะหยุดต่อต้านทันทีที่แม่ร้องไห้ แต่ครั้งนี้ในหัวฉันกลับว่างเปล่าและเอาแต่พูดออกไปว่า “จะเป็นคริสเตียน” เหมือนกับสิ่งนี้อยู่ตรงหน้า และฉันก็จำเป็นจะต้องคว้ามันไว้ จนสุดท้ายเขาก็พูดว่า “ตามใจแล้วกัน”
ฉันรีบบอกที่โบสถ์ทันทีว่าจะรีบรับบัพติศมาก่อนที่แม่จะเปลี่ยนใจ
/
เช้าวันต่อมา พี่คนที่สอนก็นัดให้ไปเจอที่บ้านเขาก่อน ตอนนั้นเขาเปิดเล่มแดง แล้วถามว่าอันนี้เชื่อไหม อันนั้นเชื่อไหม
“พี่อาจจะคิดว่ามันเร็วในเวลาแค่สองอาทิตย์ แต่เรารู้จักพระเจ้ามา 13 ปีก่อนวันนี้ มันนานนะที่พระเจ้าเรียกมาโดยที่เราไม่รู้ว่าคริสเตียนคืออะไร เราเสียเวลาไปตั้ง 13 ปี ดังนั้น มันไม่เร็วเลย” และเมื่อฉันพูดจบ เขาก็ปิดหนังสือ
_______________
หลังจากยอมรับพระเจ้าเข้ามาในชีวิตด้วยความเข้าใจที่มีมากขึ้นก็ได้รู้ว่าพระเจ้าสร้างฉันอย่างไม่ผิดเพี้ยน ย้อนกลับไปมองก็เห็นว่าเรื่องราวที่ผ่านมามันหนักเหลือเกินจนยังแปลกใจอยู่บ้างที่ตัวเองผ่านมันมาได้ สิ่งนี้ทำให้รู้ว่าพระเจ้าสร้างฉันมาอย่างนั้น สร้างมาอย่างถูกต้องและพระองค์ก็ทรงเห็นว่าดีแล้ว
พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้ ดูสิ ทรงเห็นว่าดียิ่งนัก
(ปฐมกาล1:31)
ลักษณะที่พระเจ้าสร้างแล้วชอบมากๆ คือ ฉันเป็นคนรักตัวเอง และมีความสุขกับสิ่งเล็กน้อย เมื่อไรก็ตามที่มีปัญหาจนรู้สึกว่าไม่ไหว แก้ไม่ได้ก็จะวางทันที และด้วยความที่เราเจออะไรมาเยอะเลยมีหูที่ฟังแล้วเข้าใจคนอื่น เข้าใจว่าเขารู้สึกยังไง แต่ในขณะเดียวกัน ตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าเครียดตามไปด้วย
ในความที่ดูจะไม่สมบูรณ์และเต็มไปด้วยบาดแผล
พระเจ้าก็ใช้ฉันคนนี้ในแผนงานของพระองค์
ฉันรู้ว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าสร้างให้ฉันเป็น พระเจ้าสร้างให้ฉันเป็นผู้สนับสนุน เป็นผู้ช่วย ผู้รับฟัง เป็นที่พักพิง ถึงจะไม่ได้เก่งขนาดไปแก้ปัญหาให้คนอื่น แต่ฉันรู้ว่ามันเป็นส่วนของพระเจ้า พระเจ้าจะนำเขาเอง
…
ขอบคุณพระคัมภีร์สีน้ำเงินกีเดี้ยนที่ถูกทิ้งเล่มนั้น ที่ทำให้รู้ว่าพระเจ้าสร้างฉันมาแบบไหน รู้ว่าตัวฉันเป็นของใคร และรู้ว่าพระเจ้าสร้างฉันมาเพื่ออะไร
#ชูใจชวนแชร์ เพราะเรารู้ว่าทุกคนมีเรื่องเล่า… ชูใจจึงชวนมา ‘ส่งต่อ’ เรื่องราวที่พระเจ้าทรงทำในชีวิตของคุณเพื่อ ‘ชูใจ’ คนอื่นต่อไป <3 อ่านรายละเอียดได้ที่ >> https://choojaiproject.org/choojai-forward
Related Posts
- Editor:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน