งานไหนที่ใช่และอะไรคือน้ำพระทัยพระเจ้า

EP. 3/4

งานไหนที่ใช่และอะไรคือน้ำพระทัยพระเจ้า [Life Choice]


ผู้เขียน Kevin Brennfleck
ที่มา : www.crosswalk.com
บทความนี้ใช้เวลาอ่านประมาณ 8 นาที


 

คุณกำลังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกงานไหนดีรึเปล่า?
หรือเคยสงสัยไหมว่าทางไหนที่พระเจ้าต้องการให้คุณเลือกเดิน?

 

ถ้าใช่ คุณก็ไม่ใช่คนเดียวหรอกครับที่รู้สึกอย่างนั้น!

 

มีคริสเตียนจำนวนมากที่ตัดสินใจลำบากเกี่ยวกับเรื่องอาชีพการงานไม่ว่าจะเป็นวัยไหนก็ตาม อย่างเช่น น้องเมย์ซึ่งเป็นผู้เชื่อใหม่ กำลังเรียนอยู่ชั้นปี 2 คณะนิเทศ เธอมุ่งมั่นว่าจะทำตามที่พระเจ้าประสงค์ให้เธอทำ ที่จริงแล้วเธอกำลังคิดว่าน่าจะเรียนต่อปริญญาโทแล้วมาเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย แต่อีกใจหนึ่งเธอก็กังวลว่าเธอควรจะถวายตัวเป็นผู้รับใช้เต็มเวลาดีหรือเปล่า เพราะเธอกลัวว่าถ้าวันหนึ่งเธอต้องอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้าแล้วแทนที่จะได้รับคำชมว่าเธอเป็นผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อยอดเยี่ยม พระองค์จะบอกเธอว่า ผลงานของเธอในโลกนี้ก็แค่พอใช้ได้เท่านั้น คุณอาจรู้สึกกลัวแบบนี้อยู่รึเปล่าครับว่า คุณอาจจะพลาดจากน้ำพระทัยพระเจ้าในเรื่องงานและการใช้ชีวิตในโลกนี้ไป?

ในฐานะคริสเตียน เราต่างปรารถนาที่จะมีชีวิตที่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า อยากจะทำตามพระประสงค์ของพระองค์ในทุกด้านทั้งในการตัดสินใจเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ ในชีวิต อันที่จริงพระคำของพระเจ้าก็ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการตัดสินใจที่ถูกต้องในฐานะลูกของพระเจ้า อย่างเช่นบัญญัติ 10 ประการและคำเทศนาบนภูเขาของพระเยซู พระคัมภีร์ให้แนวทางไว้อยู่แล้วว่าควรจะใช้ชีวิตให้เป็นเกลือและแสงสว่างในโลกนี้ยังไงเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยชีวิตของเรา 

แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่พระคัมภีร์ไม่ได้เจาะจงให้ชัดเจน รวมทั้งเรื่องอาชีพการงานด้วย ไม่มีที่ไหนเลยในพระคัมภีร์ที่คุณจะเจอข้อความที่บอกว่าคุณควรจะเป็นนักบัญชีหรือวิศวกรเครื่องกล นักเคมีเครื่องสำอางค์ ดารา หรือ นักศิลปะบำบัด

 

แล้วเราจะเลือกยังไงดีล่ะ?

ทุกวันนี้การตัดสินใจในเรื่องงานดูจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากใจมากเพราะว่าเดี๋ยวนี้เรามีทางเลือกมากกว่าแต่ก่อนมาก เราเฝ้ารอที่จะเลือกสิ่งที่ดีและเหมาะที่สุดสำหรับเราและหวังให้เป็นทางเลือกที่พระเจ้าต้องการให้เราเลือกด้วย ถ้าอย่างนั้นเราจะตัดสินใจในเรื่องงานอย่างไรให้อยู่ในพระประสงค์ของพระเจ้าล่ะ? ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์ไม่ใช่คู่มือในการวางแผนและช่วยตัดสินใจเรื่องอาชีพ แต่พระคัมภีร์ก็สอนหลักการสำคัญที่จะช่วยให้เราตัดสินใจเรื่องงานได้อย่างฉลาด หลักการเหล่านี้สามารถชี้แนะแนวทางการวางแผนอาชีพของเราเองและสามารถให้เรานำไปให้คำปรึกษาแก่คนอื่นที่ต้องการคำแนะนำได้ด้วยนะครับ

 

การเลือกอาชีพ

 

หลักการที่ 1

สิ่งสำคัญอันดับแรกในชีวิต
คือจะต้องเพื่อการพัฒนาความสัมพันธ์กับองค์พระเยซูคริสต์ให้แนบแน่นยิ่งขึ้นเสมอ

 

เราอยู่ในสังคมที่กังวลเรื่องความสำเร็จและมาพร้อมกับคำถามสารพัดอย่าง เช่น จะทำอะไร ทำอย่างไร ทำได้ดีแค่ไหน ฯลฯ ไม่เว้นแม้แต่งานรับใช้ของศิษยาภิบาลที่อาจถูกวัดด้วยจำนวนสมาชิกในคริสตจักร หรือการออกสื่อ ออกเทศน์ตามอีเว้นท์ต่างๆ แต่พระเยซูทรงตรัสว่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ล้วนไม่มีความหมายถ้าหากคนนั้นไม่มีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้า 

“เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย ถ้าผู้ใดมิได้เข้าสนิทอยู่ในเรา ผู้นั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง แล้วก็เหี่ยวแห้งไป และถูกเก็บเอาไปเผาไฟ” 

ยอห์น 15:5-6

 

ความสัมพันธ์กับพระเจ้า vs งาน

จงจำไว้ว่าพระเยซูคริสต์ได้ทรงเรียกเราให้แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน (มัทธิว 6:33) ไม่ใช่ให้เราแสวงหาว่าเราจะทำอะไรเพื่ออาณาจักรของพระองค์ การหยั่งรากลึกในองค์พระเยซูคริสต์คือหลักการพื้นฐานที่มาก่อนสิ่งอื่นใดเพื่อการค้นหาน้ำพระทัยพระเจ้าในด้านอาชีพ คุณจะไม่มีทางพร้อมหรือไม่สามารถหาเส้นทางอาชีพที่พระองค์ทรงวางแผนไว้ให้คุณได้เลย ถ้าคุณไม่ได้แสวงหาพระองค์ก่อน พระองค์บอกให้คุณรักพระองค์ด้วยสิ้นสุดใจและสุดกำลังความคิดและรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ยิ่งคุณมุ่งมั่นทุ่มเททำตามการทรงเรียกนี้ได้มากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งมีชีวิตที่เร็วต่อการได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และพร้อมที่จะทำในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างคุณขึ้นมาให้ทำมากขึ้นเท่านั้น

แต่สิ่งหนึ่งที่คุณต้องระวังก็คือ งานของคุณจะเข้ามาแทรกแซงความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพระเจ้าหรือไม่? เช่น งานคุณต้องเข้าไปข้องแวะกับเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามจรรยาบรรณและจริยธรรมไหม? หรือมันทำให้คุณไม่มีเวลาให้กับครอบครัวและไม่มีเวลาส่วนตัวกับพระเจ้ารึเปล่า? คุณกลายเป็นคนเย่อหยิ่ง โลภ ชอบบงการคนอื่นเพราะงานไหม? สรุปรวมๆ ก็คือว่า งานของคุณกำลังทำให้คุณห่างจากพระเจ้ามากขึ้น แทนที่จะนำให้คุณเป็นเหมือนพระองค์หรือเปล่า? ถ้าใช่ คุณก็ทำถูกแล้วที่ถามตัวเองว่างานนี้น่ะ ใช่พระประสงค์ของพระองค์แล้วหรอ เพราะพระองค์ทรงตรัสไว้ว่า… 

 

“เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร”
(มัทธิว 16:26)

 

____________________________

 

หลักการที่ 2

พระเจ้าทรงสร้างเรามาพร้อมกับความถนัดและความสนใจในทักษะและความสามารถต่างๆ
ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าออกแบบมาในคุณ เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจที่จะเลือกอาชีพ

 

ณเดชน์เกิดมาในครอบครัวที่รับใช้พระเจ้าเต็มเวลา เขามีพี่สาวเป็นมิชชันนารี พี่ชายเป็นศาสนาจารย์ และพ่อแม่ที่เป็นครูสอนศาสนาอีก แม้ว่าณเดชน์จะเป็นคนที่มีของประทานและความสนใจในด้านศิลปะอย่างมาก แต่ณเดชน์ก็ยังรู้สึกว่าการทำงานสายศิลปะอาจจะไม่เหมาะสมในการรับใช้พระเจ้า เขาจึงไปเป็นโปรแกรมเมอร์ในองค์กรคริสเตียน ถึงแม้ว่าเขาจะมีความสุขกับงานบางส่วนที่ทำ แต่เขาก็ยังโหยหาที่จะได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์และความสามารถด้านศิลปะอยู่ดี แถมยังรู้สึกว่าส่วนหนึ่งในชีวิตของเขากำลังตายไปด้วย

 

คุณคือผลงานของพระเจ้า พระองค์ทรงสร้างตัวตนที่แท้จริงของคุณและถักทอคุณขึ้นมาตั้งแต่คุณอยู่ในครรภ์ ทรงสร้างคุณขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ (สดุดี 139:13-14) คุณเกิดมาพร้อมกับของประทานที่เกี่ยวข้องกับงานที่พระองค์ทรงเลือกไว้ให้คุณแล้ว (โรม 12:13-14) พระองค์จึงปรารถนาให้คุณใช้ของประทานนั้น การได้ทำงานในแบบที่พระเจ้าออกแบบคุณมานั้นจึงจะสร้างความพึงพอใจให้คุณ และจะนำมาซึ่งเกียรติยศแด่พระองค์ผู้ทรงสร้างคุณขึ้นมาด้วย ดังนั้นในการตัดสินใจเลือกงานที่ดีนั้น คุณจะต้องรู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ ไม่ว่าจะบุคลิก ทักษะ ความสามารถ ความสนใจ และสิ่งที่คุณให้ความสำคัญ เพราะถ้าคุณยังไม่รู้จักตัวเองดีพอ คุณก็ไม่มีทางรู้หรอก ว่าจะตัดสินใจเลือกงานที่เหมาะสมที่สุดให้กับตัวเองได้ยังไง

 

 

หลักการที่ 3

การเป็นคริสเตียนไม่ได้หมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องใช้สติปัญญาในการตัดสินใจ
เพราะฉะนั้นคุณจึงมีหน้าที่ที่จะต้องใช้สติปัญญาที่พระเจ้าประทานให้
และฝึกตัดสินใจในการเลือกงานที่ดี

 

สมมุติว่าคุณต้องการจะซื้อคอมพิวเตอร์สักเครื่อง คุณคงไม่ได้แค่ยืนอธิษฐานแล้วเดินเข้าไปที่ร้านคอมฯ เพื่อมองหาว่าเครื่องไหนที่คุณรู้สึกว่าพระเจ้า ‘ทรงนำ’ ให้คุณมาซื้อหรอกใช่ไหมครับ? ตรงกันข้าม คุณก็คงหาข้อมูลหลากหลายรุ่น เช็คคุณสมบัติกับราคาอย่างละเอียดก่อนจะตัดสินใจซื้อ แน่ล่ะ การอธิษฐานก็เป็นส่วนที่สำคัญ แต่พระเจ้าก็คาดหวังให้คุณทำส่วนของคุณในการตัดสินใจเองด้วย การรู้จักตัดสินใจเป็นพัฒนาการด้านสติปัญญาและความเป็นผู้ใหญ่ที่พระเจ้าประสงค์ให้เราเรียนรู้ด้วย ในพระธรรมสุภาษิตเต็มไปด้วยคำเตือนเกี่ยวกับความสำคัญของการใช้สติปัญญาเพื่อดำเนินชีวิตที่พระเจ้าพอพระทัย 

“เพื่อให้บรรลุปัญญาและมีวินัยเข้าใจถ้อยคำแห่งความรอบรู้ รับคำสั่งสอนในเรื่องการกระทำที่ฉลาด ในเรื่องความชอบธรรม ความยุติธรรมและความเที่ยงธรรม” (สุภาษิต 1:1-3) 

 

พระเจ้าไม่ได้ต้องการแค่ให้เราเติบโตฝ่ายวิญญาณเท่านั้น
แต่พระองค์ต้องการให้เรามีสติปัญญาและความรอบรู้เพื่อรู้จักตัดสินใจด้วย

เมื่อทางเลือกมีมากกว่าหนึ่ง…

สำหรับบางคน หลายครั้งการตัดสินใจเลือกงานก็เป็นเรื่องน่ากลัวเวลาที่มีทางเลือกมากกว่าหนึ่งตัวเลือก น่าเสียดายที่คริสเตียนจำนวนมากกลับไม่ได้ตัดสินใจเลือกอย่างดีที่สุด แต่กลับปล่อยให้สิ่งแวดล้อมหรือคนอื่นเป็นผู้ตัดสินใจเลือกแทน แล้วเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นมาจากการทรงนำของพระเจ้า เช่น…

 

ญาญ่ากำลังเบื่อหน่ายกับการเป็นพนักงานจัดเอกสารที่มีรายได้ต่ำเตี้ย เธอจึงทูลขอพระเจ้าให้มอบงานใหม่ให้เธอ จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเธอออกจากบริษัท เธอเห็นป้ายประกาศรับสมัครงานของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เธอตื่นเต้นและคิดว่าเธอน่าจะได้รายได้มากขึ้นจากการเป็นนายหน้าขายบ้าน ระหว่างกลับบ้านเธอก็เจอป้ายโฆษณาหลักสูตรอบรมนายหน้าอีก เธอเลยยิ่งทึกทักเอาเองว่าพระเจ้าต้องกำลังตอบคำอธิษฐานของเธออยู่แน่ๆ หลังจากนั้นเธอจึงได้เป็นนายหน้าขายบ้าน แต่กลับพบว่าตัวเองนั้นไม่ชอบงานขายเอาเสียเลย ไม่ช้าเธอก็ออกจากงานอีกพร้อมกับความรู้สึกว่าพระเจ้านำเธอมาหลงทาง

 

ถึงแม้ผมจะไม่ปฏิเสธว่าพระเจ้าสามารถนำเราผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ได้ แต่พระคัมภีร์ก็ไม่ได้สนับสนุนให้เรา ’หลีกเลี่ยง’ ที่จะตัดสินใจเรื่องยากๆ พร้อมไปกับการแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้า (เช่น เหตุการณ์ที่อ.เปาโลใช้การคิดด้วยเหตุและผลร่วมกับการอธิษฐานเพื่อตัดสินใจทิศทางในอนาคตของท่าน โรม 15:18-24 โดยเฉพาะข้อ 20 ที่เป็นตัวอย่างที่ชัดมาก)

ก็เหมือนการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์นั่นแหละ ที่คุณต้องตัดสินใจเลือกข้อมูลและคำแนะนำจากแหล่งต่างๆ การตัดสินใจเลือกงานก็มีแหล่งข้อมูลที่ช่วยคุณอยู่เหมือนกัน แน่นอนว่าพระเจ้าทรงนำคุณ แต่พระองค์ก็ต้องการให้คุณตัดสินใจด้วยสติปัญญาด้วย!

 

____________________________

 

 

หลักการที่ 4

การเลือกอาชีพตามพระประสงค์ของพระเจ้านั้นอาจจะต้องกล้าเสี่ยงบ้าง

 

คุณแม่ของการะเกดมักจะสอนให้เธอเลือกทางเดินชีวิตที่ปลอดภัยและไร้ความเสี่ยงอยู่เสมอ เพื่อเธอจะได้ไม่ต้องเจอความเจ็บปวดในชีวิต ความคิดนี้ส่งผลต่อชีวิตของการะเกดเป็นอย่างมาก เธอเป็นเด็กสาวที่ฉลาดหลักแหลม เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ แต่กลับเลือกทำงานเป็นเพียงพนักงานต้อนรับ การะเกดยืนยันกับผู้ให้คำปรึกษาเรื่องงานของเธอว่า เธอจะตัดสินใจเปลี่ยนงานก็ต่อเมื่อเธอรู้แน่ชัดว่าพระเจ้าต้องการให้เธอทำอะไรเท่านั้น

 

คำพูดของการะเกดแสดงให้เห็นว่า เธอคาดหวังให้พระเจ้าสำแดงให้เธอเห็นอย่างเจาะจงชัดเจนว่า พระองค์ต้องการให้เธอทำอะไรและอย่างไร สาเหตุเบื้องหลังก็เพราะเธอเชื่อว่าพระเจ้าจะช่วยให้การเปลี่ยนงานของเธอไม่มีความเสี่ยงและปราศจากความล้มเหลว สิ่งที่การะเกดหวังไว้และเชื่อ (โดยไม่รู้ตัว) ก็คือ เมื่อเธอเห็นอนาคตที่ชัดเจนแล้ว สิ่งที่เธอหวังไว้จะเป็นจริงขึ้นมาโดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับความกลัวใดๆ อย่างที่เธออาจเคยมีประสบการณ์มาในอดีต

ปัญหาสำหรับแนวคิดแบบนี้ก็คือพระเจ้าไม่ได้ทรงทำอย่างนั้น พระองค์ไม่ได้ต้องการให้เรามีชีวิตที่ไม่ต้องเสี่ยงอะไรเลย เพราะมันจะทำให้เราไม่ได้พัฒนา ‘กล้ามเนื้อทางความเชื่อ’ เลยน่ะสิ โดยทั่วไปพระเจ้ากระทำกิจโดยทรงประทานความจำเป็นพื้นฐานที่เราต้องมี ความชอบ และความสนใจที่จะพัฒนาต่อไปจนกลายเป็นความปราถนาที่จะทำบางอย่าง แล้วจึงทรงนำเราเดินไปในแต่ละก้าว พระเยซูคริสต์ทรงเรียกสาวกให้ติดตามพระองค์ โดยที่สาวกก็ไม่รู้หรอกว่าพระองค์ทรงเตรียมอะไรให้เขาไว้บ้าง เมื่อพระองค์ทรงเรียกเซาโล (เปาโล) พระองค์ก็ไม่ได้ทรงเปิดเผยให้เขาเห็นว่างานของเขาจะต้องเจอกับอะไรบ้าง

 

ฝึกออกกำลัง ‘กล้ามเนื้อทางความเชื่อ’ แล้วมันจะแข็งแรง

 

งานของเราในทุกวันนี้ก็เหมือนกัน การทรงเรียกหรือนิมิตนั้นอาจจะไม่ได้ชัดเจนนัก ไม่ได้มาพร้อมคำแนะนำโดยละเอียด และไม่ได้รับประกันว่าจะประสบความสำเร็จในการทำตามความฝันนั้น การทรงนำของพระเจ้านั้นมาแบบทีละขั้น ทีละตอน และบางครั้งเราก็อาจต้องใช้ความเชื่อเพื่อก้าวเดินในทางที่น่ากลัว ในคำอุปมาเรื่องตะลันต์ (มัทธิว 25:14-30) ประเด็นที่มักจะไม่ได้ถูกกล่าวถึงคือ คนรับใช้สองคนแรกนั้นไม่ได้รับคำสั่งว่าให้เอาตะลันต์ที่เขาได้รับนั้นไปใช้ทำอะไร แต่เขาคิดใคร่ครวญด้วยตัวเองและตัดสินใจว่าจะใช้ตะลันต์ในอย่างไรให้ดีที่สุด พวกเขาก็ต้องลองเสี่ยงดูใช่มั้ยล่ะครับ

การเรียนรู้ที่จะเสี่ยงคือส่วนสำคัญในการติดตามพระเจ้าและดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระองค์ ถ้าปราศจากความเสี่ยงชีวิตเราก็จะยิ่งเฉื่อยชาลงเรื่อยๆ และค่อยๆ ห่างจากพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเรา ในพระธรรมฮีบรู 11:1 บอกไว้ว่า “ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง” เรารู้ว่าในฐานะลูกของพระเจ้าเราได้รับชัยชนะในชีวิตนี้แล้ว พระองค์ทรงเรียกให้เราดำเนินชีวิตอย่างกล้าหาญ กล้าเสี่ยงเพื่อให้เราได้ใช้ของประทาน และเป็นเกลือและแสงสว่างออกไปสู่โลกที่เจ็บปวดนี้ ดังนั้นเราจึงไม่มีอะไรที่จะเสีย จริงไหมครับ!

 

ชูใจ

“ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้
ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักร
และในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุคนเป็นนิตย์ อาเมน” 

เอเฟซัส 3:20-21

 

 

 


Previous Next

  • Translator:
  • Rungwit K.
  • คุณพ่อตาขีดเดียวของลูกชายวัยซน แต่ถึงจะเป็นพ่อคนก็ยังห่วงใยเยาวชนอยู่นะจ๊ะ เลยมาอาสารับใช้ร่วมกับชูใจไง
  • Illustrator:
  • Emma C.
  • เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
  • Editor:
  • Jick
  • บก.ชูใจ ผู้ใฝ่ฝันจะชูใจน้องๆ จากความพลาดของตัวเอง