บทความนี้ใช้เวลาอ่านประมาณ 5 นาที
อ่านตอนอื่นๆ ของซีรีส์นี้ได้ทาง : https://choojaiproject.org/category/articles/life-series/me-and-another-me/
***เรื่องราวในตอนนี้เกิดขึ้นก่อนที่ผู้เขียนจะรู้จักกับพระเจ้า
การบรรยายความคิดและความรู้สึกเป็นไปตามสถานการณ์ของผู้เขียนที่กำลังเผชิญขณะนั้น***
เรื่องจากต่างดาว
ฤดูร้อน, 2557
จำไว้นะ ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองให้ได้
เมื่อลมหายใจสุดท้ายไม่สามารถกำหนดได้ฉันก็ไม่คิดจะเอาตัวเองไปเสี่ยงอีกครั้ง เพราะแย่กว่าหมดลมคือการต้องใช้ชีวิตอย่างทรมานทางกาย ดังนั้นฉันจึงเปลี่ยนระบบคิดเสียใหม่ ฉันเริ่มกลับไปรับการรักษาต่อที่โรงพยาบาล แต่ไม่ขอรับคำปรึกษาหรือจิตบำบัด (อธิบายอย่างง่ายคือกลับไปรับยานั่นแหละ)
อีกไม่ถึงเดือนจะเข้าสู่ช่วงปิดเทอม ซึ่งปิดคราวนี้กินเวลากว่า 6 เดือนตามระบบอาเซียนที่เพิ่งมีการปรับเปลี่ยน ฉันที่กำลังลำบากใจกับค่าใช้จ่ายก็ต้องเริ่มคิดหางานเป็นหลักแหล่งเพื่อพยุงค่าห้องที่จำนวนตัวเลขค่อนข้างน่าหนักใจ แต่ระหว่างนั้นก็ได้รับคำชวนจากเพื่อนคนหนึ่งที่เสนอให้ลองเปลี่ยนบรรยากาศไปพักผ่อนที่เชียงใหม่
คิดคำนวนค่าครองชีพโดยคร่าวแล้วฉันก็ตกลงทันที
__________________________
พอเหยียบเชียงใหม่ก็พากันไปแวะร้านกาแฟก่อนจะเข้าที่พัก ได้ยินจากเพื่อนว่าร้านนี้อยู่ใกล้กับโบสถ์ที่เรากำลังจะไปนอน
ฉันเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อสั่งเครื่องดื่ม และขอสมัครงาน
…
สรุปคืองานนี้จะเริ่มในวันถัดไป
/
โบสถ์คริสเตียนแห่งนี้ผิดจากที่ฉันคิดไว้มาก ลักษณะภายนอกเหมือนบ้านธรรมดา แต่ก็ยังมีสองอย่างที่ทำให้รู้ว่าที่นี่คือโบสถ์ หนึ่งป้ายชื่อริมรั้วบ้าน สองแท่นธรรมาสน์ที่แปะไม้กางเขนสีดำ
และเพราะเพื่อนคนที่ชวนมาเป็นคริสเตียน และเป็นสมาชิกในโบสถ์ ฉันเลยมีผลพลอยได้ขออาศัยที่นี่ชั่วคราว ประกอบกับที่คริสเตียนโบสถ์นี้ใจดีให้อาศัยอยู่ก่อน ทั้งที่ตัวเพื่อนของฉันไม่ได้อยู่ด้วย (หนีกลับไปอยู่บ้านตั้งแต่เดือนแรก) จึงไม่ผิดนักหากจะเรียกได้ว่าฉันย้ายมาอยู่ตัวคนเดียว
__________________________
ด้วยความเกรงใจ หลังจากผ่านไปสองเดือนที่ขออาศัยโบสถ์ฉันจึงตัดสินใจย้ายออกไปหาห้องอยู่เอง ซึ่งพี่ๆ ที่โบสถ์ก็แนะนำบ้านพักใกล้ๆ ที่เพิ่งเปิดห้องข้างล่างให้เช่า
__________________________
ฉันปั่นจักรยานกลับห้องทันทีที่เลิกงาน กะดึกวันนี้สิ้นสุดเกือบตีหนึ่ง แต่ถนนหนทางที่สว่างด้วยไฟถนนทำให้การกลับดึกดื่นไม่น่ากลัวเท่าไรนัก
จอดจักรยานไว้หน้าระเบียงก่อนจะเดินเข้าห้องเช่าขนาดเล็กที่มีอุปกรณ์จำเป็นอยู่ไม่กี่อย่าง มุ่งตรงไปห้องน้ำเพื่อทำกิจวัตรอย่างสุดท้ายของวันด้วยความง่วง อาบน้ำจนเสร็จก็ล้างหน้าแปรงฟัน
ขณะนั้นเองที่ฉันรู้สึกคล้ายถูกจับจ้องจึงเลื่อนสายตามองขึ้นไปเหนือบานกระจกบนอ่างล้างหน้า ช่องระบายอากาศทรงสี่เหลี่ยมเล็กแคบที่กั้นมุ้งลวดปรากฏสายตาคู่หนึ่งจ้องกลับมา
ฉันผงะด้วยความตกใจ แต่กว่าจะตั้งสติได้ดวงตานั้นก็หายลับไปเสียแล้ว
…
วันถัดมาพี่ที่โบสถ์ก็ช่วยกันเอาแผ่นกระดาษมากั้นปิดช่องระบายอากาศนั้นไว้
__________________________
สองสามวันผ่านไป หลังอยู่ปิดร้านจนเสร็จฉันก็เข้าห้อง ล็อกประตู และเข้าไปอาบน้ำเหมือนเคย
ความรู้สึกเย็นวาบที่ท้ายทอยทำให้ฉันหันกลับไปมอง ช่องสี่เหลี่ยมที่ควรจะถูกปิดด้วยกระดาษนั้นมีสายตาคู่หนึ่งจ้องกลับมา ฉันรีบคว้าผ้าเช็ดตัวห่อคลุมร่างกายก่อนจะพบว่าสายตาคู่นั้นไม่เขยื้อนหายไปอย่างครั้งที่แล้ว
ยิ่งกลัวก็ยิ่งมอง ฉันเดินถอยหลังออกจากห้องน้ำโดยไม่ละจากสายตาคู่นั้น นั่งลงบนเตียงช้าๆ และกดโทรศัพท์ที่อยู่ข้างตัวเพื่อส่งข้อความไปยังพี่คริสเตียนคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ชั้นสองของโบสถ์
ข้อความขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนทำให้ผู้อ่านรับปากว่าจะมาถึงในอีกไม่เกิน 10 นาทีข้างหน้า ทว่าพิมพ์จนจบ ตาคู่นั้นก็ยังจ้องนิ่ง ฉันจึงกลั้นใจขยับตัวให้พ้นจากบานประตูห้องน้ำ อย่างน้อยก็เพื่อจะได้พ้นจากระยะสายตา
ผ่านไปสักพักก็มีเสียงเคาะประตูห้อง ในใจคิดว่าเป็นพี่ที่โบสถ์แน่ แต่ด้วยสัญชาติญาณหรืออะไรบางอย่างทำให้ชะงักมือที่กำลังจะปลอดล็อก เสียงหมุนลูกบิดอย่างร้อนรนจากคนข้างนอกทำให้ฉันเอะใจ ถ้าเป็นพี่ที่โบสถ์จริงคงร้องเรียกให้เปิดมากกว่าจะพยายามบิดเปิดเข้ามาด้วยตัวเองโดยไม่ส่งเสียง
เมื่อต่อสายโทรศัพท์จึงได้รู้ว่าคนหน้าห้องที่เริ่มเคาะประตูอย่างรุนแรงไม่ใช่คนเดียวกับพี่ที่ฉันกำลังขอความช่วยเหลือ
…
สักพักพี่ๆ ก็มาถึง เรื่องจบลงที่พี่คนหนึ่งจับตัวเจ้าของดวงตานั้นได้ คืนนั้นฉันกลับไปนอนที่โบสถ์ จนวันถัดมาถึงได้รู้ว่าเขาคนที่แอบเฝ้ามองนั้นมีอาการทางจิต แม้จะมีครอบครัวแล้วก็ยังห้ามตัวเองไม่ได้ และระยะนี้กำลังอยู่ในช่วงรักษาอาการที่โรงพยาบาลประสาทแห่งหนึ่ง
เขาขอโอกาสกลับใจ
และพี่คนที่จับได้ก็อยากจะมอบโอกาสนั้นกับเขา
ฉันตอบตกลงทั้งที่ไม่เข้าใจเท่าไรนัก แต่อย่างไรก็ตาม ฉันจะไม่ต้องข้องแวะกับห้องนั้นอีกต่อไป เพราะเมื่อสิ้นสุดการประชุม สมาชิกโบสถ์ส่วนใหญ่ก็ลงความเห็นและมีมติให้ฉันอาศัยอยู่ที่นี่โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือต้องเรียนพระคัมภีร์
__________________________
ไม่มีใครรู้ว่าฉันผ่านอะไรมาแค่ไหน ไม่มีใครรู้ว่าฉันสูญเสียอะไรรายทาง ความตั้งใจของการใช้ชีวิตตามใจตัวเองเพื่อค้นหาความสุขทำให้ฉันพาตัวเองลงไปอยู่ในจุดที่เรียกได้เต็มปากว่ามืดมิด
เมื่อความมืดตั้งเค้าอยู่ในใจก็ปล่อยให้มันกลืนกินไปเสีย
บ่อยครั้งที่ฉันหายไปทั้งคืนแล้วปีนรั้วโบสถ์เพื่อกลับเข้าห้องในตอนเช้า บ่อยครั้งที่ฉันแอบเอาซองบุหรี่ไปทิ้งในถุงขยะของบ้านข้างๆ บ่อยครั้งที่ฉันเอาสิ่งผิดกฎหมายต่างๆ มาซ่อนใต้ตู้เสื้อผ้าของโบสถ์
การเรียนพระคัมภีร์ไม่ลงลึกในใจ แม้กระทั่งถึงหัวข้อของความบาป
ถ้าพระเจ้ามีจริง พระเจ้าก็สร้างฉันโดยไม่ถามความสมัครใจ ถ้าพระเจ้ามีจริง พระเจ้าในตอนนี้ก็ช่วยฉันให้สบายใจได้ไม่มากเท่าบุหรี่หนึ่งมวนด้วยซ้ำ
ฉันเข้าใจว่าคริสเตียนพวกนี้เป็นคนดีเมื่อเทียบกับบรรทัดฐานเฉลี่ยจากคนทั่วไปในสังคม และให้ความเคารพพวกเขาที่มีวิถีปฏิบัติที่ชัดเจน แต่ก็ยังมีความคิดว่าทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นตามเหตุและผล พระเจ้าผู้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจทำให้พวกเขาเหล่านั้นยึดมั่นในการทำดี ผลที่เกิดขึ้นจึงเป็นพลังจากแนวคิดบวก
ครั้งแรกที่ได้อ่านปฐมกาล ความคิดต่างๆ ก็วาบผ่านเข้าในใจ เหมือนเรื่องจากต่างดาวอะไรเทือกนั้น มีทั้งอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากมายที่เหนือการอธิบายได้จริงตามหลักวิทยาศาสตร์ อย่างที่ฉันเคยจินตนาการไปว่าโลกนี้เป็นของจำลอง อย่างนั้นผู้บังคับควบคุมตัวละครทั้งหลายบนโลกก็คือพระเจ้าสินะ
แล้วทำไมพระเจ้าถึงกำหนดชีวิตฉันให้อยู่ในบทโศกนาฏกรรมล่ะ?
__________________________
การเกิดใหม่
ฤดูร้อน, 2558
ปิดเทอมฤดูร้อนผ่านไปหลายเดือนฉันก็กลับมาเรียนและใช้ชีวิตในที่ที่คุ้นเคย
ในเย็นวันธรรมดาที่ไม่มีเรียน ฉันเกิดความรู้สึกว่างเปล่าขึ้นมาในใจกะทันหัน… เหมือนกับวันนั้นที่เคยกำหนดลมหายใจสุดท้าย ความกลวงโบ๋ข้างในมันกลับเข้ามาโจมตีอีกครั้ง
กระทั่งเสียงหนึ่งปรากฏแทรกขึ้นในหัวว่า
“พระเจ้าเป็นหมอ พระเจ้ารักษาให้หายได้นะ”
เสียงของพี่คนหนึ่งที่สอนพระคัมภีร์ตอนอยู่เชียงใหม่ทำให้ฉันส่งข้อความไปโดยไม่ทันคิดว่าขอเรียนพระคัมภีร์ที่ค้างไว้ต่อให้จบ
จากนั้นทุกช่วงเย็น ฉันก็มีกิจวัตรใหม่เพิ่มเข้ามา นั่นคือการเรียนพระคัมภีร์ผ่าน Video Call แต่ครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนๆ ตรงที่ไม่ต้องมีเงื่อนไขข้อบังคับหรือความเกรงใจเข้ามาเกี่ยว ฉันเรียนด้วยความต้องการของตัวเองจริงๆ
ทั้งนี้ เป็นความต้องการที่ฉันไม่บริสุทธิ์ใจกับมันสักเท่าไรนัก นึกถึงผลประโยชน์เพียงว่า หากเราบังคับตัวเองให้เชื่อได้ บางทีสภาพจิตใจอาจได้รับการเยียวยาจากความเชื่อที่ตัวเองสร้างขึ้น
คำว่าบังเกิดใหม่อาจทำให้ใจคิดไปว่าตัวเองเป็นคนใหม่ได้จริงๆ
ไม่นานนักฉันก็รับเชื่อด้วยการบัพติศมาด้วยความมุ่งมั่นว่าจะหายขาดจากสิ่งที่เป็นอยู่ ในเมื่อปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลต่อสภาพจิตใจ ก็ต้องแก้ด้วยการยกระดับสภาพจิตใจขึ้น บางทีพระเจ้าที่คิดว่าน่าจะมีจริงอาจเป็นหนทางที่จะนำไปสู่ความสุขอย่างที่ตั้งใจไว้
ส่วนความเชื่อถึงการมีอยู่ของพระเจ้าและพระเยซูน่ะเหรอ?
ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนักในหลายส่วน
แต่มันก็ไม่แปลกที่จะมีผู้ควบคุมอยู่เบื้อหลังโลกจำลอง
ดังนั้นคงไม่ผิด หากฉันจะรับเชื่อในขณะที่พยายามบังคับใจให้เชื่อ
…
ก็คนเราจะเชื่อเองโดยไม่ตั้งใจได้ยังไงล่ะ?
เรื่องราวยังไม่จบ หลังจากเด็กต้นเรื่องได้พบกับคริสเตียนแล้วชีวิตของเธอจะเป็นยังไงต่อไป …
ติดตาม Me & another Me : Season 2 ได้เร็วๆ นี้
และอ่านตอนที่ผ่านมาที่ https://choojaiproject.org/category/articles/life-series/me-and-another-me/
Related Posts
- Author:
- เด็กผู้หญฺิงธรรมดาที่พบว่าตัวเองป่วยเป็น โรคซึมเศร้า เมื่อคุณหมอบอกให้การบ้านเป็นการเขียนไดอารี่ จึงเกิดเรื่องราวใน Me AND ANOTHER ME ขึ้นมา เคยเชื่อว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่งดงาม จนได้มาเจอพระเจ้าผู้สมบูรณ์แบบ
- Illustrator:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
- Editor:
- Perapat T.
- Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)