ผู้เขียน: John Piper
ต้นฉบับ: https://www.desiringgod.org/interviews/strategies-for-when-life-seems-aimless
วันนี้มีคำถามเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องการรอคอยเมื่อชีวิตดูไร้ทิศทางและย่ำอยู่กับที่ โดยเฉพาะเรื่องงาน (ถึงไม่ได้รอเรื่องงาน แต่เราสามารถเอาเรื่องนี้ไปปรับใช้ในบริบทอื่นๆ ได้ด้วยนะครับ) คำถามนี้มาจากน้องแดน (นามสมมติ) ถามผมว่า
“อ.จอห์นครับ ผมเพิ่งเรียนจบมหาลัย ผมรู้สึกเคว้งคว้างมากเพราะคิดไม่ออกว่าจะเอาไงต่อดีกับชีวิต และไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงมีแผนการอะไรในชีวิตผม พอเปลี่ยนจากเรียนมาทำงาน ผมรู้สึกหมดแรง ชีวิตไม่มีวัตถุประสงค์ ไม่มีจุดมุ่งหมายอะไรเลย ผมรู้ว่าทุกสิ่งที่ผมทำก็เพื่อถวายเกียรติพระเจ้าและผมก็รู้ว่าความชื่นชมยินดีของผมควรจะมาจากพระเจ้า ไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์รอบตัว แต่ผมอยากรู้ว่าคริสเตียนแบบผมควรจะรับมือกับวิกฤติของการเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ (quarter-life crisis) ยังไงดีครับ?”
_______________
ก่อนอื่นผมขอบอกน้องแดนก่อนว่า “แล้วฤดูกาลนี้ก็จะผ่านไป” ครับ พระเจ้าจะนำให้เราผ่านเรื่องนี้แต่พระองค์ตั้งใจให้น้องแดนมีส่วนในการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณครั้งนี้ด้วย ให้มองอย่างงี้ก่อนเลย
วิธีแรก
ที่เราต้องมีในการต่อสู้ครั้งนี้ (คือสิ่งที่น้องแดนรู้อยู่แล้ว) ก็คือรู้ตัวว่าความคิดและจิตวิญญาณของเขากำลังเข้าขั้นวิกฤติและเขาต้อง “รับมือ” กับมัน
…
แต่ว่าจะรับมืออย่างไรล่ะ
วิกฤติแบบนี้คล้ายกับอาการทางจิตวิญญาณในยุคโบราณที่เรียกว่า “อะซีเดีย” (acedia) คำนี้มาจากภาษากรีกที่แปลว่า ละเลย แต่คำว่า อะซีเดีย จริง ๆ แล้วหมายถึง “สภาพที่เหงาหงอยหรือเฉื่อยชา ไม่สนใจสภาพตัวเองและไม่ใส่ใจสิ่งใด ๆ ในโลก” อาการนี้อาจะทำให้เราไม่สามารถทำหน้าที่ของเราในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งอาการนี้มีความคล้ายกับคำว่าซึมเศร้า แต่ก็ไม่เหมือนซะทีเดียว ฟังจากที่น้องแดนเล่า คือเขากำลังสู้กับอาการอะซีเดีย ดังนั้นแผนการแรกที่เราจะรับมือกับเรื่องนี้คือ แยกแยะให้ออกว่ากำลังเจอกับวิกฤติแบบไหน เผชิญหน้ากับมัน ยอมรับ มองให้ออก และวางแผนรบ
วิธีที่สอง
ก็คือการอดทนรอคอยพระเจ้าโดยให้พระองค์เป็นจุดศูนย์กลาง การรอไม่ได้หมายความว่าเราไม่ทำอะไรเลย แต่หมายความว่าเรารู้ว่าชัยชนะครั้งนี้ต้องใช้เวลา และในขณะเดียวกันเราก็จะไม่ยอมสิ้นหวัง เราเลยท่องคำพูดของดาวิดว่า
“ข้าพเจ้าได้เพียรรอคอยพระเจ้า พระองค์ทรงเอนพระองค์ลงฟังคำร้องทูลของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงฉุดข้าพเจ้าขึ้นมาจากหลุมอันน่าสลด
ออกมาจากเลนตม แล้ววางเท้าของข้าพเจ้าลงบนศิลา กระทำให้ย่างเท้าของข้าพเจ้ามั่นคง
พระองค์ทรงบรรจุเพลงใหม่ในปากข้าพเจ้า เป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเรา
คนเป็นอันมากจะเห็นและเกรงกลัว และวางใจในพระเจ้า”
(สดุดี 40:1-3)
แม้ว่าดาวิดไม่ได้บอกว่าเราจะต้องรอนานขนาดไหน แต่เราเชื่อว่า ต่อให้เราจะต้องรอนานขนาดไหน หรือไม่ว่าเราจะต้องอยู่ในหลุมหรือเลนตมของอะซีเดีย ความเหงาหงอย และความไร้ทิศทางไปนานแค่ไหน เราจะไม่หมดหวัง แต่เราจะมองไปที่พระเจ้าด้วยความเชื่อว่า พระเจ้ามีเวลาที่เหมาะสม
วิธีที่สาม
ที่เราจะใช้รับมือก็คือการเรียนรู้ว่าความทุกข์ใจแบบนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเราเป็นคริสเตียนที่แท้จริง ตัวอย่างเช่น ใน 1 เธสะโลนิกา 5:14
“และพี่น้องทั้งหลาย เราขอวิงวอนพวกท่านให้ตักเตือนคนที่เกียจคร้าน”
คำว่า atachtus ตรงนี้น่าสนใจ คำนี้หมายถึงความสับสนวุ่นวาย เหมือนทุกอย่างจะพังทลาย
“หนุนน้ำใจผู้ที่ท้อใจ ชูกำลังคนที่อ่อนกำลัง และมีใจอดเอาเบาสู้ต่อคนทั้งปวง”
เกียจคร้าน ท้อใจ อ่อนกำลัง ทั้งสามอย่างเป็นสิ่งที่น้องแดนรู้สึก ณ ตอนนี้ เปาโลเองก็เห็นคนที่รู้สึกแบบนี้ในคริสตจักร พวกเขาต้องการการดูแล ความรู้สึกแบบนี้เป็นประสบการณ์และการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณที่คนที่เป็นคริสเตียนที่แท้จริงจะต้องเจอ
วิธีที่สี่
ใช้พระคำของพระเจ้าต่อสู้กับสิ่งที่คุณขาดอยู่
ณ ตอนนี้ น้องแดนบอกว่า “ผมรู้สึกหมดแรง ชีวิตของผมไร้เป้าหมายและหลงทาง” ผมขอลองใช้พระคำของพระเจ้าเอาชนะแต่ละเรื่องนะครับ สำหรับคนที่หมดแรง ผู้เขียนสดุดีบอกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นกำลังและเป็นโล่ของข้าพเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าวางใจในพระองค์ และข้าพเจ้าได้รับการช่วยเหลือ” (สดุดี 28:7) ดังนั้น พระองค์เป็นกำลังของเราและเราเข้มแข็งขึ้นได้โดยการวางใจในพระองค์ ถ้าให้พูดแบบเจาะจงไปเลย เนหะมีย์บอกว่าความชื่นบานในองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นกำลังของท่าน (เนหะมีย์ 8:10) ดังนั้นให้เราตามหาความชื่นบานในองค์พระผู้เป็นเจ้าและเราจะเจอความเข้มแข็งของเรา
เรื่องนี้ฟังดูเหมือนจะขัดแย้งในตัวเอง เพราะเวลาเรามีแรง เราเองเป็นคนที่รู้สึกถึงเรี่ยวแรงนั้นๆ เวลาเราลุกขึ้นมาเริ่มทำอะไรสักอย่าง เราก็เป็นคนที่ลุกขึ้นมาทำด้วยตัวเอง แต่พระคัมภีร์กลับบอกว่าพระเจ้าทรงเป็นกำลังของเราซะงั้น หลายครั้งคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าก็เลยชอบพูดว่า “พระเจ้าทรงช่วยคนที่ช่วยตนเองก่อน” เพราะเขาพยายามจะอธิบายความจริงทางพระคัมภีร์ด้วยความเข้าใจแบบคนทางโลก ซึ่งคนที่ไม่เชื่อไม่มีทางเข้าใจดังนั้นเขาเลยพูดไม่ถูก ที่จริงแล้วข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า “พระเจ้าทรงเป็นกำลังของข้าพเจ้า” กำลังบอกเราว่าพระเจ้าช่วยคนที่อ่อนกำลัง คนง่อย คนตาย เพื่อให้เขาเหล่านั้นช่วยเหลือตนเองได้เพื่อให้พระเจ้าได้รับเกียรติ เพราะว่าการพึ่งพาตนเองอย่างที่คนในโลกเข้าใจ จริงๆ แล้วก็คือการพึ่งพาพระเจ้านั่นเอง นี่ต่างหากคือความจริงตามหลักพระคัมภีร์
เปาโลอธิบายเรื่องนี้ใน 1 โครินธ์ 15:10 ด้วยว่า “แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นอยู่อย่างที่เป็นอยู่นี้ ก็เนื่องด้วยพระคุณของพระเจ้า และพระคุณของพระองค์ซึ่งได้ทรงประทานแก่ข้าพเจ้านั้น มิได้ไร้ประโยชน์ ตรงกันข้าม ข้าพเจ้ากลับทำงานมากกว่าพวกเขาเสียอีก มิใช่ตัวข้าพเจ้าเองทำ พระคุณของพระเจ้าซึ่งดำรงอยู่กับข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ”
ดังนั้นนะครับน้องแดน ให้ทำทุกทางเพื่อเราจะได้ฟื้นฟูเรี่ยวแรง ให้แสวงหาเรี่ยวแรงนั้นจากพระเจ้า แสวงหาเรี่ยวแรงนั้นในความชื่นชมยินดีของพระองค์ และเมื่อคุณไขว่คว้าหาเรี่ยวแรงนั้นและเชื่อว่าพระเจ้าจะประทานให้กับคุณ ก็ลุกจากเตียงและไปทำสิ่งที่เราควรจะทำซะ
ส่วนที่น้องบอกว่ากำลังหลงทาง ผมเลือกพระคัมภีร์ข้อนี้ให้ 2 เธสะโลนิกา 3:5 “ขอพระเป็นเจ้าทรงนำใจของท่านทั้งหลายให้เข้าถึงความรักของพระเจ้า และถึงความมั่นคงของพระคริสต์”
พระคัมภีร์ข้อนี้แสดงให้เราเห็นว่าพระเจ้าเป็นผู้นำจิตใจที่ดี เวลาเราอยากรู้ว่าจะต้องไปไหนต่อ เราก็ร้องทูลต่อพระเจ้าให้ใจของเราได้สัมผัสการนำของพระองค์ สิ่งที่น้องแดนต้องการไม่ใช่ความคิดหรือร่างกาย แต่คือหัวใจที่ต้องการให้พระเจ้านำ เพราะหัวใจเป็นตัวกำหนดชีวิตและพระเจ้าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหัวใจนั้น ดังนั้นอธิษฐานขอให้พระเจ้านำหัวใจเราเข้าสู่ความรักของพระเจ้าเป็นอันดับแรก แล้วก็เข้าสู่ความหนักแน่นมั่นคงในพระคริสต์ และในความรักและความมั่นคงนั้น ให้อธิษฐานขอพระเจ้านำให้เห็นความชัดเจนของแผนงานของพระเจ้าที่มีในชีวิตของเรา
ข้อสุดท้าย
แดนบอกว่าเขารู้สึกว่าชีวิตเขาไม่มีวัตถุประสงค์ ผมอยากจะใช้ข้อพระคัมภีร์นี้หนุนใจเขาใน 1 เปโตร 2:9 “แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ” และเป้าหมายก็คือ “เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์”
ไม่ว่าพระเจ้าจะมีวัตถุประสงค์อะไรก็ตามสำหรับคุณ แต่เรื่องหนึ่งที่ชัดเจนคือเรามีชีวิตอยู่เพื่อประกาศพระบารมีของพระเจ้า โดยเฉพาะพระบารมีที่ทรงเรียกเราทั้งหลายให้ออกมาจากความมืดและเข้าสู่ความสว่าง และจุดประสงค์ของชีวิตเราที่พระเจ้าแต่งตั้งให้คือ ให้เห็น ให้เข้าใจ และประกาศเรื่องนี้ออกไป
พระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งสำหรับคนที่รู้สึกว่าชีวิตไม่มีเป้าหมายคือ 1 เปโตร 4:10 “ตามซึ่งทุกคนได้รับของประทานที่ทรงประทานให้แล้ว ก็ให้ใช้ของประทานนั้นเพื่อประโยชน์แก่กันและกัน เป็นผู้รับมอบฉันทะที่ดี ที่แจกและสำแดงพระคุณนานาประการของพระเจ้า”
_______________
น้องแดนก็เหมือนคริสเตียนทุกคนที่ได้รับของประทานจากพระเจ้า ของประทานเหล่านี้เป็นของที่ประหลาด เพราะว่าเราเป็นคนเดียวที่ได้ดูแลสิ่งที่พระเจ้ามอบให้กับเราแต่ละคนอย่างเฉพาะเจาะจง วัตถุประสงค์ของชีวิตของเราแต่ละคนคือการใช้ของประทานเหล่านี้ในการจัดแจงพระคุณที่พระเจ้ามอบให้เพื่อถวายพระเกียรติของพระเจ้า
ผมขอจบบทความนี้ด้วยการให้กำลังใจในบทเพลงคร่ำครวญบทที่ 3 เป็นตอนที่เยเรมีย์กำลังเขียนบทนี้ด้วยความโศกเศร้า เขาไร้ทางสู้ในขณะที่กรุงเยรูซาเล็มเมืองที่เขารักกำลังถูกทำลาย และเขาร้องว่า “จิตวิญญาณของข้าพเจ้ายังนึกถึงเนืองๆ และต้องค้อมลงภายในตัวข้าพเจ้า” และเขาก็ต่อสู้กับวิกฤตการณ์ที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่นี้และพูดว่า “ครั้งนี้ข้าพเจ้าหวนคิดขึ้นมาได้” สิ่งนี่แหละคือสิ่งที่เราต้องทำ เราหวนคิดขึ้นมาได้ว่า “ข้าพเจ้ามีความหวังขึ้นเมื่อคิดได้ว่า ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยหยุดยั้ง และพระเมตตาของพระเจ้าไม่มีสิ้นสุด เป็นของใหม่อยู่ทุกเวลาเช้า ความเที่ยงตรงของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก จิตใจของข้าพเจ้าว่า ‘พระเจ้าทรงเป็นส่วนของข้าพเจ้า เหตุฉะนี้ข้าพเจ้าจะหวังในพระองค์’”
เพลงคร่ำครวญ 3:20-24
ดังนั้นให้เราหวนคิดถึงพระสัญญาท่ีพระเจ้ามีต่อเรา มีความหวังใจในพระองค์แล้วลุกขึ้น พระเจ้าจะฟื้นฟูเรี่ยวแรง เป้าหมายและวัตถุประสงค์ในชีวิตเราด้วยความชื่นชมยินดี เมื่อเราลุกขึ้นด้วยเรี่ยวแรงที่มาจากพระองค์