“พระทรงบังเกิดโลกจงยินดี ชุลีน้อมรับพระเจ้า
ให้ทุกดวงใจเตรียมไว้คอยเฝ้า เชิญเราร้องเพลงเปล่งเสียง
เชิญเราร้องเพลงเปล่งเสียง เชิญเรา เชิญเราร้องเพลงเปล่งเสียง…”
เพลงคุ้นหูที่ดังขึ้นด้วยเสียงเด็กโต๊ะข้างๆ ทำให้ฉันหวนนึกถึงตัวเองในวัยนักเรียน เครื่องแบบเอี๊ยมประถมสีน้ำเงินเข้มคาดเข็มขัดผ้าอย่างนี้ เห็นแล้วก็รู้ทันทีว่ามาจากโรงเรียนในเครือเดียวกันแน่ และที่นึกขึ้นได้อีกอย่างคือ…
ช่วงสิ้นปีกำลังจะใกล้เข้ามาอีกครั้ง
_______________
ด้วยความที่ไม่เคยย้ายโรงเรียนมาก่อนเลยทำให้ฉันคุ้นชินกับช่วงวันหยุดยาวคริสต์มาสที่โรงเรียนอื่นๆ ในละแวกบ้านเขาไม่หยุดกัน แถมก่อนวันหยุดเรายังมีงานเลี้ยงกันอย่างยิ่งใหญ่อีกด้วย!
จำได้ว่าสัญลักษณ์ของการเข้าสู่ช่วงงานรื่นเริงสิ้นปีคือต้นคริสต์มาสขนาดมหึมาที่ใช้คนหลายคนช่วยกันตั้งลงบริเวณหลังเสาธง ต้นสนสีเขียวที่ไม่เคยรู้เลยว่าสรุปแล้วมันเป็นของจริงหรือของปลอมชวนให้ตื่นเต้นเมื่อนึกถึงเทศกาลที่กำลังใกล้เข้ามา แม้จะยังไม่มีของตกแต่งหรืออากาศหนาวๆ ก็รู้สึกดีไปล่วงหน้าก่อนได้แล้ว
กระทั่งเข้าเดือนธันวาคม ชั่วโมงโฮมรูมตอนเช้าจะกลายเป็นเวลาของการซ้อมร้องเพลง ซึ่งก็เป็นเพลงเดิมๆ ที่ร้องกันมาทุกปี ทั้งเพลงไทย และเพลงภาษาอังกฤษในทำนองคุ้นเคยที่มักได้ยินตามห้างสรรพสินค้าจะถูกพิมพ์ลงบนกระดาษแผ่นพับแล้วแจกให้บรรดานักเรียน เพื่อท่อนพึมพำทั้งหลายจะกลายมาเป็นการร้องเนื้อเพลงออกมาอย่างมั่นใจเต็มเสียง
พอล่วงเข้ากลางเดือนก็จะเริ่มมีการประกวดถ้ำพระกุมารระดับสายชั้น และแน่นอนว่าการตกแต่งห้องเรียนมักเกิดขึ้นพร้อมกันในช่วงนี้ เวลาหลังเลิกเรียนเลยกลายเป็นงานเลี้ยงขนาดย่อม เพราะเพื่อนในห้องจะแอบซื้อขนมมานั่งกินด้วยกันระหว่างนั่งตัดกระดาษสี ตกแต่งต้นคริสต์มาสหลังห้องที่เพื่อนคนใดคนหนึ่งให้ยืมมาใช้ เปลี่ยนบอร์ดหลังห้องให้เป็นธีมแดงเขียว และปีนเก้าอี้ขึ้นไปติดสายรุ้งตามเพดานกับบานกระจก
ความตื่นตาตื่นใจอีกอย่างหลังตกแต่งห้องจนเสร็จคือการพากันเดินไปดูห้องอื่น ของประดับละลานถูกเลือกสรรจัดวางแตกต่างกันไป ซึ่งจุดเด่นของทุกห้องก็คือถ้ำพระกุมารที่จะเป็นตัวตัดสินว่าห้องไหนทำได้สวยและสร้างสรรค์ที่สุด
อาจเพราะการนั่งเรียนท่ามกลางสายรุ้งของประดับ
หรือเพราะได้ใช้เวลากับเพื่อนๆ หลังเลิกเรียน
หรือเพราะซ้อมร้องเพลงจนเลยคาบโฮมรูมไปถึงวิชาแรกก็ยังไม่จบ
หรือเพราะต้นสนต้นใหญ่ที่สวยเหลือเกิน
หรือเพราะแค่เหตุผลที่ว่ามันคือคริสต์มาส
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่ คริสต์มาสจึงเป็นเทศกาลที่ฉันชอบและรอคอยมากที่สุดในตอนนั้น
…
เช้าวันก่อนคริสต์มาสที่กำลังจะหยุดยาว บรรยากาศของโรงเรียนเราจะครึกครื้นเป็นพิเศษเพราะวันนั้นเต็มไปด้วยการเฉลิมฉลองจนถึงเที่ยงคืน เริ่มจากการร้องเพลงหน้าเสาธง ต่อด้วยการแสดงเรื่องกำเนิดพระเยซู จากนั้นจึงแยกย้ายกันเข้าห้องเรียน ซึ่งห้องเรียนที่เคยห้ามแม้แต่ขนมลูกอมจะเต็มไปด้วยอาหารจากเพื่อนๆ วางกองอยู่บนโต๊ะ กินกันไปสักพักจะมีรายการแลกของขวัญมาคั่น
ตอนนี้แหละที่เป็นไฮไลท์ของวัน ไม่ว่าห้องไหนจะกำหนดกติกาเป็นการจับฉลากหรือเล่นบัดดี้ก็น่าลุ้นน่าตื่นเต้นทั้งนั้น พวกเราแกะของขวัญมาเปิดให้กันและกันดู ของข้างในทำให้เกิดอารมณ์หลากหลาย บ้างตลก บ้างดีใจ บ้างดูเศร้าเพราะไม่ได้ของอย่างที่คาดหวังไว้ บ้างประหลาดใจ บ้างก็เรียบเฉยแต่บ่นกระปอดกระแปดไปทั้งงาน แต่ถึงจะเป็นอย่างไหนความสุขก็ยังรออยู่จนหมดวัน พอแกะของขวัญเสร็จแล้วก็เป็นอันจบงานฉลองในห้องเรียน ขึ้นอยู่กับเราว่าอยากกลับบ้านเลยหรืออยากเดินดูซุ้มขายของเล่นเกมก่อนก็ได้ แล้วจากนั้นจะแยกย้ายกับเพื่อนหรือแค่แยกกลับไปแต่งตัวแล้วเจอกันอีกในตอนเย็นก็ได้
ทุกปีฉันจะกลับบ้านก่อนแล้วนัดเจอเพื่อนๆ อีกครั้งที่โรงเรียนหลังฟ้ามืด โบสถ์ของโรงเรียนเราจะมีพิธีตามอย่างคาทอลิกลากยาวไปจนเที่ยงคืน บริเวณโรงเรียนเต็มไปด้วยไฟประดับทั่วทั้งลานหน้าตึก มีซุ้มขายอาหาร ขนม ของเล่น และสอยดาว
สำหรับฉัน คริสต์มาสจึงเป็นเวลาที่สนุกและสวยงามเสมอ
_______________
ผ่านมาจนวันนี้ คริสต์มาสก็ยังสนุกและสวยงามอย่างเคย แม้จะไม่ได้ฉลองที่โรงเรียน แต่บรรยากาศความเป็นคริสต์มาสที่รายล้อมอยู่ทุกที่ในช่วงสิ้นปีก็ทำให้ฉันตั้งตารอ
หนึ่งในสิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงไม่กี่อย่างและสำคัญมากคือ
“การให้ความหมาย”
…
ฉันเข้าใจการประสูติของพระเยซูและเรื่องราวของพระเยซูมาตั้งแต่เด็กๆ ฉันเข้าใจว่าคริสต์มาสไม่ใช่วันของซานตาคลอส และจุดประสงค์ในการเฉลิมฉลองของวันนี้คืออะไร ฉันเข้าใจอีกหลายอย่างที่ใจความหลักของเทศกาลนี้ต้องการจะสื่อสารออกมา แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจเข้าใจอย่างลึกซึ้งได้คือความเกี่ยวโยงของตัวเราที่สัมพันธ์กับ “พระเยซูผู้ช่วยให้รอด”
เพราะไม่ใช้ผู้เชื่อ คริสต์มาสสำหรับฉันจึงไม่มีความหมายไปมากกว่าเทศกาลแห่งความสุขที่เกิดขึ้นด้วยเสียงเพลง สีสัน แสงไฟ งานเลี้ยง และอากาศเย็นๆ
กระทั่ง 4 ปี ให้หลัง เหตุการณ์บางอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทำให้ฉันตัดสินใจศึกษา และตั้งใจทำความรู้จักกับพระเยซูอย่างจริงจัง จนยอมรับพระองค์เข้ามาเป็นองค์เจ้าชีวิต
ปีนั้นเองที่คริสต์มาสของฉันเปลี่ยนไป
ความหมายของ “พระเยซูผู้ช่วยให้รอด” แจ่มชัดในเวลานั้น การเฉลิมฉลองที่อุปมาถึงวันเกิดของพระเยซูกลายเป็นวันที่ฉันนึกย้อนถึงวันเกิดใหม่ของตัวเองเสมอ และชื่นชมยินดีจากใจ
ถ้าไม่มีวันเกิดของพระเยซู ก็ไม่มีวันเกิดของฉันเช่นกัน
“พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา”
(ยอห์น 14:6)
.
“พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้รอด มิใช่ด้วยการกระทำที่ชอบธรรมของเราเอง แต่พระองค์ทรงพระกรุณาชำระให้เรามีใจบังเกิดใหม่ และทรงสร้างเราขึ้นมาใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
(ทิตัส 3:5)
สำหรับฉัน คริสต์มาสมีความหมายมากกว่าเสียงเพลง สีสัน แสงไฟ งานเลี้ยง และอากาศเย็นๆ เมื่อได้เปิดรับพระเยซูเข้ามาและต้อนรับพระองค์ด้วยความเชื่อ เพราะความทรงจำล้ำค่าที่เราจะนึกถึงหลังจากนั้นคือความรู้สึกของห้วงวินาทีแห่งการเกิดใหม่ ทั้งตื้นตัน ปลาบปลื้ม และโล่งใจ กลายเป็นเทศกาลที่เต็มไปด้วยความยินดี ความสบายใจ และความรู้สึกขอบคุณอย่างล้นเหลือ
สุดท้ายนี้…
หวังว่าคริสต์มาสที่กำลังจะมาถึงเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับชาวชูใจนะคะ
.
ด้วยรักและชูใจ
#ชูใจชวนแชร์ เพราะเรารู้ว่าทุกคนมีเรื่องเล่า… ชูใจจึงชวนมา ‘ส่งต่อ’ เรื่องราวที่พระเจ้าทรงทำในชีวิตของคุณเพื่อ ‘ชูใจ’ คนอื่นต่อไป <3 อ่านรายละเอียดได้ที่ >> https://choojaiproject.org/choojai-forward
Related Posts
- Author:
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน