เคยดู Toy Story ไหม?
ถ้าเคยก็จะนึกออกว่าในเรื่องมีหมีสีชมพูตัวนึงที่เด็กๆ ชอบวิ่งเข้าไปกอด เพราะดูเผินๆ เหมือนมันจะเป็นหมีสงบที่ใจดีและเป็นมิตร…
แต่ความจริงคือมันนั่นแหละ ตัวร้าย!!!
…
ผมคิดว่าหมีตัวนี้เหมือนผม
(อันที่จริง ใครที่รู้จักผม จริงๆ ก็จะบอกว่าเหมือนกันทั้งนั้น)
อาจเพราะด้วยความที่เกิดมาในครอบครัวคริสเตียนที่เรียกได้ว่า “ดี” ประมาณนึง พวกเราไปโบสถ์กันทุกอาทิตย์ ผมกับพี่มีพ่อแม่เป็นแบบอย่างในเรื่องรับใช้ ชีวิตรายล้อมไปด้วยคนในสังคมโบสถ์ที่ดูจะปลอดภัย และตัวผมก็ดูเป็นเด็กชายทั่วๆ ไปที่ไม่มีปัญหาอะไรในด้านพฤติกรรม คนอื่นเลยอาจคิดไปว่าผมเป็นเด็กดี เรียบร้อย ไม่เกเร และเป็นมิตรอย่างหมีใน Toy Story
ส่วนความจริงในความเป็นเด็กที่ดูไม่มีปัญหาอะไรก็คือ ความเบื่อ อย่างรุนแรงที่อยู่ข้างใน ผมใช้ชีวิตในโบสถ์ซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัย แต่ขณะเดียวกันก็ไม่รู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ ไม่รู้ไปทำไม รู้แค่ต้องไปเช็คชื่อให้เห็นหน้า และในความไม่สนใจอะไรเลยนั่นแหละ
ผมสอบรวีได้ที่ 3!
…
ซึ่งคงดูไม่แย่เท่าไหร่นัก ถ้าในห้องไม่ได้มีแค่สามคน
สรุปก็คือ ทั้งที่ไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ แต่ผมไม่ได้เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียนซะทีเดียว
_______________
เรื่องมันเริ่มจะเปลี่ยนก็ตอนที่ผมได้ไปค่ายคริสเตียนครั้งแรก เป็นค่ายที่มีแต่คริสเตียนเต็มไปหมด และไม่ได้มีแค่สมาชิกในโบสถ์ที่เคยเห็นๆ กันอยู่
ความประหลาดใจอย่างแรกในค่ายคือ หลายคนที่มาดูจะตื่นเต้นร้อนรนในเรื่องพระเจ้ามาก
ส่วนความประหลาดใจอย่างที่สองก็คือ อาจารย์ที่เทศนาเรียกรับเชื่อ
เฮ้ย อันนี้ประหลาดใจของจริง! มันต้องมีการรับเชื่อด้วยเหรอ อยู่โบสถ์มากว่า 13 ปี โตมาจน ม.ต้น ไปโบสถ์ก็ทุกอาทิตย์แล้วทำไมไม่เคยสังเกตเลย ที่ใจหายที่สุดตอนนั้นคือความคิดที่ว่า ถ้าเราตายไปก่อนวันนี้เราก็ไม่รอดแล้ว
“วันนี้อาจารย์ที่เทศนาเรียกรับเชื่อ… นั่นทำให้เราประหลาดใจ
ทั้งที่ไปโบสถ์มาตลอด 13 ปี แต่ทำไมเราไม่เคยสนใจเรื่องพระเยซูเลย
รู้สึกโกรธตอนที่คิดได้ว่าถ้าเราตายก่อนวันนี้เราอาจไม่รอดแล้วก็ได้”
ผมเลยรีบรับเชื่อในวันนั้นด้วยความที่กลัวจะไม่รอด ซึ่งอะไรที่ไม่ได้คาดหวังไว้อย่างการเปลี่ยนแปลงก็ตามมา สิ่งนี้ทำให้เห็นเลยว่าพระเจ้ากำลังพยายามเปลี่ยนชีวิตของผม
และการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปนี้ก็เริ่มด้วย
ความสนใจที่ไม่มีที่มา
อย่างที่เคยบอกไว้ย่อหน้าแรกๆ ว่าผมมีความเบื่อรุนแรงอยู่ข้างใน เบื่อโบสถ์ เบื่อบ้าน เบื่อชีวิต เบื่อการเรียนหนังสือ-กลับบ้าน-ไปโบสถ์ รู้สึกว่าชีวิตมันช่างซังกะตายและไม่มีเป้าหมาย แต่ไม่รู้ทำไมหลังจากที่รับเชื่อตัวเองก็เกิดพยายามจะอยากรู้ขึ้นมาว่าคริสเตียนต้องเติบโตยังไงและต้องทำอะไรต่อ เลยไปขอพี่เลี้ยงที่โบสถ์ให้สอน ซึ่งนับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต
ถึงอย่างนั้น บางวันที่ขี้เกียจเราก็ไปงี่เง่าใส่เขา แกล้งหาว่าเขาไม่เตรียมบทเรียนแล้วให้ยกเลิกสอนบ้าง โดดเรียนบ้างอะไรบ้างจนพี่เลี้ยงต้องโทรมาตามที่บ้าน และสิ่งที่เราทำคือถอดสายโทรศัพท์บ้านออก (ทุกวันนี้ตัวเองในบทบาทพี่เลี้ยงก็โดนน้องเทประจำ)
ดูเหมือนว่าความสนใจของผมจะยังไม่มีเป้าหมาย
แต่หลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าก็มอบ “เป้าหมาย” มาให้
…
2 ปีถัดมา ผมเข้าร่วมค่ายคริสเตียนอีกครั้ง
และเป้าหมายที่พระเจ้ามอบให้เป็นแผนงานก็ปรากฏขึ้นในรูปแบบของการอธิษฐานหมู่
ผมรู้สึกสัมผัสใจมากๆ ในช่วงที่ให้อธิษฐานเผื่อวัยรุ่นและประเทศไทย และหัวข้อที่ดูจะน่าเบื่อสำหรับเด็ก ม.ต้น ก็กลับเป็นหัวข้อที่ทำให้คนเอื่อยๆ ไม่สนใจอะไรอย่างผมร้องไห้ด้วยความเสียใจทั้งกับตัวเองและวัยรุ่นคนอื่นๆ ในประเทศด้วยเกิดคำถามขึ้นมาว่า “เรากำลังทำอะไรกันอยู่?”
…
ผมตัดสินใจรับใช้พระเจ้าในคืนวันนั้น และมีเป้าหมายของตัวเองแล้วว่าจะทำให้วัยรุ่นในประเทศไทยได้รู้จักพระเจ้ามากขึ้น กลายมาเป็นคำมั่นสัญญาตั้งแต่ตอนนั้นเลยว่าถ้าเรียนจบเราจะรับใช้พระเจ้า
_______________
จนถึงช่วงเวลานั้นจริงๆ ก็ไม่นาน ผมเรียนจบ และตัดสินใจรับใช้พระเจ้าอย่างที่ตั้งใจไว้ ถึงจะมีอุปสรรคหลายอย่างที่ผ่านเข้ามา
ทั้งการต้องยืนหยัดกับพ่อที่อยากให้เรียนหมอ
ทั้งการต้องควบคุมตัวเองให้อยู่กับร่องกับรอยในขณะที่เริ่มใช้ชีวิตไกลบ้านเป็นครั้งแรก
ทั้งการใช้ชีวิตที่ต้องบอกต้องเตือนตัวเองตลอดว่าเราต้องโตต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองบ้างแล้ว
จนแล้วจนรอดผมก็ผ่านอะไรทั้งหลายที่ไม่คิดว่าจะผ่านมาได้จนได้ ย้อนมองไปก็คิดๆ นะว่าเรามาไกลอยู่เหมือนกัน จากเด็กที่ไม่เอาอะไรเลย สอบรวีได้ที่โหล่ตลอด กลายมาเป็นพี่เลี้ยง เป็นผู้รับใช้ (ที่ชีวิตจริงก็ยังมีขลุกขลักอยู่บ้าง แต่ก็นั่นแหละ รวมๆ คือดี)
เขียนมาทั้งหมดสิ่งที่อยากจะบอกที่สุดก็คือ “ขอบคุณพระเจ้า”
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันนี้ สำหรับค่ายนั้น สำหรับข่าวประเสริฐที่เข้ามาในเวลาที่ผมเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างและทำให้เติบโตมากขึ้น แล้วสุดท้ายมันก็เปลี่ยนแปลงชีวิตผมจริงๆ
“ขอบคุณพระเจ้า ตลอดชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่ตอนรับเชื่อจนถึงวันนี้
ไม่มีวันไหนเลยที่เราอยากจะทิ้งพระเจ้า
เราทิ้งไม่ได้ เพราะถ้าทิ้งพระเจ้าไป ตัวเราก็ไม่มีค่าอะไรเลย”
#ชูใจชวนแชร์ เพราะเรารู้ว่าทุกคนมีเรื่องเล่า… ชูใจจึงชวนมา ‘ส่งต่อ’ เรื่องราวที่พระเจ้าทรงทำในชีวิตของคุณเพื่อ ‘ชูใจ’ คนอื่นต่อไป <3 อ่านรายละเอียดได้ที่ >> https://choojaiproject.org/choojai-forward
Related Posts
- Author:
- พี่ชายผู้อบอุ่นละมุนละไม เวลาใส่หมวกกันน๊อคแล้วนั่ลล๊าคดั่ง Pororo อดีตมาสเซอร์วิชาสอนศิลปะ ปัจจุบันถวายตัวรับใช้ที่โบสถ์สไตล์ลอฟๆ ชอบขีดๆ เขียนๆ วาดๆ
- Illustrator:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
- Editor:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน