ต้นหูกวางยืนสูงใหญ่ข้างโต๊ะม้าหินอ่อน พ่อยืนอยู่ข้างหน้าเด็ก ป.5 ในตอนนั้น
“ต้องไปแล้วนะ” พ่อบอกผม
“…” ผมพยักหน้าตอบ
“ไม่ต้องร้องไห้นะ” พ่อยิ้ม บอกลูกชาย
“ไม่ร้องหรอกป๊า” ผมยิ้ม พ่อจะได้สบายใจ
“อยู่ได้ สบายมาก”
ผมยืนยันด้วยความมั่นใจเท่าที่เด็ก ป.5 จะทำได้
ผมยืนมองพ่อบนรถสองแถวที่ค่อยๆ เคลื่อนออกไปจากโรงเรียนประจำ ไม่รู้พ่อจะเห็นหรือเปล่าว่าผมยิ้มให้ เพราะผมยังเห็นพ่อชะเง้อมองอยู่จากท้ายรถจนลับตาไป
จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันส่งตัวเข้าโรงเรียนประจำ ซึ่งนับว่าเป็นวันแรกของผมที่ต้องอยู่แยกห่างจากบ้าน
และในคืนนั้น ผมไม่ได้ร้องไห้
_______________
เชียงใหม่, วันพฤหัส
4 ม.ค. 2018
ผ่านการพักผ่อนช่วงสิ้นปีไปได้ไม่กี่วันก็ต้องกลับเข้าสู่ความเป็นจริง ผมกับภรรยากำลังจะเปลี่ยนบริบทจากคนทำงานประจำมาเปิดร้านเล็กๆ พร้อมกับรับงานเสริมไปด้วย และแม้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะทำงานหลายอย่างพร้อมกัน แต่เมื่อตั้งใจแล้ว เราทั้งคู่ก็ตัดสินใจร่วมกันตามความฝันเหล่านั้นก่อนหมดแรงที่จะได้เริ่ม แล้วจบลงด้วยการเสียใจที่ไม่ได้ทำ
…
ผมเริ่มต้นวันด้วยการอ่าน “มานาประจำวัน” หนังสือเล่มเล็กที่ให้ข้อคิดกำลังใจจากมุมมองของผู้เขียนที่ผ่านประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆ มาก่อน
อธิบายเพิ่มเติมก็คือ “มานา” คือชื่ออาหาร ส่วน “ประจำวัน” คือลักษณะการแบ่งเนื้อหาในเล่มที่แบ่งออกเป็นตอนละวัน
แน่นอนว่าการอ่านแบบ “ประจำวัน” เป็นเรื่องที่ดี แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าตัวเองอ่านมานาประจำวันเพียงบางวัน และเหตุผลที่อ่านส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะผมทำงานในการผลิตหนังสือเล่มนี้
เรียกได้ว่าบางวันอ่านเพราะต้องการกำลังใจจริงๆ
แต่บางวันก็อ่านเพราะมันเป็นงาน
…
ส่วนวันนี้ที่อ่าน เพราะเป็น “วันเกิด”
______________
“การรู้อนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน
แต่การรู้จักผู้ทรงควบคุมอนาคตคือสิ่งที่แน่นอน”
อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน ปีนี้ก็คงเป็นแบบนั้น–มีหลายอย่างที่ต้องเปลี่ยนแปลง และอีกหลายอย่างที่ต้องลงมือทำ อาจเพราะเพิ่งผ่านช่วงวันหยุดปีใหม่ ผมเลยรู้สึกว่าพลังงานถูกเติมเข้ามาอย่างเต็มเปี่ยม แต่ถึงอย่างนั้น คนเรื่อยๆ อย่างผมก็อยากจะปล่อยเวลาให้ไหลไปช้าๆ ด้วยข้ออ้างที่ว่าวันนี้เป็น “วันเกิด”
วันครบรอบปีที่ 35 เหมือนกับวันครบรอบของปีที่ผ่านมา ผมใช้เวลาเงียบๆ กับตัวเอง ปิดข้อมูลส่วนนี้จากโลกสาธารณะ เพราะไม่ชอบให้ใครมายินดีแบบผ่านๆ จึงมีน้อยคนนักที่ยังคงจำได้ และผมก็มักจะรู้สึกดีมากเป็นพิเศษถ้าน้อยคนที่ว่านั้นส่งข้อความมาหา
ขณะวันเรื่อยๆ ไหลผ่านไปตามปกติ การหยุดร่างกายกลับไม่ได้ทำให้ความคิดเราหยุดไปด้วย ผมอดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตรวจดูข้อความ… ตอนนี้หกโมงเย็นแล้ว ยังมีเพียงข้อความเดียวที่ส่งมาอวยพร
“มันน่าจะมากกว่านี้อีกสักนิด”
พอคิดอย่างนั้นขึ้นมา ผมก็เผลอหัวเราะในความย้อนแย้งของตัวเองที่คาดหวังคำ อวยพร ทั้งที่ไม่เคยบอกกับใคร ผมหัวเราะเหมือนกับนั่งดูรายการตลกที่คนแสดงเป็นตัวเราเอง ผมชอบเวลาแบบนี้ เวลาที่ได้พบซอกมุมชีวิต ได้เรียนรู้เข้าใจ และขบขันในความเป็นตัวเอง
ผมคิดว่าวันนี้คงจบลงด้วยมื้อเย็นแสนเรียบง่ายกับภรรยา กระทั่งโทรศัพท์ในมือสั่น สัญญาณเรียกเข้าดังขึ้น หน้าจอบอกว่าแม่รออยู่ที่ปลายสาย และผมก็กดตอบรับด้วยรอยยิ้ม… อย่างน้อยแม่ก็ไม่ลืมวันเกิดเรา
แต่ความดีใจที่กำลังพองขึ้นกลับแตกเหมือนฟองสบู่
ไม่ใช่อย่างที่คิด เสียงแม่กำลังบอกบางเรื่องที่ไม่แม้แต่จะอยากพูดออกมา ผมได้ยินเสียงแม่สะอื้นอยู่ที่ปลายสาย ละล่ำละลักพูดอย่างไม่เป็นคำ
“ป๊าล้ม” “หัวฟาด” “อยู่ห้องฉุกเฉิน” “รีบมา”
…
“ต้องผ่าตัด”
/
ผมไม่รู้ว่ากำลังจะเจอกับอะไร
แม้หัวใจจะเต้นแรง แต่มือ และหน้ากลับเย็นลงเรื่อยๆ
ผมมาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน ประตูอัตโนมัติเลื่อนออกเหมือนม่านโรงละคร ผมเห็นน้องสาวนั่งสลดอยู่กับแม่ ผมพยายามถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น และแม่ก็พยายามตอบ
“ป๊าล้ม บอกว่าปวดหัว แล้ว… ล้ม” แม่พยายามเรียบเรียง
“ชัก เลยรีบพามา”
“ต้องผ่าตัด”
ก่อนผมจะรู้เรื่องทั้งหมด ประตูเลื่อนอีกทางก็เปิดออก และผมก็เห็นพ่อบนเตียงผู้ป่วย ที่ถูกเข็นตรงออกมาจากอีกฝั่งตรงไปยังห้องฉุกเฉิน ความรีบเร่งบ่งบอกถึงความวิกฤตของสถานการณ์ หน้ากากออกซิเจนคลุมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ผมมองเห็นแค่นั้นก่อนรถเข็นจะหายลับไปในห้องฉุกเฉิน
“ใครเป็นญาติครับ ตามเข้ามาเลย”
แพทย์ฉุกเฉินเรียกผม แม่ และน้องสาวให้เข้าไป
…
“จากผลการตรวจ คนไข้มีเลือดออกในกะโหลกเยอะมาก
ญาติต้องอนุญาติให้ผ่าตัด หมอถึงจะลงมือต่อได้”
แพทย์ฉุกเฉินบอกกับเรา
ผมและแม่นิ่งอึ้งไป เรามองหน้ากัน
เพราะผมไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้จะทำให้ตัดสินใจยากมาก่อน ทั้งที่ชีวิตพ่อเป็นสิ่งสำคัญ แต่ปัจจัยเรื่องค่าผ่าตัดก็อาจพังชีวิตของทั้งครอบครัวเราได้เหมือนกัน ถ้าพ่อตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเราเป็นหนี้เพราะพ่อ พ่อจะรู้สึกยังไง? จะเครียดกว่าเดิมไหม? แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่ต้องสับสนนี่… ยังไงก็ต้องช่วยพ่อก่อน…
แต่ถ้าเราไม่มีเงินพอ?
ผมสบตากับแม่ และพบว่าแม่ไม่อยู่ในสภาพที่จะตัดสินใจอะไรได้อีกแล้ว
“โอกาส 50/50”
“รีบตัดสินใจนะครับ คนไข้อาการหนัก ต้องเตรียมห้องผ่าตัด”
“ … ”
หมอกล่าวเร่งให้พวกเราคนใดคนหนึ่งรีบตัดสินใจ และไม่ไกลจากด้านหลังของหมอ ทีมแพทย์ฉุกเฉินก็กำลังเร่จัดการกับอาการกระตุกของพ่อ
“ช้าไม่ได้นะครับ ต้องตัดสินใจแล้ว”
“…..”
หลายคำที่พรั่งพรูเข้ามาทำให้สมองโล่งกลวงไปชั่วขณะ
________________
” ไม่มีเวลาแล้ว ยังไงผมก็ต้องตัดสินใจในฐานะลูกชายคนโต “
Related Posts
- Author:
- เนื้อแท้เป็นคนรักหนัง เบื้องหลังดีไซน์เก๋ๆ สวยๆ ของเว็บชูใจ คือฝีมือของเค้า นักออกแบบตัวยงผู้รักบอร์ดเกมเป็นชีวิตจิตใจ และอยากเห็นงานสร้างสรรค์คริสเตียนไทยพัฒนาก้าวไกลไม่แพ้ชาติไหนในโลก
- Illustrator:
- Rhoda Phu
- กอง บก. น้องเล็กคนใหม่คนชูใจ แม้เรียนมาด้านออกแบบจิลเวอรี่แต่ก็ยังมีใจรักการออกแบบสิ่งทอ บางวันสอนเสริมศิลปะ บางวันก็ตามหาความฝัน
- Editor:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน