“เมื่อเราปวดร้าว จงเดินเข้าป่า
อย่างน้อยก็ไม่ต้องพบเจอ
คนใจร้ายอย่างเธอ
คนที่ไม่มีน้ำใจ” – (เพลง วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า)
(ภาพจากมิวสิควีดีโอ เพลง วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า – ศิลปิน Max Jenmana)
คน สัตว์ …ไม่ใช่สิ่งของ
ในขณะที่เพลง “วันนึงฉันเดินเข้าป่า” ของ แม็กซ์ เจนมานะ กำลังเป็นกระแสฮิตติดหูจนคนช้ำทั้งหลายวางแผนเที่ยวป่ารักษาอาการใจร้าวกันอย่างถ้วนหน้าอยู่นั้น ก็มีเหตุการณ์ซ้อนซ่อนปมขึ้นมา เรื่องนี้เกี่ยวกับคนบางกลุ่มที่เดินเข้าป่าเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะถูกรักทำร้ายแต่กลับเข้าไปเพื่อทำร้ายสัตว์ป่าหายากจนคนไทยทั้งประเทศต้องปวดร้าวไปตามๆ กันเลยทีเดียว
จากข่าวคราวของคนใจร้ายที่เดินเข้าป่า… แถมพกปืนไรเฟิลไปด้วย ที่กำลังเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมและโลกออนไลน์อย่างหนาหูนั้น ทำให้ใครต่อหลายคนเริ่มกลับมาตั้งคำถามว่า สัตว์ควรถูกปฏิบัติแบบไหน และสัตว์สงวนควรได้รับการคุ้มครองอย่างยุติธรรมไหม เมื่อคู่กรณีของมันคือมนุษย์ที่มีอำนาจและสติปัญญามากกว่า
(ภาพจากเพจ สำนักข่าวโพสทูเดย์)
เนื้อข่าวโดยคร่าวๆ ก็คือเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ได้ตรวจพบและเข้าจับกุมกลุ่มนักท่องเที่ยว (ติดอาวุธ) และพบซากสัตว์สงวนใกล้สูญพันธุ์ เช่นไก่ฟ้า เก้ง เสือดำ ที่คาดว่าถูกล่าเพื่อการกีฬา โดยผู้ที่ถูกจับกุมเป็นคนรวยมีอำนาจ หลายคนก็เลยกลัวว่าเขาจะลอยนวลไปได้นั่นเอ๊งงงง
ท่ามกลางกระแสการเรียกร้องสิทธิสัตว์จาก NGO ที่เข้มข้น และแคมเปญ Friend Not Food (เหล่าเพื่อนพ้องสัตว์ไม่ใช่อาหาร) ของชาววีแกน ที่กำลังบูมจนคนหันมางดเว้นเนื้อสัตว์ ไปทั่วโลกนั้น วันนี้ชูใจพามาสำรวจว่าพระคัมภีร์มีจุดยืนยังไงเรื่องสัตว์บ้าง?
แล้วสำหรับคริสเตียน เราควรมีท่าทีหรือความคิดแบบไหนในเรื่องของสัตว์?
- น้ำพระทัยของพระเจ้าคือ “ ให้เรามีน้ำใจต่อสัตว์”
ในปฐมกาลนั้น ไม่ใช่เพียงแต่มนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาและทรงรักและหวงแหนเท่านั้น สัตว์น้ำและนก หรือแม้กระทั่งสัตว์บก “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี” (ปฐมกาล 1:21,25)
แม้ในตอนที่มนุษย์ทำบาปจนพระเจ้าต้องล้างโลกด้วยน้ำ พระเจ้าก็ยังทรงห่วงใยพวกมัน และให้พวกมันได้ขึ้นเรือของโนอาห์ไปด้วย “แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโนอาห์ว่า ‘จงเข้าไปในเรือพร้อมกับครอบครัวของเจ้า เพราะเราเห็นว่าเจ้าเป็นคนชอบธรรมคนเดียวในบรรดาคนชั่วอายุนี้ จงนำสัตว์เหล่านี้ไปกับเจ้าด้วย … เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ของสัตว์ทุกชนิดบนโลก” – ปฐมกาล 7:1-3 (ฉบับ TNCV)
หรือแม้ในหนังสือโยนาห์ในตอนที่มนุษย์ทำบาป (อีกแล้ว) และใจจริงโยนาห์อยากจะให้พระเจ้าทรงเปิด ‘อัลติ’ ใส่ชาวนีนะเวห์ให้ตายเรียบคาบ้านให้หมด แต่พระเจ้าผู้ทรงอุดมด้วยความรัก บอกกับโยนาห์ว่า “ไม่สมควรหรือที่เราจะห่วงใยนีนะเวห์นครใหญ่นั้น ซึ่งมีพลเมืองมากกว่า 120,000 คน ผู้ไม่ทราบว่าข้างไหนมือขวาข้างไหนมือซ้าย และมีสัตว์เลี้ยงจำนวนมากด้วย” (โยนาห์ 4:11)
แม้ว่าสัตว์เหล่านั้นจะไม่ได้ถูกสร้างตามพระฉายาของพระเจ้าอย่างเช่นที่มนุษย์ถูกสร้างมา แต่พระองค์ก็ทรงดูแลพวกมันด้วยความเอาใจใส่ทุกชีวิตอยู่ในสายตาของพระองค์ (มัทธิว 10:29) และทรงให้มนุษย์เป็นคนครอบครองดูแลพวกมันแทนพระเจ้า ถ้าหากมนุษย์ดูแลสิ่งที่พระเจ้ามอบให้อย่างดี และมีชีวิตที่สัตย์ซื่อการอวยพรก็จะมาถึงฝูงสัตว์ของเขาด้วย มนุษย์ซึ่งมีพระฉายาของพระองค์หนึ่งในคุณสมบัตินั้นก็คือ ความรักความเมตตา และในสุภาษิตก็ได้เขียนเอาไว้ว่า ความเมตตาต่อสัตว์นั้นเป็นคุณสมบัติหนึ่งของคนชอบธรรม (สุภาษิต 12:10)
(เหล่าคนบันเทิงรวมลังโพสต์ต่อต้านการล่าสัตว์ป่า ภาพจาก โพสต์ทูเดย์)
2 . พระคัมภีร์พูดถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์และสัตว์ยังไง?
- สัตว์ต้องได้รับการหยุดพักไม่ใช้งานอย่างทารุณ
ในพระคัมภีร์เดิมพระเจ้าได้กำหนดวันสะบาโต เพื่อให้มนุษย์ได้หยุดพักและระลึกถึงพระเจ้า เช่นเดียวกันกับสัตว์เลี้ยง และสัตว์ใช้งานที่ต้องได้รับการหยุดพักจากการทำงานตรากตรำด้วย หลายครั้งเราก็ลืมไปสนิทว่าพระคัมภีร์พูดถึง ช้างม้าวัวควาย ว่าต้องการการหยุดพักเหมือนกัน
“แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นห้ามทำงานใดๆ ไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชายบุตรสาวของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือโคของเจ้า หรือลาของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า … เพื่อทาสทาสีของเจ้าจะได้หยุดพักอย่างเจ้า” (เฉลยธรรมบัญญัติ 5:14)
- สัตว์ต้องได้รับการคุ้มครองให้ปลอดภัย
ในเฉลยธรรมบัญญัติเช่นเดียวกันก็ได้พูดถึงภาระหน้าที่ในการดูแล สัตว์เลี้ยงและสัตว์ใช้งานของเจ้าของ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อน และหากสัตว์นั้นอาจเป็นอันตรายก็อาจต้องควบคุม หรือแม้กระทั่งฆ่าเพื่อไม่ให้สัตว์ไปทำอันตรายแก่มนุษย์หากจำเป็น แม้แต่การเปรียบเทียบคริสเตียนกับฝูงแกะที่พระเจ้าจะทรงดูแลอย่างดีนั้นก็สะท้อนถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าในการดูแลอย่างใส่ใจอีกด้วย
- สัตว์ต้องได้สืบสายพันธุ์ต่อไป
นอกจากการไม่เก็บรวงข้าวที่ตกเพื่อให้คนยากจนได้เก็บไปกินแล้ว พระคัมภีร์ได้เขียนถึงหลักการในการนำสัตว์มาเป็นอาหารอีกด้วย คือการที่เหลือช่องทางให้สัตว์เหล่านั้นได้มีโอกาสสืบลูกหลานต่อไปไม่นำมาเป็นอาหารทั้งหมด อย่างเช่นการไม่ล่าแม่นกพร้อมลูกนก เพื่อให้แม่นกสามารถออกลูกกกไข่ต่อไป (เฉลยธรรมบัญญัติ 22:6) จะเห็นว่าหลักการพระคัมภีร์นั้น เต็มไปด้วยกุศโลบายแยบยลส่งเสริมความยั่งยืน (ตัวอย่างในปัจจุบัน เช่น ไม่จับปลาด้วยอวนตาถี่ หรือ ล่าสัตว์ในฤดูวางไข่ผสมพันธุ์) แต่ถึงแม้เราจะฆ่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหารได้ หรือใช้หนังสำหรับเป็นเครื่องนุ่งห่มก็เพื่อความจำเป็นของมนุษย์ในเรื่องปัจจัย 4 หรือแม้กระทั่งในพระคัมภีร์เดิมที่มีใช้สัตว์เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป(เพื่อให้มนุษย์เห็นว่าโทษของความบาปนั้นคือความตายและเกรงกลัวต่อบาป และพระเยซูได้มาตายแทนเครื่องบูชาเหล่านั้นจึงไม่มีการหลั่งเลือดอีกต่อไป) แต่การฆ่าสัตว์เพื่อความบันเทิงก็ยังคงเป็นการทารุณ แถมผิดกฏหมาย และพระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์มาเพื่อให้ทำอย่างนั้น
มนุษย์และสัตว์นั้นอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่เริ่มสร้างโลก และมีความสัมพันธ์ที่ถ้อยทีถ้อยอาศัย มนุษย์เป็นผู้ครอบครองดูแลและรักษาระบบนิเวศที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น และดูแลฝูงสัตว์ รวมทั้งฝูงปลา และนกในอากาศ และการดูแลสิ่งเหล่านี้ให้ดีเป็นสิ่งที่พอพระทัยของพระเจ้า มาดูแลป่าและสัตว์ป่ากันเถอะ เมื่อวันไหนที่ใจเราปวดร้าว…
เราจะได้ยังคงมีป่าไว้ให้เดินเข้าไปพักใจยังไงล่ะ ชาวชูใจ ^^
“คนชอบธรรมย่อมห่วงใยชีวิตสัตว์ของเขา
แต่ความสงสารของคนอธรรมคือความดุร้าย”(สุภาษิต 12:10)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง >>> https://www.posttoday.com/social/general/539472
ติดตามบทความใหม่ๆ ในคอลัมน์ #Featured ได้ทุกวันที่มีเรื่องเล่าหรือเรื่องน่าสนใจ ซึ่ง ‘ทีมชูใจ’ จับมานำเสนอในหลากหลายรูปแบบตามมุมมองคริสเตียนนะคะ ^^
Related Posts
- Author:
- Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)
- Illustrator:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
- Editor:
- Jick
- บก.ชูใจ ผู้ใฝ่ฝันจะชูใจน้องๆ จากความพลาดของตัวเอง