ดาวินชีซ่อนอะไรไว้ในภาพอาหารมื้อสุดท้าย

EP. 56

ดาวินชีซ่อนอะไรไว้ในภาพอาหารมื้อสุดท้าย?


บทความนี้ใช้เวลาอ่านประมาณ 9 นาที


 

 The Last Supper (ค.ส. 1498) โดย Leonardo da Vinci

 

The Last Supper หรือ “อาหารมื้อสุดท้าย” เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังชิ้นสำคัญ ที่เลโอนาร์โด ดา วินชี ศิลปินเอกแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการตอนสูง (High Renaissance) วาดให้แก่ดยุกลูโดวีโก สฟอร์ซา ซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์ของเขา ภาพนี้วาดขึ้นตามเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ถ่ายทอดเหตุการณ์ช่วงระหว่างอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซูกับเหล่าสาวกในห้องชั้นบน ก่อนที่จะทรงถูกจับไปตรึงกางเขน(ยอห์นบทที่13) ใช้เวลาวาดภาพอาหารมื้อสุดท้ายนี้ถึง 4  ปี ภาพวาดนี้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้เนื่องจากถูกวาดบนผนังห้องอาหารในคฤหาสน์ของท่านดยุก นับเป็นภาพวาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของ เลโอนาร์โด ดา วินชี ที่ยังคงสภาพให้มองเห็นได้ในปัจจุบัน และเป็นหนึ่งในผลงานจิตรกรรมสำคัญที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก

 

ตามมาขุดคุ้ยกันให้รู้ ในภาพนี้มีอะไรซ่อนอยู่… 

 

 

7 สิ่งที่ซ่อนอยู่ในภาพ The Last Supper

 

 

  1. ซ่อนความหมายว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าผ่าน Perspective


“พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต
ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” (ยอห์น 14:6)

 

 

ดา วินชี นำเทคนิคการจัดวางภาพบนทัศนมิติ (Perspective) เข้ามาใช้ในภาพอาหารมื้อสุดท้ายของเขา โดยวางวัตถุต่างๆ บนเส้นนำสายตา (Leading Lines) เส้นนำสายตาทุกเส้นจะพุ่งเข้าสู่จุดๆ เดียวกันคือ  ศีรษะของพระเยซู ซึ่งอยู่กึ่งกลางของภาพซึ่งสะท้อนว่าพระองค์ทรงเป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่ง (เป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต) เพื่อให้พระเยซูดูเด่นเขาจึงลดทอนองค์ประกอบของห้องชั้นบนในภาพให้สะอาดที่สุดหลงเหลือไว้เพียงองค์ประกอบที่สอดรับกับเส้นนำสายตาเท่านั้น  นอกจากนั้นยังออกแบบในมุมมองในภาพให้เข้ากับมุมของจริงห้องอาหารที่มันถูกวาดขึ้น  ทำให้ห้องดูกว้างและมีมิติเหมือนนั่งกินข้าวโต๊ะข้างๆ พระเยซูกับสาวก

 

 ภาพถูกถูกวาดบนกำแพงเต็มแน่นทั้งผนัง โดยวาง Perspective ให้ดูเหมือน
ห้องมีความลึกเข้าไปในภาพจุดศูนย์กลางคือพระเยซูคริสต์

 

 

  1. ซ่อนความหมายเรื่องตรีเอกภาพของพระเจ้า

นอกจากนั้นเขายังจัดกลุ่มสาวกทั้ง 12 ออกเป็นกลุ่มๆ โดยการจัดวางแบบสามเหลี่ยม และวาดหน้าต่างสามบานไว้ด้านหลังซึ่งเป็นแหล่งของแสงที่ส่องเข้ามาในห้อง(แสงหมายความถึงสวรรค์และความศักดิ์สิทธิ์) ส่วนพระเยซูนั้นทรงนั่งอยู่ในลักษณะสามเหลี่ยมแต่มีความสมบูรณ์ในตัวเองไม่ต้องประกอบกับใคร นี่คือการเลงความหมายถึงตรีเอกภาพของพระเจ้า พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งการจัดองค์ประกอบแบบสามเหลี่ยมนี้ เป็นหนึ่งเทคนิควิธีที่มักพบในงานจิตรกรรมทางศาสนาในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ

 

 

Madonna del Prato (Raphael) : การจัดองค์ประกอบสามเหลี่ยมในงาน
วาดพระแม่มารี พระบุตร และยอห์นบัพติสมา ในงานของ ราฟาเอล

 

 

  1. ซ่อนออร่าบนหัวของบรรดาผู้มีบุญ

 

“ท้องฟ้าประกาศพระสิริของพระเจ้า
และพื้นฟ้าสำแดงผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์”
(สดุดี 19:1)

 

ในงานจิตรกรรมทางศาสนาสิ่งที่เรามักจะเห็นกันบ่อยๆ คือ ออร่ารัศมี (Halo) ของบรรดาธรรมมิกชน (Saint) ทั้งหลาย ซึ่งก็มีทั้งวางเข้มๆ หรือ วงเล็กๆ บางๆ  แต่สำหรับ ดา วินชี เขาได้ตัดวงรัศมีธรรมนั้นออกไป และใช่แสงที่บานหน้าต่างเป็นสัญลักษณ์แสงความศักดิ์สิทธิ์แทน ซึ่งนั่นเป็นสไตล์เฉพาะตัวของเขา ลักษณะเฉพาะตัวนี้รวมถึงการที่ใช้วิวภูเขาตัดกับท้องฟ้าอย่างชัดเจน  ดา วินชีเองก็ชื่นชอบและใช้ลักษณะดังกล่าวในงานมากมาย เช่น  ภาพโมนาลิซ่าอันเลื่องชื่อ  ภาพ Madonna Litta รวมทั้ง The Last Supper ด้วย

 

ภาพ Madonna Litta ปี ค.. 1490 โดย ดา วินชี
พระเยซูและพระแม่มารีปราศจากวงแหวน Halo

แต่ใช้หน้าต่างสองบานเป็นสัญลักษณ์แทนผู้มีบารมีสองคน

 

 

 

  1. ซ่อนรายละเอียดไว้มากมาย ถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างละเอียดละออ

 

 “…เราบอกความจริงกับท่านว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา” – (ยอห์น 13:21)

 

ภาพอาหารมื้อสุดท้ายนั้นมีศิลปินวาดออกมามากมายหลากหลายเวอร์ชั่น แต่ดา วินชี ตั้งใจจะวาดภาพที่แสดงวินาทีสำคัญในพระคัมภีร์ คือตอนที่พระเยซูพูดว่า “คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา”ณ วินาทีดังกล่าวจะแสดงให้เห็นถึงอากัปกิริยาตอบสนองของสาวกทั้ง 12 คน ซึ่งมีทั้ง ความตกใจ ความโกรธและความกลัว ความสับสน และความสงสัย

 

“พวกสาวกจึงมองหน้ากันและสงสัยว่าคนที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือใคร” (ยอห์น 13:22)
กลุ่มแรกนั้นตกใจอยู่ส่วนอีกกลุ่ม ก็พากันสงสัยว่าคนที่พระเยซูหมายถึงนั้นเป็นใคร

 

“สาวกที่พระเยซูทรงรัก (ยอห์น) เอนกายอยู่ใกล้พระองค์ ซีโมนเปโตรจึงพยักหน้าให้เขาทูลถามพระองค์ว่า
คนที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือใคร” (ยอห์น 13:23-24)
ส่วนยูดาสนั้นผงะไปด้านหลังด้วยความตกใจ เพราะเขารู้แก่ใจว่าที่พระเยซูหมายถึงนั้นคือเขาเอง

 

 

ฟิลิปทำท่าถามว่าผู้ที่จะทรยศนั้นใช่เขาหรือไม่ จาก มัทธิว 26:22
“พวกสาวกก็พากันเป็นทุกข์ ต่างคนต่างเริ่มทูลถามพระองค์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า คือข้าพระองค์หรือ?’ ”

 

 

  1. ซ่อนเรื่องราวในฉากต่อไปเอาไว้ในภาพ

 

อาหารเย็นครั้งสุดท้ายโดย Cesare da Sesto (ลูกศิษย์ของ Leonardo da Vinci)

 

  • ยูดาส อิสคาริโอท คือสาวกผู้ที่จะทรยศพระเยซู เขากำลังถือถุงใส่เงินอยู่ เพราะเขาได้ขายพระเยซู โดยรับเงินจากพวกฟาริสีและเตรียมส่งมอบพระองค์ให้กับศัตรูของพระองค์ในเวลาถัดไป
  • ส่วนเปโตรเป็นผู้เดียวที่ถือมีดเอาไว้ในมือ เพราะอีกไม่นานเขาจะตัดหูของทหารโรมันที่จะเข้ามาจับกุมพระเยซู
  • ในขณะที่ โธมัสผู้ที่ขึ้นชื่อเรื่องขี้สงสัย ชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า เลงถึงเหคุการณ์ในพระคัมภีร์เรื่องพระเยซูกำลังจะเสด็จสู่สวรรค์ และเหตุการณ์ที่เขาจะเอานิ้วชี้แยงสีข้างของพระเยซูเพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ หลังจากที่พระองค์ฟื้นจากความตายและได้ปรากฏแก่เหล่าสาวก

 

  1. ความผิดพลาดที่ซ่อนอยู่

แม้ดูจะเป็นผลจากชั้นครูที่ทำการบ้านมาอย่างดีและมีสไตล์ แต่ก็มีนักวิชาการด้านศิลปะเลงเห็นถึงความบกพร่องมากมายของผลงานชิ้นเอกนี้

 

  • ช่วงเวลาที่ผิดพลาด?

ในการเตรียมมื้อมื้อปัสกาของเปโตรและยอห์นเวลานั้นควรเป็นเวลาเย็น และหลังจากที่พระเยซูล้างเท้าสาวกนั่นก็ควรค่ำแล้ว และพระคัมภีร์ก็บันทึกไว้เองว่า “เวลานั้นเป็นเวลากลางคืน” แต่ไหงฉากหลังเป็นท้องฟ้าสว่างสไวกัน คำตอบที่พอหักล้างกันได้ของประเด็นนี้ก็คือ การใช้แสงแสดงความศักดิ์สิทธิ์ที่เราได้อธิบายไว้ตอนต้นแล้วนั่นเอง

 

  • โต๊ะกับอาหารทำไมสไตล์ยุโรป?

ในสมัยพระเยซูคริสต์นั้น อิราเอลตกอยู่ภายใต้การแกครองของอาณาจักรโรมัน นอกจากมีผู้ว่าการเมืองอย่างปิลาตและทหารโรมันแล้ว เป็นไปได้ที่ห้องชั้นบนจะถูกจัดโต๊ะในแบบ เกรกโก-โรมัน ที่เรียกว่า Triclinium ซึ่งเป็นจัดโต๊ะแบบสามด้าน และนั่งกึ่งนอนกิน (เอนกาย) ซึ่งก็พบในหลายเวอร์ชั่นของ The Last Supper ทั้งนี้อาจเป็นความจงใจของ ดา วินชี หรือ เป็นอิทธิพลของยุคสมัยร่วมด้วย

 

การนั่งแบบ เกรกโก-โรมัน ที่เป็นโต๊ะสามด้าน

 

 

พระกระยาหารมื้อสุดท้าย ในแบบไทยๆ ที่ โบสถ์  St Nikolaus Church จังหวัดพัทยา ประเทศไทย
ถ้วยน้ำองุ่นกระเบื้องเซรามิคลายครามอย่างไทยนิยม พร้อมผลไม้บนโต๊ะหลากชนิด ยูดาส ในชุดสีดำ พระเยซูมีรัศมีที่ศีรษะ

 

อาหารมื้อสุดท้าย ที่โบสถ์ Taiwans Holy Trinity Church  ไต้หวัน พระเยซูและสาวก 11 คนมีรัศมีที่หัว
ยกเว้นยูดาส อาหารสไตล์จีนน้ำองุ่นใส่ในจอกเหล้า ภาพถ่ายโดย โดย T.CSH

 

 

  1. การทดลองที่ซ่อนอยู่

 

ดา วินชี นั้นเป็นศิลปินเจ้าไอเดีย เขาชอบทำอะไรแหวกแนว นอกขนบอยู่เสมอในขณะที่ศิลปินยุคเดียวกัน อย่างเช่น ไมเคิลแองเจลโล วาดจิตรกรรมด้วย การวาดลงบนปูนเปียก (Fasco painting) ซึ่งเป็นการวาดภาพลงบนผนังปูนขณะที่ปูนยังไม่แห้งทำให้สีซึมลึกในเนื้อปูนและคงทน แต่การวาดแบบนั้นจะทำให้เวลาทำงานแข่งกับเวลา ดา วินชีพัฒนาเทคโนโลยีการวาดของตัวเองขึ้นมา แบบการวาดลงบนผนังแห้งๆ และใช้ส่วนผสมพิเศษที่เขาคิดค้นขึ้นเพื่อป้องกันความชื้นซึ่งเป็นศัตรูของภาพวาดฝาผนัง ซึ่งมีส่วนผสมของน้ำมันกับไข่นำมาทาเคลือบภาพวาดเอาไว้ (egg tempera and oil on plaster)

แต่ปรากฏว่าสูตรที่เขาคิดนั้นผิดพลาดส่งผลให้ ภาพ   The last Supper เกิดความเสียหายจากความชื้นและภูมิอากาศสึกกร่อนไวมากเมื่อเทียบกับงานในยุคเดียวกันอย่าง ภาพวาดที่วิหารซิสทีนของไมเคิลแองเจลโล่ อย่างมาก อีกทั้งภาพ The last supper ยังเคยได้รับความเสียหายจากระเบิดในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย

ภาพวาดนั้นสะท้อนความคิดและความเชื่อของศิลปินในผลงานได้อย่างดี และสิ่งที่เราสร้างหรือทำนั้นก็สะท้อนสิ่งที่อยู่ภายในของเรา “ไม่ว่าพวกท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนทำต่อมนุษย์” – (โคโลสี 3:23)

#ด้วยรักและอาหารมื้อต่อๆ ไป

 


ข้อมูลเพิ่มเติม :


Previous Next

  • Author:
  • Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)
  • Illustrator:
  • Chevy Ezra
  • เด็กหนุ่มผู้รักการขีดๆ เขียนๆ เรียนๆ เล่นๆ เป็นชีวิต จิตใจ เป็นเด็กใต้ ที่พระเจ้านำมาอยู่เหนือ แต่พูดกลาง งงเล้ยยย พี่ชูใจเห็นใสๆ ใจดี แบบนี้เลยชวนมาวาดภาพประกอบให้ชูใจ