เชียงใหม่, วันเสาร์
6 ม.ค. 2018
เกิน 24 ชั่วโมงแล้ว แต่พ่อก็ยังไม่ฟื้น หมอบอกว่าพ่ออยู่ในอาการ “โคม่า” เป็นผลมาจากการบาดเจ็บในสมอง
ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่าคนไข้จะฟื้นหรือไม่ฟื้นในระยะเวลานานเท่าไหร่
_______________
เชียงใหม่, วันอาทิตย์
7 ม.ค. 2018
เมื่อวานผมรู้สึกแย่มากเพราะเหนื่อยต่อเนื่องมาหลายวัน ร่างกายก็อย่างหนึ่ง ส่วนจิตใจที่เพิ่งรู้แน่ว่าพังก็อีกอย่างหนึ่ง
ตอนที่ต้องรับทราบเรื่องจากหมอว่าพ่ออยู่ในอาการโคม่าก็ทำให้เราทุกคนเกือบรับไม่ได้
ทั้งไม่รู้ว่าพ่อจะฟื้นขึ้นมาอีกไหม หรือฟื้นเมื่อไหร่
ทั้งต่างคนต่างไม่มีเวลาพอจะเยียวยากันเอง
ทั้งเรื่องที่ไม่คิดมาก่อนว่าจะทำให้หนักใจก็ตามมา
…
เช่น ความหนักใจจากความหวังดี
ทุกครั้งเวลาที่มีคนมาเยี่ยมพ่อ พวกเขาจะปรากฏตัวพร้อมกับคำถาม บ้างก็ว่า “อาการของพ่อดีขึ้นไหม?” บ้างก็ว่า “เกิดอะไรขึ้น?” “พ่อเป็นอะไร” “อาการดีขึ้นไหม”และก่อนผมจะหยุดมันได้ ความคิดอัตโนมัติก็ทำงานโดยการดึงเอาภาพพ่อมาใส่ให้เสร็จสรรพ
ภาพนั้นคือพ่อที่นอนอยู่บนเตียงรอบล้อมด้วยเครื่องพยุงชีวิต ท่อออกซิเจนต่อเข้าทางปากทำงานประสานกับปั๊มลมทำให้หน้าอกยกขึ้นเป็นจังหวะ มีสายไฟหลากสีคอยวัดสัญญาณชีพจรติดเข้าตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เป็นผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่สามารถทำอะไรเองได้ และไม่แม้จะรู้สึกตัว
ครั้นพอจะปฏิเสธภาพที่บั่นทอนความรู้สึกนี้ อีกภาพที่เป็นใบหน้าของพ่อผู้กำลังเจ็บปวดในห้องฉุกเฉินกับอาการชักทุรนทุรายก็ผุดขึ้นมาแทน
แม้เราไม่ได้บาดเจ็บทางกาย แต่การเห็นคนที่เรารักเจ็บปวดนั้นกลับทำให้รู้สึกตามอยู่ข้างใน เหมือนกับมีชิ้นส่วนค่อยๆ หลุดร่วงออกจนทะลุเป็นรูบริเวณหน้าอกและช่องท้อง มันคือความรู้สึกว่างเปล่า และสั่นคลอนจิตใจ
ภาพเหล่านี้ชัดเจนพอๆ กับความเจ็บปวดจากทุกคำถามของความห่วงใย ผมไม่สามารถปฏิเสธความปราถนาดีจากคำถามนั้นได้อย่างไร ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นภายในก็ไม่สามารถปฏิเสธได้อย่างนั้น ผมทำได้เพียงยิ้มแล้วบอกความรู้สึกตรงกันข้ามออกไป ขณะเดียวกันก็พยายามก้มเก็บชิ้นส่วนของความรู้สึกที่ค่อยๆ หลุดร่วงทุกครั้งที่ตอบคำถาม หวังจะเอากลับไปประกอบเพื่อให้หัวใจเป็นปกติ แต่แล้วก็พบว่ามันมากเกินไป
สุดท้าย ผมก็ไม่สามารถอยู่ตรงนั้นเพื่อตอบอะไรใครได้อีก
/
ตอนที่ผมกลับบ้านและห่างไกลจากทุกคำถาม ความเงียบกลายเป็นสิ่งที่เยียวยาความพังทลายทั้งหลาย กระทั่งผมรู้สึกพอที่จะมีสติขึ้นมา
และสติก็เตือนให้นึกถึงเรื่องสำคัญที่ผมทิ้งไว้เบื้องหลัง
…
เรื่องนั้นก็คือ “แม่”
ผมทิ้งแม่ให้เผชิญกับความรู้สึกที่ผมเองยังรับไม่ไหวอย่างลำพัง อันที่จริงแม่ต้องเจอกับคำถามและความรู้สึกนี้ตั้งแต่ตอนที่รับโทรศัพท์ญาติๆ จากหน้าห้องผ่าตัดแล้ว แต่ตอนนั้นผมมองเห็นเพียงความรู้สึกของตัวเอง จนลืมคนข้างๆ ไป
ในเวลาที่เจ็บปวดและสับสนนี้ ผมกลับลืมครอบครัวของตัวเอง ทั้งแม่ น้องสาวสองคน และญาติๆ ขณะที่ทุกคนกำลังเผชิญเรื่องนี้ด้วยกัน ผมมัวแต่จับจ้องไปที่ความรู้สึกข้างในจนคิดไปเองว่ากำลังเผชิญเรื่องนี้เพียงลำพัง
/
วันอาทิตย์คือวันที่คริสเตียนส่วนใหญ่ไปโบสถ์ในช่วงเช้า ร้องเพลง ฟังเทศนา และใช้เวลาช่วงบ่ายด้วยการรวมกลุ่มไปเยี่ยมเยียนเพื่อนๆ ที่มีปัญหาหรือเจ็บป่วยร่วมกัน
ตอนนี้พ่อผมกลายเป็นหนึ่งในผู้เจ็บป่วย และเพื่อนๆ ของพ่อจากที่โบสถ์กำลังจะมาเยี่ยม นั่นแปลว่ามีคำถามที่ไม่อยากตอบกำลังรออยู่อย่างแน่นอน
แต่วันนี้ผมตั้งใจช่วยครอบครัวด้วยการอยู่ตรงนั้นจนกว่าจะหมดเวลาเยี่ยมไข้เพื่อต้อนรับกับทุกๆ ความหวังดีแทนแม่ เพราะผมเข้าใจแล้วว่าเรื่องที่อาจดูเล็กน้อยในเวลานี้อย่างการให้กำลังใจกันและกัน จะกลายเป็นพลังมหาศาลที่ช่วยให้เราเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ได้
_______________
ผมฟังพ่ออธิบายมาตั้งแต่เด็กว่า พระเยซูมาตายบนไม้กางเขนเพื่อ “ยกหนี้” ให้เรา หนี้นั้นเกิดจากความผิด และความชั่วร้ายของมนุษย์ ซึ่งผลที่ต้องชดใช้คือความตาย ดังนั้น พระเยซูจึงมาช่วยจ่าย “หนี้” แทน โดยการตายบนไม้กางเขน พระองค์เสียสละด้วยความรัก
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราควร “ ขอบคุณ ” พระเยซู
…
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เกินความเข้าใจสำหรับเด็กไปเสียหน่อย หลายเรื่องที่พ่อบอกจึงเป็นเรื่องราวที่รับมาเป็นความรู้ มากกว่าจะรับด้วยหัวใจ
แต่เมื่อความเข้าใจมีมากขึ้นตามเวลา เรื่องที่พ่อสอนทำให้ผมพบว่าทุกครั้งที่ได้รับการช่วยเหลือ จะรู้สึกอบอุ่นหัวใจและเข้าถึงคำขอบคุณอย่างนี้เอง
เรื่องดีที่เกิดขึ้นตอนนี้คือกฎหมายด้านสาธารณสุขครอบคลุมกรณีของพ่อ เพราะจัดอยู่ในหมวดวิกฤตที่ต้องการการรักษาด่วน ดังนั้น เราสามารถพาผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับการผ่าตัดฉุกเฉินและรักษาตัวภายใน 72 ชั่วโมงแรก
เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลอธิบายเรื่องนี้ให้ผมฟังก่อนจะช่วยประสานงานในการย้ายพ่อไปโรงพยาบาลที่มีสิทธิใช้บัตรทองต่อไป
โล่งอกไปที
เพราะตัวเลขค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดที่ออกมานั้นสูงเกินกว่าฐานะของครอบครัวเราจะจ่ายไหว แต่เมื่อรู้ภายหลังว่าได้รับการช่วยเหลือ ความรู้สึกที่เป็นรูปธรรมที่สุดต่อคำว่า “ยกหนี้” ก็เกิดขึ้นกับผม
อันที่จริง พ่อไม่ได้ทำงานมาสักพักแล้วด้วยปัญหาสุขภาพ รายรับในครอบครัวจึงค่อนข้างน่าเป็นห่วง พอมาเกิดเหตุการณ์นี้อีกเลยทำให้ผมกับแม่กังวลจนยากที่จะตัดสินใจเมื่อแพทย์ฉุกเฉินขอให้เซ็นรับการผ่าตัด
กระทั่งตัดสินใจไปแล้วก็ยังวิตกว่าปัญหาเรื่องค่าผ่าตัดจะกลายเป็นคลื่นอีกระลอกที่ซัดโถมเข้าให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก ซึ่งในฐานะลูกชายคนโต ผมพยายามเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อแบกภาระทั้งความรู้สึกของคนในบ้าน และภาระของเงินก้อนโตที่จะต้องใช้ ทั้งที่ข้างในก็ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะรับไหว
แต่พอรู้ว่าจะได้รับการช่วยเหลือ จู่ๆ ก้อนภาระหนักอึ้งก็เหมือนถูกหยิบออกไป ผมรู้สึกเหมือนได้รับการปลดปล่อย และในใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ แม้ปัญหาทั้งหมดจะยังไม่หายไปเสียทีเดียว ตอนนี้พ่อยังนอนไม่ฟื้น แต่การได้รับการช่วยเหลือในยามยากนั้นเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยายเลยจริงๆ
และแน่นอน
มีคำว่า “ขอบคุณ” เกิดขึ้นในใจผมแล้ว
Related Posts
- Author:
- เนื้อแท้เป็นคนรักหนัง เบื้องหลังดีไซน์เก๋ๆ สวยๆ ของเว็บชูใจ คือฝีมือของเค้า นักออกแบบตัวยงผู้รักบอร์ดเกมเป็นชีวิตจิตใจ และอยากเห็นงานสร้างสรรค์คริสเตียนไทยพัฒนาก้าวไกลไม่แพ้ชาติไหนในโลก
- Illustrator:
- Rhoda Phu
- กอง บก. น้องเล็กคนใหม่คนชูใจ แม้เรียนมาด้านออกแบบจิลเวอรี่แต่ก็ยังมีใจรักการออกแบบสิ่งทอ บางวันสอนเสริมศิลปะ บางวันก็ตามหาความฝัน
- Editor:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน