พื้นที่ที่แสงแดดส่องไม่ถึง (me & another me)

EP. 2/6

พื้นที่ที่แสงแดดส่องไม่ถึง (me & another me) – EP. 2/6


บทความนี้ใช้เวลาอ่านประมาณ 5 นาที
อ่านตอนอื่นๆ ของซีรีส์นี้ได้ทาง : https://choojaiproject.org/category/articles/life-series/me-and-another-me/


 

***เรื่องราวในตอนนี้เกิดขึ้นก่อนที่ผู้เขียนจะรู้จักกับพระเจ้า
การบรรยายความคิดและความรู้สึกเป็นไปตามสถานการณ์ของผู้เขียนที่กำลังเผชิญขณะนั้น***

 

 

พื้นที่ที่แดดส่องไม่ถึง

ฤดูหนาว, 2553

 

พอเปิดประตูเข้าห้องไปน้ำตาฉันก็ไหลออกมาไม่หยุด

 

ในความเงียบท่ามกลางห้องตรวจขนาดกะทัดรัดที่เต็มไปด้วยของเล่นเด็ก หมอยื่นทิชชู่มาให้แล้วถามเสียงแผ่วว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันละล่ำละลักตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือที่กลั้นใจบังคับให้ใกล้เคียงเสียงพูดปกติมากที่สุด ทว่ายิ่งพยายามก็ยิ่งแย่

 

ท้ายที่สุดความอัดอั้นทั้งหมดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็พรั่งพรูออกจากปาก บ้างเป็นคำ บ้างเป็นวลีที่ยังประกอบร่างไม่เสร็จ แต่หมอก็ปะติดปะต่อจนเข้าใจได้ด้วยตัวเองว่าฉันผ่านสถานการณ์แบบไหนมา

 

ความรู้สึกในตอนนั้นถูกเก็บไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในฉันอีกคนอย่างที่หมอเคยแนะนำ แม้จะไม่ได้ยื่นทั้งเล่มให้ด้วยความกลัวการถูกเปิดเปลือยในบางส่วน ฉันก็อ่านข้อความในส่วนหนึ่งในนั้นออกมา

 

“กับคนบางคน แค่มองหน้าก็สับสนทางความรู้สึก จะว่าเกลียดก็ไม่ใช่ โกรธก็ไม่เชิง รักไหม? ก็น่าจะมีสักส่วนหนึ่ง ที่แน่ๆ คือเห็นแล้วเกิดอาการเจ็บปวดบริเวณหน้าอกและลำคอ เหมือนกำลังจะหายใจไม่ออกแล้วตายไปเสียเดี๋ยวนั้นด้วยความรู้สึกกดทับ อยากจะหูหนวกจนไม่ได้ยินอะไรเลย อยากจะเลือนหายไปจนไม่อยู่ในสายตาคู่นั้น สายตาของคนน่าชังที่มองจ้องอย่างทะลุทะลวงไร้มารยาท…”

 

ส่วนหนึ่งของฉันกลายเป็นขยะอารมณ์ที่สิ่งเหล่านี้ได้ถูกบันทึกไว้ และเมื่อหมอถามถึงการตอบสนอง ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่าฉันในตอนนั้นทำได้เพียงก้มหน้าร้องไห้โดยไม่มีเสียงสะอื้นใดๆ เล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน

 

ฉันเกลียดตัวเองที่ทำได้เท่านั้น

 

__________________________

 

 

นัดพบครั้งถัดมาฉันต้องขอหยุดยาบางตัวเพราะมันทำให้ง่วงซึมไปทั้งวัน [1] เวลาอาหารกลางวันที่โรงเรียนกลายเป็นเวลานอน พอกลับบ้านก็นอนอีกจนเลยมื้อเย็นไป และไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาการง่วงตลอดเวลาหรือเปล่าที่ทำให้ฉันไม่อยากกินอะไรเลย ถึงขั้นได้กลิ่นอาหารแล้วกลับคลื่นไส้ด้วยซ้ำ

.

นี่อาจเป็นผลให้ชั่งน้ำหนักก่อนตรวจรอบนี้ลดเหลือแค่ 36 กก.

 

ถึงอย่างนั้นหมอก็ไม่ให้หยุด แต่ให้ลดยาบางตัวที่ว่าลงเหลือแค่ครึ่งเม็ดแทนพร้อมกับอธิบายถึงความจำเป็นที่ต้องกินอย่างต่อเนื่องและผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นแน่กับยาทุกตัว เพียงต่างกันที่รูปแบบและความมากน้อยที่จะกระทบต่อชีวิตประจำวันเท่านั้น ซึ่งในกรณีของฉันหากลดปริมาณแล้วยังไม่ดีขึ้นอาทิตย์หน้าจะได้ลองเปลี่ยนยาตัวใหม่และถ้ายังไม่ดีขึ้นอีกก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อจะหาตัวที่เข้ากับฉันที่สุด ทั้งนี้ต้องอาศัยความอดทนกับช่วงทดลองยาแต่ละชนิดไปสัก 2-3 สัปดาห์

 

จบเรื่องยาและอาการโดยทั่วไปแล้วหมอก็ชวนคุยเรื่องเก่าๆ เริ่มจากประเด็นของอารมณ์เมื่อนัดพบครั้งที่แล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวฉันเองถึงร้องไห้ออกมาไม่หยุดตั้งแต่ยังไม่เริ่มพูด แววตาเห็นใจจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามทำให้ทุกอย่างยากขึ้นไปอีก แต่ฉันก็พยายามอธิบายจนจบ ความเงียบระหว่างเราเกิดขึ้นพักหนึ่งก่อนที่หมอจะถามถึงความสมัครใจในการรับจิตบำบัดฐานะกรณีศึกษา

 

แม้จะไม่เข้าใจนักแต่ฉันก็ตอบตกลง

 

__________________________

 

 

จิตบำบัด[2] เริ่มบ่ายโมงตรงในส่วนภาควิชาจิตเวชศาสตร์ที่ไม่ใช่ห้องตรวจ ป้าพยาบาลคนเดิมที่คุ้นเคยพาฉันไปพบหมอหน้าห้องที่ถูกปิดด้วยบานประตูไม้เก่าๆ เหมือนห้องเรียนของโรงเรียนรัฐบาล

 

ฉันยืนเตรียมความพร้อมอยู่พักหนึ่งก่อนจะเปิดประตูห้องเข้าไป ซึ่งข้างในกลับเป็นภาพที่ฉันไม่เคยคิดมาก่อน

 

เหล่าชายหญิงสวมเสื้อกาวน์นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวจิ๋วแบบนักเรียนที่ถูกจัดวางอยู่ติดกันเป็นวงกลมรอบห้องเล็กแคบโดยมีเก้าอี้หนึ่งตัวอยู่ตรงกลาง เก้าอี้ตัวเดียวที่ยังว่างอยู่

 

 

จิตบำบัดในฐานะกรณีตัวอย่างคือการนั่งตอบคำถามของหมอไปทีละข้อ และหมอที่ถามก็เป็นหมอคนเดียวกับที่ฉันเจอทุกอาทิตย์นั่นแหละ บรรยากาศเหมือนกับมีแค่เราอยู่กันสองคน ส่วนหมอที่นั่งรอบห้องก็เงียบสนิทเหมือนเป็นเพียงของประดับตกแต่ง พวกเขาเพียงแต่มองเราคุยกันอย่างเงียบๆ มีจังหวะจดลงสมุดบ้างเป็นพักๆ

 

ฉันนั่งตอบไปเรื่อยๆ บ้างเป็นคำถามที่หมอเคยใช้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน บ้างเป็นคำถามใหม่ คล้ายกับเป็นการเล่าเรื่องในวัยเด็กของตัวเองตั้งแต่จำความได้ตามหัวข้อต่างๆ เริ่มตั้งแต่ประวัติครอบครัวโดยคร่าว ผู้ที่มีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิต เหตุการณ์ที่ทำให้กลัว เครียด และวิตกกังวล อารมณ์นามธรรมต่างๆ จนไปถึงสาเหตุที่ทำให้ตัดสินใจมาพบแพทย์

 

ช่วงหลังหมอจะถามถึงวิธีระบายออกเวลามีปัญหา ซึ่งฉันก็ตอบไปว่าตัวเองผ่อนคลายได้ด้วยการอ่านหนังสือ เพราะรู้สึกมาตลอดว่าการย้ายตัวเองไปอยู่ในพื้นที่บนกระดาษนั้นทำให้ลืมเรื่องรอบตัวไปได้บ้าง

 

แต่หมอกลับบอกว่าฉันไม่รู้จักวิธีพักผ่อนที่แท้จริง ก่อนสิ้นสุดการบำบัดจึงเป็นการแนะนำวิธีพักผ่อนด้วยกิจกรรมผ่อนคลายและการปรับเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อการใช้ชีวิต

 

การบำบัดเหมือนจะสำเร็จไปด้วยดี ดูเหมือนฉันจะจัดการความรู้สึกในอดีตที่กำลังส่งผลกับปัจจุบันทั้งหลายนั้นได้ด้วยความคิดความเข้าใจ

 

แต่ว่านะ มันยังมีบางความรู้สึกติดค้างอยู่ที่ไม่รู้ว่าคืออะไร เป็นนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ อธิบายไม่ถูก

 

 

ตอนนี้ ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คงเหมือนหลุมดำมืดที่มีแสงสาดลงมาจากข้างบน และไม่ว่าแสงนั้นจะสว่างสักแค่ไหนก็ตาม ด้วยความลึกของหลุมจะทำให้เกิดพื้นที่ส่วนหนึ่งแยกตัวอยู่ด้านล่าง

 

พื้นที่ส่วนนั้นคือพื้นที่ที่แสงแดดส่องไม่ถึง

 


เชิงอรรถ :

[1] การรักษาด้วยยา  อาจมีผลข้างเคยของยาในแต่ละตัวเช่น ทำให้เกิดอาการง่วงซึม ผลต่อการรับประทานอาหารทั้งกินมากขึ้นหรือกินน้อยลง เนื่องจากยาจะเข้าไปทำงานเกี่ยวกับสารเคมีในสมอง การรักษาด้วยยาอยู่ในดุลยพินิจของจิตแพทย์ซึ่งมีใบรับรองเท่านั้น

[2] จิตบำบัด เป็นกระบวนการรักษาทางจิต ด้วยวิธีการพูดคุยกับผู้ป่วย เพื่อหาสาเหตุของปัญหาการเจ็บป่วยทางจิตและร่วมกันในการแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหา ความทุกข์ หรือความคับข้องใจของผู้ป่วย โดยผู้บำบัดวิเคราะห์สภาพปัญหา ได้แก่ นักให้คำปรึกษา และจิตแพทย์

 

 


Previous Next

  • Author:
  • เด็กผู้หญฺิงธรรมดาที่พบว่าตัวเองป่วยเป็น โรคซึมเศร้า เมื่อคุณหมอบอกให้การบ้านเป็นการเขียนไดอารี่ จึงเกิดเรื่องราวใน Me AND ANOTHER ME ขึ้นมา เคยเชื่อว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่งดงาม จนได้มาเจอพระเจ้าผู้สมบูรณ์แบบ
  • Illustrator:
  • Emma C.
  • เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
  • Editor:
  • Perapat T.
  • Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)