ต้นเรื่อง: floravintage
อันดับแรกคงต้องขอบคุณชูใจ project เป็นอย่างมากที่เปิดโอกาสให้ส่งคำพยานเพื่อเล่าต่อ เพราะนับตั้งแต่ฉันเป็นคริสเตียนมาได้ 2 ปี ยังเล่าคำพยานรวมแล้วไม่ถึง 10 ครั้ง
ส่วนตัวแล้วฉันมักจะคิดอยู่เสมอว่าเรื่องราวของเราไม่น่าตื่นเต้นเท่าเรื่องของคนอื่นที่เคยได้ยินได้อ่านมา จนไม่นานมานี้ก็เกิดแรงบันดาลใจในการเขียนขึ้น หลังจากเข้าใจว่าพระเจ้ามีวิธีเรียกลูกของพระองค์แต่ละคนไม่เหมือนกัน แม้เทียบกันแล้วเรื่องราวนี้อาจดูธรรมดา ไม่น่าตื่นเต้นเท่าไรนัก แต่ฉันก็อยากเขียนขึ้นเพื่อเป็นเรื่องราวหนุนใจให้กับพี่น้องที่ได้อ่าน
อย่างน้อยคำพยานที่ดูธรรมดาๆ นี้ อาจเกิดผลขึ้นในใจใครสักคนก็เป็นได้
🙂
_______________
ฉันไม่ได้เชื่อในพระเจ้าเพราะเรื่องๆ เดียว จึงได้รวบรวมหลายการทรงเรียกที่ส่งผลต่อการตัดสินใจมารวมอยู่ในคำพยานครั้งนี้
เอาล่ะ เราจะเรียงเหตุการณ์เหล่านั้นตามไทม์ไลน์ไปเป็นข้อๆ
…
เริ่มจากสาเหตุที่ทำให้ฉันอยากรู้จักพระเจ้า
1. การเปลี่ยนแปลงของพี่สาว
ครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวอย่างคนไทยส่วนใหญ่ที่นับถือพุทธ ยายไปวัดแทบทุกวัน ส่วนป้าก็เป็นหมอดู แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นเมื่อพี่สาวได้ผันตัวมาเป็นคริสเตียน
ตอนนั้นฉันก็ไม่เข้าใจหรอกว่าคริสเตียนคืออะไร แต่ก็พอจะรู้ว่าพระเจ้าเป็นใคร เพราะเรียนในโรงเรียนคาทอลิกมาตลอดตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยมปลาย
กระทั่งเมื่อพี่สาวเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่เคยเห็นๆ กันอยู่ว่ารักสนุก ติดเหล้า ติดยา เป็นคนที่เรียกได้ว่าไม่สนใจใครแม้จะคนในครอบครัว กลับกลายเป็นเลิกเหล้าเลิกยา ซ้ำยังเปลี่ยนเป็นลูกสาวและพี่สาวที่น่ารัก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เองที่ทำให้ฉันเริ่มเปิดใจอยากที่จะรู้จักพระเจ้ามากขึ้น
2. Christians are really nice
พอดีกับที่ไม่นานก็มีเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นคริสเตียนชวนฉันไปโบสถ์ด้วยคำโฆษณาชวนเชื่อที่ว่า “แก ที่โบสถ์ฝรั่งเยอะนะเว้ย”
จริงๆ คือเพราะประโยคนี้นี่แหละ ที่ทำให้ฉันตัดสินใจเริ่มไปโบสถ์ทันที
…
ความรู้สึกแรกๆ ที่ได้สัมผัสตอนไปถึงก็คือ
“ทำไมพวกเขาดู friendly ขนาดนี้”
และ “นี่ fake ใส่เราหรือเปล่าเนี่ย”
ที่คิดไปอย่างนั้นเพราะคนในโบสถ์ให้การต้อนรับดีมาก รู้สึกถึงความพยายามที่จะดูแลเอาใจใส่ และอยากที่จะพยายามรู้จักกับเรา ทำให้เกิดช่วงอารมณ์หนึ่งที่คิดขึ้นในใจว่า… มันอบอุ่นดีจังเลย
3. การอธิษฐานครั้งแรก
หลังจากไปโบสถ์ครั้งแรกก็มีครั้งที่สองสามตามมาเรื่อยๆ เพราะว่าพี่ๆ ที่โบสถ์น่ารัก (และฝรั่งก็เยอะจริงๆ!) นับว่าช่วงมัธยมปลายที่ได้มีโอกาสฟังพระคำของพระเจ้าค่อนข้างเยอะ อีกทั้งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเริ่มการอธิษฐานเป็นครั้งแรก
ในตอนนั้นสถานะทางการเงินของที่บ้านค่อนข้างมีปัญหา ฉันไม่มีเงินพอจะไปโรงเรียน และสถานการณ์ที่ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครนี้ก็ทำให้ฉันนึกถึงพระเจ้า
“หากพระเจ้ามีจริง…
ขอให้ลูกมีเงินพอสำหรับไปโรงเรียนด้วย อาเมน”
พออธิษฐานเสร็จปุ๊บ เสียงโทรศัพท์ก็ดังด้วยเบอร์ที่ไม่คุ้น พอรับสายจึงรู้ว่าเป็นพี่คนหนึ่งที่เคยติดต่องานกับเราเมื่อสองปีที่แล้ว เขาโทรกลับมาเพื่อให้เราไปทำงานด้วย ซึ่งค่าจ้างก็เป็นจำนวนที่มากทีเดียว ตอนนั้นในใจเลยคิดว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญแน่ ฉันเริ่มรับรู้ได้ถึงการตอบคำอธิษฐานของพระเจ้าที่เกิดขึ้นอย่างทันเวลา
4. พระเจ้าตอบฉันเป็นครั้งที่สอง
ไม่นานฉันก็มีเรื่องทะเลาะกับเพื่อนร่วมห้องที่เป็นคริสเตียน ตอนนั้นรู้สึกเสียใจมากและก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาดีกันได้ยังไง เลยลองอธิษฐานอีกครั้งว่า
“หากพระเจ้ามีจริง…
ขอให้ลูกกับเพื่อนกลับมาดีต่อกัน อาเมน”
วันต่อมาในคาบวิชาศาสนาคริสต์ก็ได้เรียนเรื่องการให้อภัย โดยผู้สอนก็ยกตัวอย่างเรื่องการทะเลาะกับเพื่อนว่าควรให้อภัยซึ่งกันและกันยังไง
ฉันก็หันหน้าไปมองเพื่อนคนที่ทะเลาะด้วย ซึ่งสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจก็คือเขาหันมาสบตาเราเช่นกัน และตอนนั้นเองที่ฉันรับรู้ได้ถึงการตอบคำอธิษฐานของพระเจ้าอีกครั้ง
พอตกเย็นเราก็ขอโทษซึ่งกันและกัน จนสุดท้ายก็กลับมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเหมือนเดิม
5. หนีไม่พ้น
แม้จะรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของพระเจ้าแล้ว แต่ก็ยังดื้อไม่ได้เปลี่ยนความเชื่อของตัวเอง เพราะความคิดจากมารซาตานมักจะเข้ามาในหัว เช่นว่า เราเปลี่ยนไม่ได้แน่ๆ, ที่บ้านจะคิดกับเรายังไง?, พระต่างๆที่เราเคยไปบนไว้จะทำยังไง?, งานศพใครก็ไปไม่ได้แล้วหรอ? ฯลฯ
ช่วงเปลี่ยนผ่านจากรั้วโรงเรียนไปสู่มหาวิทยาลัยทำให้ต้องแยกจากเพื่อนคนที่เคยชวนไปโบสถ์ ฉันที่ยังไม่ยอมเชื่อพระเจ้าก็ไม่ได้ไปโบสถ์อีกเลย
ระยะเวลา 4 ปี ทำให้เราห่างเหินกับพระเจ้าไปมากจนได้ไปฝึกงานที่กรุงเทพฯ เพื่อนร่วมงานที่เพิ่งรู้จักก็ชวนไปโบสถ์ทำให้ฉันคิดในใจอย่างขบขันว่า
“ไม่ว่าจะไปที่ไหนเราก็หนีพระเจ้าไม่พ้นอยู่ดี”
ไม่นาน หลังเรียนจบชีวิตเต็มไปด้วยพายุ ฉันทะเลาะกับครอบครัวจนต้องหนีออกจากบ้านไปอยู่กับเพื่อนสนิทอีกคน ซึ่งเปลี่ยนมาเป็นคริสเตียนและประจำอยู่โบสถ์เดียวกับที่ฉันเคยไปตอนมัธยม!
ฉันกลับมาโบสถ์อีกครั้ง และคราวนี้ก็กลับมาพร้อมความเชื่ออย่างสุดหัวใจ
_______________
ถึงฉันจะดื้อ หรือหนีจากพระองค์ไปนานแค่ไหน แต่สุดท้ายพระเจ้าก็ยังเรียกลูกคนนี้กลับมาด้วยความรักของพระองค์ที่เต็มล้นอยู่เสมอ
เรื่องราวเหล่านี้มันทำให้ฉันเชื่อว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว พระองค์ทรงเรียกให้เราอยู่ในทางของพระองค์เสมอ และจะไม่เลิกตามหาเมื่อเราหลงทางไป อย่างบิดาในเรื่องบุตรน้อยที่หลงหาย
“ลูกของเราคนนี้ตายแล้ว แต่กลับเป็นอีก หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก”
(ลูกา 15:24)
ขอบพระคุณพระองค์ที่ไม่ทอดทิ้งข้าพระองค์
และติดตามอย่างไม่ลดละด้วยพระเมตตา
.
ขอพระเจ้าอวยพรนะคะ
#ชูใจชวนแชร์ เพราะเรารู้ว่าทุกคนมีเรื่องเล่า… ชูใจจึงชวนมา ‘ส่งต่อ’ เรื่องราวที่พระเจ้าทรงทำในชีวิตของคุณเพื่อ ‘ชูใจ’ คนอื่นต่อไป ( <3 อ่านรายละเอียดได้ที่ >> https://choojaiproject.org/choojai-forward
Related Posts
- Illustrator:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
- Editor:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน