บทความนี้ใช้เวลาอ่านประมาณ 6 นาที
อ่านตอนอื่นๆ ของซีรีส์นี้ได้ทาง : https://choojaiproject.org/category/articles/life-series/me-and-another-me/
***เรื่องราวในตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการบันทึกส่วนตัวของผู้เขียน
การบรรยายความคิดและความรู้สึกเป็นไปตามสถานการณ์ของผู้เขียนที่กำลังเผชิญขณะนั้น***
_______________
ฉันสบายดี
ฤดูฝน, 2558
ฉันสบายดี
ฉันคิดแบบนั้น และเชื่อแบบนั้น
ฉันแค่ขอระยะห่างจากคนรอบตัว
ฉันไม่ได้เป็นอะไร ฉันแค่อยากอยู่คนเดียว
ฉันไม่ได้เป็นอะไร ฉันแค่เหนื่อย
ฉันไม่ได้เป็นอะไร ฉันแค่ไม่อยากดำเนินบทสนทนากับใคร
ฉันไม่ได้เป็นอะไร
ฉันไม่ได้เป็นอะไร
…
ฉันขอระยะห่างจากคนใกล้ตัวที่สุดก่อนจะพบว่าตัวเองกำลังเว้นระยะกับทุกคน อันที่จริงคือฉันไม่ได้สังเกตตัวเองเลย จนกระทั่งคนใกล้ตัวที่ว่า ระบายความอัดอั้นของเขาออกมาว่าย้ายกลับมาอยู่เชียงใหม่คราวนี้ฉันเหม่อบ่อยขึ้น หงุดหงิดง่ายขึ้น เงียบนานขึ้น และเรื่องที่แย่ที่สุดสำหรับเขาคือ ฉันมักจะร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ
มันอาจเป็นแค่ “ช่วงนี้” ก็ได้ แล้วอีกไม่นานทุกอย่างก็จะกลับมาปกติ ฉันยังกินได้เยอะ นอนได้มากตามค่าเฉลี่ยของคนทั่วๆ ไป อาจมีอารมณ์แปรปรวนบ้างนิดหน่อย แต่ใครๆ ก็มีจังหวะที่อารมณ์แปรปรวนกันทั้งนั้นแหละ… นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย
_______________
แววตาเห็นใจทำให้ฉันรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก
นี่เป็นอีกครั้งที่ร่างกายบอกแทนคำพูดโดยไม่ได้รับอนุญาตจากตัวเจ้าของด้วยการร้องไห้จนตาบวมแดง เวลาอย่างนี้ฉันอยากจะกลายเป็นอากาศไปเสียเลยจะได้ไม่ต้องพบกับสายตาที่มองจ้องมา
หลังจบการอธิษฐานในเซลล์กรุ๊ป [1] วันนี้ฉันก็เตรียมตัวจะเดินขึ้นห้อง รู้สึกแย่กับตัวเองในสภาพไม่พร้อมอย่างนี้ รู้สึกแย่กับคำพูดทั้งหลายที่ฟังดูจะเป็นห่วงเป็นใย รู้สึกแย่ที่สุดกับสัมผัสของอ้อมกอดอ่อนโยนจากพี่น้องที่บอกว่าจะอธิษฐานเผื่อ
ฉันสบายดี ฉันไม่ได้เป็นอะไร
เพราะฉะนั้น… อย่าทำเหมือนตอนนี้มันแย่นักเลย
ไม่รู้ว่าโกรธคนรอบตัวที่ทำเหมือนว่ามีอะไร หรือโกรธตัวเองที่ทำเหมือนไม่มีอะไรมากกว่ากัน รู้เพียง “ช่วงนี้” ฉันพยายามไม่สบตาใครทั้งนั้น
_______________
ใครต่อใครบอกให้เพียรอธิษฐาน แต่ฉันในตอนนี้ไม่สามารถทำได้แม้กระทั่งพูดคุยกับพระเจ้า คำพูดมันออกมาไม่เป็นประโยค บ้างเป็นวลีสั้นๆ บ้างอยู่ในหัวแล้วหายแทบจะทันทีจนไม่รู้ว่าเมื่อกี้จะพูดอะไร งานอดิเรกอย่างการอ่านหนังสือที่ทำประจำอย่างสม่ำเสมอก็ยังไม่มีสมาธิพอจะอ่านให้จบสักหน้าเดียว
“ช่วงนี้” ไม่มีสมาธิ ไม่อยากทำอะไรเลย
ฉันใช้เวลาไปกับการทำงานที่จำเป็นต้องทำให้เสร็จ และนอนอยู่เฉยๆ จนหมดวัน
_______________
วันนี้ฉันติดรถพี่คนหนึ่งเพื่อจะเดินทางไปเข้าค่ายโบสถ์ด้วยกัน ระหว่างทางก็มีบทสนทนาระหว่างเราเกิดขึ้น
“ตอนนี้ยังกินยาอยู่ไหม?”
“ไม่ได้กินแล้วค่ะ”
“แล้วมันดีไหม?”
“ช่วงนี้คิดว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“เมื่อไหร่จะกลับไปกิน?”
“…”
“พระเจ้าจะรักษาให้หายได้ แต่เราก็ต้องทำในส่วนของเราด้วย ถ้าเชื่อว่าพระเจ้าสร้างทุกอย่างแล้วจะเชื่อได้ไหมว่าบางที ยาอาจเป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นเพื่อช่วยให้เราหาย?”
ดูเหมือนคำว่า “ช่วงนี้” ของฉันจะหาที่สิ้นสุดไม่ได้ในเร็ววันเสียแล้ว
หลังจากวันนั้นไม่นาน พี่คนนั้นก็แนะนำหมอคนหนึ่งมาให้พร้อมกับอาสาว่าจะพาไปในฐานะผู้ปกครอง สถานที่เป็นคลินิกเอกชน ฉันแนะนำตัวกับหมอ และถูกซักประวัติครอบครัวกับประวัติการรักษาอยู่นานก่อนที่หมอคนใหม่จะถามฉันว่า
“สะดวกนอนที่โรงพยาบาลไหม? หมอส่งตัวไปให้ได้นะ”
ไม่เข้าใจนิดหน่อย ถึงจะมีความคิดอยากหายไปอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยมีความคิดจะฆ่าตัวตายอีก… แล้วทำไมฉันถึงจะต้องนอนค้างที่โรงพยาบาลด้วยล่ะ คุยไปคุยมาหมอก็บอกว่าไม่สบายใจที่ฉันหยุดยาเอง ซึ่งรอบนี้เป็นครั้งที่ 2 และฟังจากผลของรอบแรกก็ไม่ดีเท่าไหร่นัก จึงขอให้ฉันเปิดใจถึงสาเหตุจริงๆ ที่ไม่อยากใช้ยาในการรักษา
ฉันตอบสาเหตุเหล่านั้นไปทีละข้อ ทั้งกลัวว่าจะติดจนเลิกไม่ได้ ทั้งคิดว่าระยะเวลาที่ต้องกินต่อเนื่องมันนานเกินไป ทั้งเข้าใจว่าบางช่วงอาการดีขึ้นจนไม่จำเป็นต้องใช้ยาอีก ฯลฯ หมอรับฟังทั้งหมดนั้น ก่อนจะขออธิบายวิธีการรักษาด้วยยา หากฟังจนจบแล้ว การตัดสินใจทั้งหมดจะขึ้นอยู่ที่ฉันว่าจะกลับไปกินยาอีกครั้งหรือไม่
เริ่มด้วยพื้นฐานการทำงาน คือ ยาจิตเวชจะปฏิบัติการกับสมองเพื่อเปลี่ยนแปลงอารมณ์และจิตสำนึก เช่นเดียวกับสารกระตุ้นประสาท เพราะยาหลายตัวสามารถบรรเทาหรือควบคุมอาการต่างๆ ของความโศกเศร้าทางอารมณ์ได้ โดยการกล่อมประสาทให้ว่องไวขึ้น ลดความอ่อนไหวให้ด้านชาลง และทำให้นอนหลับ
เรื่องสำคัญคือ… ยาจิตเวชไม่ได้เปลี่ยนแปลงสาเหตุรากฐานของความโศกเศร้าทางอารมณ์
แต่พวกมันเป็นเพียงเครื่องมือที่จะช่วยบรรเทาอาการลง ซึ่งระยะเวลาที่แนะนำให้กินต่อเนื่องขึ้นอยู่กับธรรมชาติของตัวโรคและปัจจัยหลายอย่างของตัวคนไข้ เช่น ความยาวนานของการรักษาก่อนหน้า จำนวนครั้งที่หยุดใช้ยา บุคลิกภาพส่วนตัว สาเหตุที่กระตุ้นอาการ ฯลฯ
ทั้งนี้ ความเสี่ยงของการใช้ยารักษาคือยาจำพวกนี้จะทำให้เกิดปัญหาด้านความทรงจำในระยะยาว (อาจถึงขั้นอัลไซเมอร์) และทำให้มีความไวต่อการเป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้น ซึ่งการหยุดยาเองอย่างกะทันหันก็ทำให้เกิดความเสี่ยงเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
ยาจิตเวชทุกตัวก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของสมองทางกายภาพ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการหยุดยาถึงนำไปสู่อาการขาดยา นั่นเพราะสมองเคยชินกับการใช้ยาจนอยู่ในภาวะยากลำบากในการปรับตัวเมื่อยาถูกกำจัดออกจากสมอง จึงต้องใช้เวลาให้การทำงานของตัวรับสารสื่อประสาทและสารเคมีกลับสู่สภาวะดั้งเดิมก่อนที่จะมีการนำยาเข้าไปในสมองใหม่
ความเสี่ยงบางอย่างอาจคุ้มค่าที่จะเสี่ยง… แต่ความเสี่ยงบางอย่างอาจไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงนั้นควรได้รับการไตร่ตรอง
เหมือนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ทุกคนขึ้นมาแตกต่างกัน ผลกระทบของยาที่มีต่อตัวบุคคลจึงอาจแตกต่างกันอย่างมาก บางคนใช้เวลาไม่กี่เดือนก็สามารถหยุดยาได้ บางคนต้องกินไปทั้งชีวิต บางคนหยุดยาเองแล้วก็ใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยตามปกติ บางคนหยุดยาเองแล้วเกิดอาการแย่ลง บางคนได้รับผลข้างเคียงรุนแรงทั้งที่บางคนไม่มีผลข้างเคียงอะไรเลยในปริมาณยาเท่าๆ กัน
…
ตามสถานการณ์ตอนนี้ ฉันพบว่ามันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะกับการเลิกใช้ยาจิตเวชกับตัวเอง สิ่งที่ดูจะเป็นไปได้โดยไม่อันตรายคือลดยาลงหรือใช้ในปริมาณเท่าเดิมแล้วค่อยๆ ลดไป
ฉันยอมรับแล้วว่าความทุกข์ทรมานที่เจอมาทั้งหมดคือเรื่องจริง และไม่ว่าจะเลือกใช้ยาหรือไม่ ฉันก็คิดว่าตัวเองจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งความช่วยเหลือที่กำลังรอคอยนั้นอาจไม่ได้มาในรูปแบบปาฏิหาริย์ที่อธิษฐานแล้วก็หายขาดเลยทันที แต่มันอาจมาในรูปแบบของการอวยพรในการรักษาก็ได้
มองอีกมุมคือ “ยา” อาจเป็นตัวช่วยที่พระเจ้าส่งมาให้ฉันจริงๆ
เซลล์กรุ๊ป [1] หรือ กลุ่มเซล คือ การรวมกลุ่มกันของคริสเตียนเพื่อทำกิจกรรมทางความเชื่อร่วมกันตามบ้าน มีลักษณะไม่เป็นทางการ บางแห่งเรียกว่า กลุ่มแคร์ กลุ่มสามัคคีธรรม กลุ่มตามบ้าน ฯลฯ
Related Posts
- Author:
- เด็กผู้หญฺิงธรรมดาที่พบว่าตัวเองป่วยเป็น โรคซึมเศร้า เมื่อคุณหมอบอกให้การบ้านเป็นการเขียนไดอารี่ จึงเกิดเรื่องราวใน Me AND ANOTHER ME ขึ้นมา เคยเชื่อว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่งดงาม จนได้มาเจอพระเจ้าผู้สมบูรณ์แบบ
- Illustrator:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
- Editor:
- Perapat T.
- Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)