เขียนโดย: ลุงหมีสักหลาด
วาดภาพประกอบโดย : Romeo Cappuccino
วันฮัลโลวีนกับวิญญาณแห่งฤดูหนาว
วันที่ 31 ตุลาคมของทุกปีเป็นเทศกาลวันฮัลโลวีนซึ่งในธรรมเนียมของโลกปัจจุบันนั้นสืบทอดมาจากประเพณีของชาวเซลติก(celts) ชาวพื้นเมืองเดิมแถบเกาะอังกฤษและยุโรปตอนกลาง ที่ใช้ช่วงเวลาดังกล่าวเฉลิมฉลองเทศกาลวันสุดท้ายของฤดูร้อน ซึ่งเป็นเวลาสิ้นสุดการเก็บเกี่ยวพืชไร่และนับเป็นการเริ่มต้นของฤดูหนาว โดยมีธรรมเนียมดั้งเดิมมาจากความเชื่อว่า “วิญญานแห่งฤดูหนาว” จะมาเยือนผู้คนตามบ้าน หากใครถวายอาหารให้ วิญญาณนั้นก็จะอวยพรให้ได้รับโชคตลอดทั้งฤดู แต่จริง ๆ แล้วประเพณีดังกล่าวน่าจะเป็นกุศโลบายให้คนมอบความช่วยเหลือแก่เพื่อนบ้านขี้อายที่อาจประสบกับความอดยากจากปัญหาผลผลิตไม่ดีในปีนั้น ประเพณีเคาะประตูตามบ้านนี้ ไป ๆ มา ๆ เลยกลายเป็นธรรมเนียมที่เด็ก ๆ แต่งชุดผีแล้วออกเดินตระเวนเคาะประตูเพื่อนบ้านในชุมชนพร้อมกล่าวประโยคว่า Trick or Treat (จะเลี้ยงหรือให้หลอก) ซึ่งเป็นการละเล่นที่ได้รับความนิยมมากโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา
แล้วคริสเตียนควรร่วมสนุกกับการละเล่น Trick or Treat หรือไม่?
ว่ากันตรง ๆ หากจะให้แต่งตัวเป็นผีหรือปีศาจลุงหมีก็คิดว่าไม่ควรดีกว่า (เพราะยังไงก็เป็นประเพณีที่มีรากเกี่ยวกับผีโดยตรงแม้มันจะแปรรูปมาจนน่ารักมากก็ตาม) ในประเด็นนี้ลองกลับไปอ่านใน เฉลยธรรมบัญญัติ 18:10-13 เพิ่มเติมได้ และมีบทความข้างใต้ที่สามารถอ่านเพิ่มเติม
ประเด็นต่อไป… หากชาวชูใจเจอเพื่อน ๆ หรือเด็ก ๆ ถามว่าผีมีจริงหรือไม่ผู้ติดตามองค์พระเยซูคริสต์อย่างเราควรจะตอบยังไงดี และเราควรจะกลัวผีหรือไม่ แล้วพระคัมภีร์พูดเรื่องผีไว้ยังไงบ้าง? ซึ่งในขฯที่ลุงหมีเขียนบทความนี้เป็นช่วงที่หนัง The nun กำลังฉายจึงขออธิบายแต่ละประเด็นตามที่หนังได้พูดถึงไปเลยจะได้เห็นภาพกันง่ายๆ
1. ผีมีจริงหรือไม่
เรื่องนี้พระคัมภีร์มายืนยันได้เลยว่า “มี” และพันธกิจการขับไล่ผีก็ถือเป็นหนึ่งในพันธกิจหลักที่ถูกบันทึกเอาไว้ของพระเยซูด้วย โดยพระองค์ทรงมอบต่อให้เหล่าอัครสาวกดำเนินการต่อ (ลูกา 9.1-5 และ มัทธิว 10.1)และพันธกิจการขับไล่ผีก็ยังคงมีอยู่มาถึงในยุคปัจจุบัน ซึ่งหากน้องๆ ได้อ่านพระคัมภีร์บ้างแล้วก็จะเห็นเรื่องราวของผีมากมายทั้งแบบที่หลอกและไม่หลอกมากมาย จุดสำคัญลุงหมีอยากให้สังเกตว่า พระเยซูนอกจากทรงรักคนบาปและคนป่วยแล้วพระเยซูทรงรักคนผีเข้าด้วยทรงปฏิบัติกับเขาอย่างดีไม่ได้รังเกียจคนเหล่านั้น
2. การไล่ผี
ในยุคปัจจุบัน เราไม่สามารถฟังธงว่าใครถูกผีเข้า เพียงจากอาการผิดปกติภายนอก เช่น ชัก อารมณ์แปรปรวน ดุร้าย แรงเยอะ เลือดออกตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย หรือกระทั่งเสียงเปลี่ยน ฯลฯ เพราะบางครั้งอาการผิดปกติดังกล่าวอาจเกิดจากภาวะทางจิต หรือร่างกาย เช่นเดียวกับการที่มีผู้คนอ้างเรื่อง การอัศจรรย์ การเห็นนิมิต ทำนายอนาคต การไล่ผี หรือการรักษาโรค บ่อยครั้งเหลือเกินที่ปรากฎการณ์เหล่านั้นกลับกลายเป็นการหลอกลวงของมิจฉาชีพเพื่อหาผลประโยชน์จากความเชื่อศรัทธา ศาสนจักรคาทอลิกหรือกระทั่งคริสตจักรไทยเองหากได้รับรายงานหรือคำขอร้องเรื่องเหนือธรรมชาติในลักษณะดังกล่าวก็จะมีการส่งคนไปตรวจสอบ หากเป็นการหลอกลวงจะได้ปราบปราม หากเป็นอาการผิดปกติทางจิตใจหรือร่างกายก็ต้องนำส่งโรงพยาบาล แต่หากเป็นผีจริง ๆ ก็ต้องมีกระบวนการอธิษฐานขับไล่กันต่อไป
3. การขานชื่อผี
หากใครเป็นแฟนหนังผีในจักรวาล Conjuring (โดยมี เดอะ นัน เป็นตอนล่าสุด) คงเคยเห็นตัวละครกล่าวว่า หากเรารู้ชื่อผีตนนั้นแล้วจะมีอำนาจเหนือมัน อันนี้ไม่มีการอ้างถึงในพระคัมภีร์แต่อย่างไร เท่าที่ลุงหมีได้ทำการศึกษามา ส่วนมากผู้คนมักจะโยงเรื่องชื่อกับตอนที่พระเยซูถามชื่อของ “ผีกอง” (มัทธิว 8.28-34 และ ลูกา 8.26-37) แล้วจึงขับไล่ออก (แต่ในความคิดส่วนตัวคิดว่าพระคัมภีร์อยากให้ผู้อ่านรับรู้ถึงความรุนแรงของการเข้าสิงมากกว่าเปิดเผยวิธีการไล่ผีว่าทำอย่างไร)
ข้อมูลอื่น ๆ ส่วนมากจะเป็นตามคำบอกเล่าของผู้มีประสบการณ์ไล่ผี โดยลุงหมีได้ไปสอบถามเพื่อนผู้รับใช้ที่มีประสบการณ์เรื่องการไล่ผี จึงได้ข้อมูลมาว่า เวลาจะขับไล่ผี หากจะพูดคุยกับผี เราจะถามชื่อและเมื่อรู้ชื่อเราก็จะพูดคุยกับมันรู้เรื่องมากขึ้น เพื่อที่จะสอบถามถึงที่มาที่ไปหรือสาเหตุที่มันเข้าสิงคน ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ตอนอธิษฐานขับไล่
แต่เอาเข้าจริง ๆ เราจะเชื่อคำพูดของผีได้ขนาดไหน และชื่อของผีต่าง ๆ ที่หนังส่วนใหญ่อ้างถึงก็มาจากคัมภีร์ลัทธิบูชาซาตาน (อย่างเช่นชื่อผี วาริก ในเดอะ นัน) ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามีความน่าเชื่อถือได้ขนาดไหน
เอาเป็นว่าหากเจอสถานการณ์ผี ๆ จริง ๆ ก็อธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า ชาวนาซาเรธ อันนี้ชัวร์สุด (ตามพระคัมภีร์)
4. กางเขนกลับหัว
หนังผียุคปัจจุบันเรามักจะเห็นกางเขนถูกปรับให้กลับหัวบ่อย ๆ เป็นการแสดงว่าผีกำลังมาอยู่ในห้องนั้น อันนี้เป็นสัญลักษณ์ของพวกบูชาซาตาน ที่แสดงออกว่าตนเองเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้า (แต่ตามประวัติศาสตร์ของคริสตจักรแล้วอัครสาวกเปโตรถูกตรึงตายบนกางเขนหัวกลับซึ่งไม่เกี่ยวกับผี)
5. ดาวห้าแฉกกลับหัว
ในหนังเรื่อง เดอะ นัน มีฉากที่นางเอกของเราอธิษฐานขับไล่ผี แต่บนหลังกลับโดนกรีดเป็นแผลเลือดออกซิบ ๆ แผลนั้นเป็นรูปดาวห้าแฉกกลับหัว ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของซาตาน โดยซาตานยังมีสัญลักษณ์อีกอันหนึ่งเป็นหมายเลขหกตัวตัวหรือ 666 ซึ่งทั้งสองสัญลักษณ์นี้สะท้อนถึงความด้อยกว่าสัญลักษณ์ของพระเจ้าที่เป็นดาวหกแฉก (ที่ปรากฏในธงชาติอิสราเอล) ที่มีความสมบูรณ์คว่ำไม่ได้ หรือหมายเลขเจ็ดที่แทนความสมบูรณ์
6. คริสเตียนควรกลัวผีหรือไม่
หากถามว่าคริสเตียนควรกลัวผีหรือไม่ ลุงหมีตอบได้เลยว่าไม่ควรกลัวครับ เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า มันอาจล่อลวงเราได้และบ่อยครั้งที่เราอาจจะหวั่นไหว แต่มารซาตานไม่มีสิทธิเหนือเรา เพราะเราได้รับการไถ่โดยองค์พระเยซูแล้วและมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในเรา เราจึงเป็นของพระองค์โดยสมบูรณ์ อย่างที่พระคำภีร์เรียกว่าการประทับตรา
“และพระองค์ทรงประทับตราเรา และประทานพระวิญญาณไว้ในใจของเราเป็นมัดจำด้วย “
– (2โครินธ์ 1:22)
แต่ถามว่าเราควรจะเที่ยวไล่ท้าพิสูจน์แหล่งผีดุทั่วประเทศหรือไม่ หากมีความคิดอย่างนั้นต้องอธิษฐานถามพระเจ้าดี ๆ ว่า เราต้องการทำอย่างนั้นเพื่ออะไร เราจะลองไล่ผีเพื่อทดลองว่าพระเจ้ามีจริง หรือเพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์มีอำนาจเหนือผีจริง หรือเพียงเพื่ออวดตัวเองเท่านั้น พันธกิจของพระเจ้ามีมากมาย การไล่ผีเป็นเพียงหนึ่งในนั้น
7. วิญญาณชั่วที่ควรกลัว
จากการสัมภาษณ์เพื่อนผู้รับใช้ที่มีประสบการณ์ไล่ผี เขากล่าวว่าตัวผีเองก็มีพลังอยู่ บางครั้งผีตนหนึ่งก็อาจรักษาโรคได้ ทำให้คนพูดภาษาแปลก ๆ หรือ ขับผีอีกตนหนึ่งออกจากคนคลุ้มคลั่งได้ หากมันมีพลังเหนือกว่า แต่เพื่อนผู้รับใช้ท่านนั้นบอกว่าผีที่ทำงานในลักษณะดังกล่าวไม่น่ากลัวเท่าไร ผีที่น่ากลัวจริง ๆ คือผีที่ทำงานแบบเราไม่รู้ตัว เหมือนในหนังสือ Screwtape drivers ของ ซี เอส ลิวอิส ที่เล่าเรื่องของผีน้อยที่มาปรึกษาผีอาวุโสว่าทำอย่างไรจึงจะล่อลวงมนุษย์ออกจากทางของพระเจ้า ผีอาวุโสบอกว่าหากให้มนุษย์พบกับความยากลำบาก มนุษย์ก็จะเข้มแข็งขึ้นในความเชื่อ ต้องล่อหลอกมนุษย์ด้วยความสุขสบาย ความสำคัญหรือตัณหาที่ไม่ปรากฎในที่สาธารณะ
ฉะนั้นคริสเตียนเองนอกจากจะอธิษฐานเผื่อความบาปที่ตนได้กระทำผิดต่อพระเจ้าแล้ว เรายังควรที่จะขอพระเจ้าช่วยเราในการค้นถึงบาปที่แอบซ่อนอยู่ในใจของเรา ที่แม้แต่ตัวเราเองจะไม่รู้ว่าเป็นบาปด้วยซ้ำไม่งั้นเราจะโดนผีหลอกให้ตายใจเอา
8. All Saints day
หลังจากชาวพื้นเมืองยุโรปได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์แทนที่จะฉลองวันปีใหม่แบบเดิม จึงเกิดธรรมเนียมประเพณีของชาวคริสเตียนแทนที่ ค่ำคืนวันที่ 31 ตุลาคมนั้น จึงถูกเรียกว่า All Hollow’s eve หรือเรียกง่าย ๆ ว่า All Saints eve ตั้งแต่ปี ค.ศ. 731 สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 3 ตั้งวันนี้ขึ้นเพื่อระลึกถึงและแสดงความเคารพเหล่านักบุญผู้เคยมีคุณูปการณ์แก่ศาสนา
เป็นค่ำคืนที่คริสตชนระลึกถึงบรรพบุรุษทางความเชื่อ เหล่ามิชชันนารี หรือ อาจารย์ต่าง ๆ ที่นับถือ ( หากเป็นพี่น้องคาทอลิกก็จะระลึกถึงนักบุญและเหล่าผู้พลีชีพเพื่อความเชื่อในอดีต) และในวันรุ่งขึ้น หรือ วันที่ 1พฤศจิกายน ก็จะเป็นวัน All Saints Day คริสเตียนบางส่วนจะถือโอกาสไปยังสุสานเพื่อทำความสะอาดสุสานและระลึกถึงบรรพชน ส่วนพี่น้องคาทอลิกจะเข้าโบสถ์เพื่อระลึกถึงเหล่าวีรชนแห่งความเชื่อและนักบุญ
หากผู้อ่านท่านใดไม่เคยทำ ก็ลองทำดูได้เพราะการระลึกถึงตัวอย่างชีวิตของผู้ที่มีความเชื่อเข้มแข็งนั้นก็เป็นการส่งเสริมความเชื่อของเราเช่นกัน
“ต้องยอมรับว่าตามพระคัมภีร์ผีนั้นมีจริง และในหนังสือเล่มเดียวกันบอกว่าฤทธิ์อำนาจของพระเจ้านั้นจริงยิ่งกว่า”
Related Posts
- Author:
- ชายอบอุ่นที่มีหลากหลายมิติ มีทั้งมิติแห่งการเป็นผู้รับใช้ มิติของคุณครูภาษาอังกฤษ แถมด้วยมิติของการเป็นนักดูหนังตัวยง ชูใจจึงจีบมาเขียนรีวิวหนัง และบทความความรู้พระคัมภีร์ซะเลย
- Editor:
- Perapat T.
- Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)