“ชาวนาคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่หว่าน บางเมล็ดก็ตกตามทางและนกมาจิกกินไปหมด
บางเมล็ดตกบนพื้นกรวดหิน มีเนื้อดินน้อยจึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อแดดเผาก็เหี่ยวไป
เพราะไม่มีราก บางเมล็ดตกกลางพงหนามโดนหนามงอกคลุม แต่ยังมีบางเมล็ดที่ตกบนดินดี
ซึ่งเกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่าน ใครมีหู จงฟังเถิด”
(มัทธิว 13:18-23)
ตั้งแต่เป็นคริสเตียนมา ได้อ่านข้อพระคัมภีร์นี้ผ่านตาไม่รู้ตั้งกี่รอบ
แต่กลับไม่มีครั้งไหนเข้าใจได้ชัดเจนเท่าครั้งนี้มาก่อน
…
เข้าใจได้ยังไงน่ะเหรอ? ก็เมื่อต้องมาลงมือปลูกผักกินเองน่ะสิคะ
_______________
เรื่องมันเริ่มต้นที่การลาออกจากงานแบบไร้แผน
สิ่งที่ฉันตั้งใจหลังจากนั้นไม่มีอะไรชัดเจนและไม่มีทิศทางเอาซะเลย อย่างเดียวที่คิดไว้ว่าต้องทำให้ได้คือปลูกผักกินเอง อาจฟังดูเป็นวิถีสโลว์ไลฟ์ในฝันของคนวัยเกษียณไปเสียหน่อย แต่ตัวฉันในวัย 30 ก็ให้ความสนใจกับมันมากจริงๆ
ความคิดอยากปลูกผักเกิดขึ้นจากการดูโทรทัศน์รายการหนึ่ง ที่นำเสนอเกี่ยวกับสารเคมีตกค้างในพืชผักตามท้องตลาด ดูไปเรื่อยๆ ก็เริ่มจิตตก ยิ่งพอหันมองออกไปนอกบ้านก็เกิดคำถามว่า
“ทำไมบ้านเรามีแต่ต้นไม้ที่กินไม่ได้นะ”
คำถามนั้นกลายมาเป็นที่มาของหนึ่งใน ‘ภารกิจ’ หลังลาออก ซึ่งไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าสิ่งนี้จะเปิดโลกใบใหม่ให้กับฉันในเวลาต่อมา
Mission Possible!! (ภารกิจที่เป็นไปได้)
การปลูกผักทำให้ฉันค้นพบความเพลิดเพลินในชีวิตอีกอย่างหนึ่ง (ถ้าไม่นับรังสียูวี ความร้อน เหงื่อไคล และการตกเป็นอาหารมื้อเย็นให้กับยุง) คือการได้เห็นพืชผักเจริญเติบโต ถึงแม้จะงามบ้างไม่งามบ้าง แต่ก็เป็นสิ่งที่สร้างความสุขเล็กๆ ในชีวิตให้ฉันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ฉันที่จบจากระบบการศึกษามานับสิบปี กลายเป็นนักเรียนในสวนหลังบ้านตัวเองอีกครั้ง ต้องหาข้อมูลการเพาะเมล็ดเหมือนเด็กชั้นประถม รื้อฟื้นความรู้จากวิชาสปช.ว่านี่คือเกสรตัวผู้ นี่คือเกสรตัวเมีย หัดทำน้ำหมักชีวภาพสารพัดสูตรเพื่อบำรุงดิน เรียนรู้จักแมลงศัตรูพืชในรูปแบบต่างๆ กระทั่งเริ่มตระหนักว่าตัวเองต้องเปลี่ยนนิสัยให้ตื่นเช้าขึ้นกว่าเดิม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นิสัยการนอนตื่นสายนับเป็นยี่ห้อติดตัวฉันมาเลยทีเดียว
สำหรับการปลูกผัก ปัจจัยสำคัญมีไม่กี่อย่าง คือ แดด ดิน และน้ำ คนทั่วๆ ไปมักจะคิดว่าการให้พืชผักเติบโตได้เราต้องให้น้ำถึง ปุ๋ยถึง เพราะนั่นจะทำให้ผักโต แต่พอมาลงมือปลูกผักเองจึงรู้ว่าสิ่งสำคัญของการรดน้ำและใส่ปุ๋ยนั้นที่จริงไม่ใช่เพื่อผัก แต่เพื่อให้ดินดีก่อน เพราะเมื่อดินดีแล้วผักจึงจะเติบโตงอกงาม
มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ฉันจำมาจาก อ.ยักษ์ กูรูของวงการเกษตรอินทรีย์ก็คือ “เลี้ยงดินเพื่อให้ดินเลี้ยงพืช” เพราะดินดีเกิดจากดินที่มีอินทรีย์วัตถุสูง อินทรีย์วัตถุเกิดจากการย่อยสลายของซากพืช ซากสัตว์ หรือจุลินทรีย์ที่อยู่ในดิน การย่อยสลายเกิดขึ้นเมื่อมีความชื้นสม่ำเสมอและอุณหภูมิในระดับพอดีให้พืชย่อยสลาย เกษตรกรที่เข้าใจจึงจะให้ความสำคัญกับการทำให้ดินดีมากกว่าทำให้พืชเติบโต เพราะเมื่อดินดีพืชจะมีภูมิคุ้มกันต่อโรค และศัตรูพืช นั่นหมายความว่าพืชจะเติบโตได้เอง
ดังนั้นการทำให้ดินดีคือหัวใจสำคัญของการปลูกพืช
_______________
ตัดภาพมาที่คำอุปมาในพระคัมภีร์ข้อนี้อีกครั้ง พระเยซูพูดถึงเมล็ดที่ตกลงไปในดินแบบต่างๆ ทั้งดินที่มีหิน ดินที่มีวัชพืช และดินดี ซึ่งแม้จะเป็นดินดีแต่ก็มีเปอร์เซ็นต์ของการเติบโตที่ไม่เท่ากันอีก
ดินในที่นี้ก็คือจิตวิญญาณของเราที่จะเป็นที่ปลูกให้เมล็ดแห่งพระวจนะของพระเจ้าหยั่งรากและเติบโต แต่เราจะเป็นดินดีในระดับไหนที่จะเข้าใจพระวจนะที่ตกกระทบลงไปในหู และฝังรากลงในใจบ้าง? เป็นดินที่มีอินทรีย์วัตถุมากพอให้พระวจนะของพระเจ้าตกลงมาหยั่งรากและเติบโตในเราได้ไหม? และมากน้อยแค่ไหน?
วันหนึ่งขณะเดินไปรดน้ำผัก ฉันสังเกตเห็นคำว่า “ร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง หรือสามสิบเท่าบ้าง” กับตาตัวเองว่าผักที่ปลูกอยู่ในแปลงเดียวกัน เริ่มปลูกในเวลาเดียวกัน รดน้ำ ใส่ปุ๋ยเท่าๆ กัน กลับเจริญเติบโตไม่เท่ากัน
สำหรับเกษตรกรมือใหม่อย่างฉันคงจะต้องศึกษาวิธีการเลี้ยงดินให้มากกว่านี้เพื่อให้พืชเติบโตได้ “100 เท่า” และ “เท่าๆ กัน” แต่ภาพนี้ได้ให้ความจริงฝ่ายวิญญาณกับฉันได้ชัดเจนทีเดียวว่าพระคำพระเจ้าที่ตกลงไปในจิตใจของคนก็เป็นเช่นเดียวกันนี่แหละ
“ใครมีหู จงฟังเถิด”
ถึงจะไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่านี่เป็นสูตรของการเป็นดินดีไหม แต่ฉันชอบประโยคนี้ของพระเยซูมากทีเดียว การตบท้ายคำอุปมาด้วยประโยคแบบนี้ช่างดูเจ็บแสบพิลึกสำหรับคนที่เข้าใจ ย้ำ! สำหรับคนที่เข้าใจเท่านั้น เพราะทุกคนที่มีหู และได้ยินก็ใช่ว่าจะเข้าใจอย่างล้ำลึกฝ่ายวิญญาณได้กันทุกคน
หาใช่สักแต่เข้าใจ แต่ความเข้าใจที่ถ่องแท้ต้องเกิดจากใจที่จดจำและอยากเชื่อฟัง อย่างในลูกา 8:15 ที่ขยายความของดินดีไว้ว่า
“และซึ่งตกที่ดินดีนั้น ได้แก่
คนเหล่านั้นที่ได้ยินพระวจนะด้วยใจซื่อสัตย์และดีแล้วก็จดจำไว้
จึงเกิดผลด้วยความเพียร”
สรุปสั้นๆ ก็คือการเป็นดินดีเพื่อให้พระคำของพระเจ้าเติบโตลงไปในจิตวิญญาณได้นั้น หูจะต้องเปิดออกเพื่อฟัง สมองจดจำ และจิตใจพร้อมที่จะทำตามอย่างอดทน
ถ้าเลือกได้ มนุษย์ส่วนใหญ่ก็มักจะอยากได้อะไรที่รวบรัด ง่าย เร็ว และเห็นผลมาก ใช่ค่ะ… ใครก็อยากจะเกิดผล 100 เท่าด้วยกันทั้งนั้นจริงไหมคะ?
จะมีใครรู้บ้างว่าที่จริงหัวใจมันไม่ได้อยู่ที่การเกิดผลหรือการเติบโตของพืชผัก แต่มันอยู่ที่ดิน จะมีใครบ้างที่บากบั่นเลี้ยงดินในใจของตัวเองให้พร้อมสำหรับเมล็ดแห่งพระวจนะที่จะตกลงมาเติบโต ซึ่งนั่นต่างหากเป็นหัวใจของการเติบโตฝ่ายวิญญาณ การเตรียมดินเป็นขั้นตอนที่เหน็ดเหนื่อยและใช้เวลา แต่สุดท้ายเมื่อได้ดินที่ดีมาเลี้ยงพืชแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ก็ย่อมดี และเหนื่อยน้อยกว่าการเตรียมดินไม่ดีแล้วพืชผักต้องมาเผชิญกับโรคหรือแมลงอีกค่ะ! คอนเฟิร์ม!
สิริวรรณ ภูษิตประภา / จิ๊ก
บก.ชูใจ
Related Posts
- Author:
- บก.ชูใจ ผู้ใฝ่ฝันจะชูใจน้องๆ จากความพลาดของตัวเอง
- Illustrator:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
- Editor:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน