ในโลกเราที่เต็มไปด้วยความหลากหลายนั้น จิตแพทย์คาร์ล ยุง ได้แบ่งบุคลิกภาพตามความสนใจต่อโลกของผู้คนออกเป็น 2 แบบใหญ่ๆ คือผู้ที่มีความสนใจโลกภายนอก (Extroversion) และ ผู้ที่มีความสนใจโลกภายใน (Introversion) ซึ่งทั้งสองลักษณะนี้มีอยู่ในคนๆ เดียวกันเพียงแต่ใครจะมีด้านไหนที่ทรงพลังกว่าเท่านั้นเอง
ลักษณะทั่วๆ ไป ของชาว Extrovert และ Introvert
ผู้ที่มีความสนใจต่อสิ่งภายนอก
- มักมีแนวโน้มชอบการเข้าสังคม
- มีลักษณะเชื่อมต่อกับคนอื่นได้ง่าย
- ช่างพูดช่างเจรจา กระตือรือร้น และมีชีวิตชีวา
ผู้ที่มีความสนใจต่อโลกภายใน
- มักเป็นคนสงวนท่าที
- ชอบอยู่คนเดียว หรืออยู่กับคนกลุ่มเล็กๆ ที่สนิทสนมกัน
- มักใช้เวลาในการครุ่นคิด หรือ เข้าถึงจิตใจภายใน (บุคลิกภาพแบบ Introvert และ Extrovert เป็นคนละเรื่องกับการเป็นคนขี้อายหรือเป็นคนที่กล้าแสดงออก และ Introvert ไม่จำเป็นต้องเก็บตัว ในทำนองเดียวกัน Extrovert ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนตลกเฮฮา)
การสนใจต่อสิ่งภายนอกหรือภายในจะเป็นตัวกำหนดรูปแบบการรับพลังงานหรือการรื้อพื้นพลังใจ (will power) กลุ่ม Extrovert มักจะรับกำลังจากการได้เชื่อมต่อกับผู้อื่น พบเจอเพื่อนใหม่ๆ การออกผจญภัย หรือ การได้ทำกิจกรรมนอกบ้าน (Out-going) แต่อาจรู้สึกเหงาง่ายและหวั่นไหวเมื่อต้องอยู่คนเดียวนานๆ ในขณะที่ Introvert มักจะรู้สึกดีเมื่อได้ใช้เวลากับตัวเอง สัมผัสใกล้ชิดธรรมชาติ หรือพูดคุยเชิงลึก แต่อาจอึดอัดบ้างหากต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนเป็นเวลานานๆ หรือถ้าต้องพูดในที่สาธารณะ (คือ ให้ทำก็ทำได้แต่มันจะเหนื่อย)
ในสังคมหนึ่งจะมีประชากร introvert ต่อ Extrovert เท่ากับ 1 ใน 3 เท่านั้น แต่เมื่อมองออกไปโดยรอบเรามักจะรู้สึกเหมือนว่ามีแต่ Extrovert เยอะมากกว่าความเป็นจริงเสียอีก ทั้งนี้ก็เพราะพวกเขาถูกสังเกตุเห็นได้ง่ายกว่า เนื่องจาก Introvert จำนวนมากไม่ปรากฎตัวออกมาต่อสาธารณะและมักชอบทำตัวกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม
ด้วยลักษณะบุคลิกภาพที่เปิดเผยมากกว่าเราจึงมักเข้าใจความต้องการ และปรับตัวให้เข้ากับ Extrovert ได้ง่ายกว่า Introvert ดังนั้นเมื่อพูดถึงคน Introvert บางคนจึงอาจมองว่าพวกเขาเป็น “คนโลกส่วนตัวสูง” ซึ่งไม่ใช่ความเข้าใจที่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะกำแพงทุกกำแพงย่อมมีประตู มี Introvert มากมายที่เปิดเผยและเป็นมิตร โดยเฉพาะเมื่อใครก็ตามสามารถก้าวผ่านประตูเข้าไปในโลกของเขาได้แล้ว
ทั้งนี้ลักษณะของในแต่ละสังคมก็มีความแตกต่างกัน เช่น สังคมตะวันตกจะเน้นให้ความสำคัญต่อลักษณะบุคลิกภาพแบบ Extrovert มากกว่า อย่างเรื่องความกล้าแสดงออก การแสดงความคิดเห็น ภาวะความเป็นผู้นำ หรือการออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ในขณะที่สังคมฝั่งเอเชียส่วนใหญ่ เช่น ญี่ปุ่น และเกาหลี จะเน้นการเก็บความรู้สึก สุขุม และมีพิธีรีตรอง ดังนั้น ในสังคมตะวันตก Introvert จึงอาจต้องเผชิญกับการถูกกระตุ้น ในขณะที่ Extrovert ในสังคมตะวันออกอาจถูกกดทับด้วยขนบธรรมเนียมประเพณี
Susan Cain นักเขียนและผู้เชี่ยวชาญด้านบุคลิกภาพ กล่าวใน Ted talk ของเธอว่า ในการทำงาน หรือใช้ชีวิตให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดนั้น Introvert และ Extrovert ต้องอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมกับพวกเขา แต่สถาบันหลักๆ ในสังคม ทั้งโรงเรียน หรือที่ทำงาน (และรวมถึงโบสถ์ด้วย) ในปัจจุบันล้วนถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับคนที่ไม่ชอบเก็บตัว สังคมมักมีอคติและมีความเชื่อว่า พลังแห่งการสร้างสรรค์ และประสิทธิภาพสูงสุดจะมาจากการรวมตัวกันทำอะไรเป็นกลุ่มใหญ่ๆ สถาบันต่างๆ เหล่านี้จึงเต็มไปด้วยกิจกรรมกระตุ้น เร่งเร้า และ สร้างความเป็นกลุ่มก้อน
Extrovert มักชอบที่จะได้รับการกระตุ้น และตื่นตัวเมื่ออยู่ในที่ๆ เต็มไปด้วยผู้คน ในขณะที่ Introvert จะรู้สึกสดชื่น กระฉับกระเฉงในสภาวะแวดล้อมที่เงียบสงบ
______________________________________________
หันกลับมามองในโบสถ์
โบสถ์เป็นสังคมของผู้เชื่อและมีความหลากหลายสูงเช่นเดียวกันกับโรงเรียนและที่ทำงาน การเข้าใจธรรมชาติของผู้คนจะช่วยให้เราอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและเสริมสร้าง แต่นั่นก็ต้องเริ่มจากการเข้าใจธรรมชาติของแต่ละโบสถ์ก่อนด้วย โดยทั่วไปแล้วธรรมชาติของโบสถ์แต่ละโบสถ์จะเกิดจากผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่มาก่อนและสร้างวัฒนธรรมองค์กรขึ้นหรือมาจากการปฏิบัติสืบต่อกันมา โบสถ์แต่ละที่จึงมีธรรมชาติไม่เหมือนกัน
เช่น บางโบสถ์มีการนมัสการแบบเต้นโลดสุดใจเปิดรับการแสดงออกทั้งท่าทีและความรู้สึก ส่วนบางโบสถ์มีการนมัสการที่เน้นความสงบศักดิ์สิทธิ์ หรือบางโบสถ์มีรูปแบบกิจกรรมที่เน้นการออกไปสู่ภายนอกมากกว่า ส่วนบางโบสถ์เน้นการเข้ามาสามัคคีธรรมกันภายในมากกว่า เป็นต้น
นมัสการ และตอบสนองอย่างที่เป็น
ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของทีมนมัสการผู้เขียนได้ข้อสังเกตว่า หลายครั้งเราอาจคาดหวังให้ทุกคนในคริสตจักรแสดงออกในการนมัสการเต็มที่ ผู้นำอาจรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อเห็นสมาชิกบางคนไม่ได้ตอบรับการท้าทายเร้าใจมากเท่าที่คาดหวัง ซึ่งในความเป็นจริง นอกจากความคิด ความชอบ ประสบการณ์ หรือสถานการณ์ในชีวิตจะทำให้คนตอบสนองต่อการนมัสการต่างกันแล้ว บุคลิกภาพก็มีผลต่อการแสดงออกที่แตกต่างกันด้วย สมาชิกที่เป็น Introvert อาจไม่เลือกที่จะใช้การแสดงออกทางกายมากเท่ากับการดำดิ่งเข้าไปในบทเพลงและท่วงทำนองที่ซาบซึ้ง การจัดชุดเพลงนมัสการให้มีทั้งช่วงแห่งการสรรเสริญ และช่วงแห่งการพักสงบจึงสามารถช่วยให้คนทั้งสองกลุ่มเข้าถึงการนมัสการอย่างที่พวกเขาถนัดและอย่างที่พวกเขาเป็น
ถ้าอย่างนั้นเราจะทำอย่างไรหากรูปแบบการนมัสการของคริสตจักรมีความตายตัว และดัดแปลงแก้ไขได้ยาก? ยังคงมีช่องทางในการประชุมกลุ่มย่อยๆ ที่มีความยืดหยุ่นกว่า เช่น กลุ่มตามวัย และ กลุ่มเซลล์ตามบ้าน ที่สำคัญการเปิดโอกาสให้สมาชิกเรียนรู้ที่จะเข้าถึงการนมัสการทั้งสองรูปแบบทั้งการแสดงออกสู่ภายนอก (Expression) และการใคร่ครวญภายในจิตใจ (Meditation) อย่างสมดุลก็จะช่วยให้เขาได้เรียนรู้จากพระเจ้าทั้งภายนอกและภายในอย่างมีความสุข
ความหลากหลายนั้นเป็นเรื่องดีและพระเจ้าสร้างเราแต่ละคนมาอย่างเฉพาะเจาะจง ผู้นำนมัสการที่มีความเป็น Extrovert มากๆ อาจนำทิศทางการนมัสการให้เคลื่อนไปด้วยพลังและการท้าทายที่ปลุกใจ พวกเขานำการสรรเสริญด้วยความชื่นชมยินดีและเทใจออกต่อพระเจ้าได้เหมือนที่มีเรียมเต้นรำนำประชาชน ในขณะเดียวกันผู้นำที่มีความเป็น Introvert อาจนำให้ที่ประชุมซาบซึ้ง และลงลึกไปกับพระเจ้าได้ดีเหมือนกษัตริย์ดาวิด (และในบางครั้งก็เต้นรำ) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน หากผ่านการฝึกฝนที่ดีก็จะสามารถก้าวผ่านธรรมชาติของตัวเองและนำได้ทั้งสองทิศทางในที่สุด
วางคนให้ถูกกับรูปแบบการรับใช้ และคาดหวังด้วยความเข้าใจ
เป็นเรื่องยากนิดหน่อยสำหรับการทำงานรับใช้เพราะส่วนใหญ่แล้วเป็นงานที่จะต้องยุ่งเกี่ยวกับคน แต่หากมองให้ดีก็มีงานอีกจำนวนมากที่ไม่เกี่ยวข้องกับคนโดยตรง โดยปกติถ้าเลือกได้ Introvert มักจะวางตัวเองเข้าสู่งานค้นคว้าสายวิชาการ หรือดนตรี ส่วน Extrovert มักเข้าสู่งานรับใช้แนวพันธกิจ หรือภาคสนาม นั่นทำให้สไตล์การรับใช้ของทั้งคู่มีความแตกต่าง เช่น ในการสอนพระคัมภีร์ Introvert อาจสอนเข้าไปลึกถึงความล้ำลึกในหลักการยากๆ ที่ฟังแล้วว้าว เพราะพวกเขามีแนวโน้มชอบอ่าน ในขณะที่ Extrovert อาจเต็มไปด้วยตัวอย่างหรือประสบการณ์ภาคสนามที่น่าสนใจที่ฟังแล้วต้องอู้หู้ (ขึ้นอยู่กับบุคคลด้วย)
การพยายามผลักดันให้คนที่มีบุคลิกภาพ แบบ Introvert ออกมายืนต่อหน้าผู้คน เช่นการนำเพลง เกม หรือสันทนาการ อาจจะยากสักหน่อย พวกเขาย่อมอยากปฏิเสธเพราะมันเป็นกิจกรรมที่ฝืนธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย เพียงแต่พวกเขาต้องการการสนับสนุน และเวลาในการเตรียมตัวมากหน่อย เมื่อผ่านไปแล้วและแม้ว่ากิจกรรมอาจจะออกมาได้ดีแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าพวกเขาจะรู้สึกเหมือนถูกดูกลืนพลังงานไปจำนวนมาก ในขณะที่บุลิกภาพของชาว Extrovert อาจจะเอื้อมากกว่าที่พวกเขาจะยืนถือไมค์ ไฟส่องหน้า และรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าหากต้องทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับผู้คน
———————————– หลังจากส่วนนี้เป็นข้อมูลดิบจากการสัมภาษณ์ ———————————–
บทสนทนาของ ชูใจทีม กับ วัยรุ่นสองคน
“ผมรู้สึกโอเคนะที่เราได้ประกาศ ได้เจอคนใหม่ๆ ผมชอบที่จะได้คุย ได้ทำความรู้จักเค้าแล้วเล่าเรื่องของพระเยซู”
“ส่วนผมก็ทำได้ครับ แต่ผมจะรู้สึกฝืนๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่รักพระเจ้านะ แต่ผมจะค่อนข้างรู้สึกเหมือนถูกดูดพลัง”
ชูใจทีมได้ทำการสัมภาษณ์ น้องนักศึกษา 2 คนที่เป็นเพื่อนกันซึ่งมีบุคลิกภาพ แบบ Introvert และ Extrovert ในประเด็นการเดินประกาศในมหาวิทยาลัยพบว่า น้อง Extrovert มีความสบายใจกว่าในการพบปะผู้คน และสามารถประกาศกับคนได้หลายคนภายในวันเดียว ขณะที่น้อง Introvert อาจต้องใช้พลังงานมากในการพูดคุยกับคนเพียงคนเดียวหรือเพียงสองคนก็ทำให้เหนื่อยมากแล้ว ทั้งนี้แม้เขาจะสบายใจกับการมาเรียนพระคัมภีร์กับพี่เลี้ยงมากกว่าการออกไปพบผู้คนเพื่อประกาศแต่เขาก็ยินดีที่จะออกไปพร้อมเพื่อนในฐานะคู่หู และอธิษฐานเผื่อในขณะที่เพื่อนกำลังประกาศกับผู้สนใจ ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าออกไปเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าเอง
ต่อไปนี้เป็นบทสนทนาของชูใจทีม และ น้อง Introvert
“ผมว่าผมสามารถอธิษฐานเผื่อ ผมเป็นเพื่อนคุยกับคนบางคนได้ ผมสอนพระคัมภีร์กับน้องที่เราพอรู้จักแล้วได้ แต่ผมอาจจะไม่ค่อยชอบเวลาต้องทำอะไรที่มันดูสนุกๆ”
“แล้วเวลาที่ทำกิจกรรม เรารู้สึกสนุกมั้ย?”
“ก็สนุกครับ แต่ผมจะไม่ค่อยแสดงออก ชอบนั่งดูมากกว่า”
“ก็คือ เราก็มีส่วนร่วมกับกิจกรรมในแบบของเรา?”
“ใช่ครับ แต่ผมไม่ค่อยชอบที่จะออกไปข้างหน้า”
“แล้วอย่างตอนนมัสการล่ะ?”
“ผมก็อินนะครับ แต่ผมอาจจะไม่เต้นโลด”
“แล้วคิดว่าเราที่ยืนนิ่งๆ กับคนที่กระโดด ต่างกันมั้ย?”
“ผมว่าไม่ต่าง เพราะเรานมัสการพระเจ้าอย่างที่เราเป็น”
“มันเป็นเรื่องอึดอัดนิดหน่อย ที่พี่ๆ พยายามผลักดันให้ทีมผู้นำทุกคน นำเกม นำนมัสการ นำทุกอย่างได้ ทั้งๆ ที่เราสบายใจกว่าเมื่อเราได้คอยสนับสนุน หรือ แค่ร้องเพลงในจุดที่เรายืน” น้องผู้ให้สัมภาษณ์กล่าว เพราะแต่ไหนแต่ไรเรามักจะผูกความเป็นผู้นำ กับความสามารถในการนำกิจกรรมทุกอย่าง
ต่อไปนี้เป็นบทสนทนาของชูใจทีม และ น้อง Extrovert
“ผมชอบที่จะได้เรียนรู้ประสบการณ์คนอื่นแล้วก็เจอคนใหม่ๆ เวลาที่ได้คุยแล้วมันรู้สึกได้รับแรงบัลดาลใจ”
“แล้วเวลาเราอ่านหนังสืออยู่บ้านอย่างงี้ได้แรงบัลดาลใจมั้ย”
“ปกติผมจะไม่ค่อยชอบอ่านเวลาอยู่บ้านส่วนใหญ่ผมจะรู้สึกทำอะไรไม่ถูก มันจะแปลกๆ”
“อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้นี่นอนเฉยๆ มองเพดานแบบนี้เคยมั้ย?”
“ผมทำไม่ได้พี่มันทำไม่เป็น ถ้าไม่ทำการบ้านหรืองานบ้านอะไรอย่างงี้ ผมก็จะไปที่มหาลัย ไปที่โบสถ์”
“แล้วไปทำอะไรบ้าง”
“ก็ถ้ามีอะไรก็ทำถ้าไม่มีอะไรก็อยู่เฉยๆ หรือเล่นกีตาร์”
“แล้วไม่อยู่เฉยๆ ที่บ้านอะ”
“เออ นั่นสิพี่อยู่กับเพื่อนถ้าหิวก็ชวนกันออกไปกินข้าวได้มั้ง”
นี่เป็นเพียงการสะท้อนมุมมองจากการพูดคุยเบื้องต้นเท่านั้นไม่ใช่ข้อสรุปที่เป็นสากล สุดท้ายการที่แบ่งบุคลิกภาพออกเป็นสองอย่างก็เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการสร้างความเช้าใจแบบคร่าวๆ ไม่ใช่การตีตราว่าคนไหนเป็นแบบไหน
การเข้าสังคม และ การปลีกตัว เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน พระเยซูเองก็มีเวลาที่ทรงใช้กับเหล่าสาวก พบปะผู้คน และมีเวลาแห่งการแยกตัวออก นั่นคือแบบอย่างชีวิตที่สมดุลระหว่างการมีประสบการณ์ภายใน (inside) และการมีความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง (outside)
“สิ่งสำคัญในการอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นคือ ความรัก ความเข้าใจ และการให้เกียรติซึ่งกันและกัน”
#ด้วยรักทั้งภายนอกและภายใน
ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ :
การบรรยาย Power of Introvert โดย Susan Cain ; TED Talk : https://www.ted.com/talks/susan_cain_the_power_of_introverts?utm_campaign=tedspread&utm_medium=referral&utm_source=tedcomshare
รู้เขารู้เรา EP.5 ฉันโลกส่วนตัวสูงรึเปล่า? : https://choojaiproject.org/2017/08/get-to-know-ep5-are-you-introvert-or-extrovert/
Related Posts
- Author:
- Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)
- Illustrator:
- Jostar
- พี่ชายผู้อบอุ่นละมุนละไม เวลาใส่หมวกกันน๊อคแล้วนั่ลล๊าคดั่ง Pororo อดีตมาสเซอร์วิชาสอนศิลปะ ปัจจุบันถวายตัวรับใช้ที่โบสถ์สไตล์ลอฟๆ ชอบขีดๆ เขียนๆ วาดๆ
- Editor:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน