เมื่อสังเกต News Feed ตัวเองดีๆ ก็จะพบว่าช่วงนี้บรรดาเพื่อนใน facebook ผมเริ่มเปลี่ยนสเตตัสจากเทศกาลปีใหม่เป็นวาเลนไทน์กันแล้ว มีทั้งคนไม่โสดที่เตรียมฉลองกับคนรัก และคนโสดที่พยายามหาทางออกให้กับตัวเองด้วยการโพสสเตตัสขายของไปเรื่อยๆ เลยทำให้ผมเกิดหวนนึกถึงความรักของตัวเองขึ้นมาบ้าง
ด้วยความที่ไม่อยากให้เรื่องราวเหล่านี้ลงเอยด้วยการเป็นเพียงสเตตัสใน facebook ส่วนตัวที่มีเพื่อนอยู่ไม่กี่คน ผมจึงลงมือเขียนบทความที่เรียกว่า “คำพยาน” นี้ให้กับ “ชูใจ” โดยหวังว่าความรักของผมจะชูใจใครก็ตามที่แวะกดเข้ามาอ่านบ้างไม่มากก็น้อย
___________________
.
“…………………………….”
นี่คือมุมมองความรักของผมก่อนที่จะเชื่อพระเจ้าอย่างจริงจัง ขยายความง่ายๆ คือจะบอกว่ามันว่างเปล่า…
อาจเพราะรู้สึกว่าการสัมผัสถึงความรักได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งเหตุผลที่ไม่ง่ายคงเป็นบุคลิกลักษณะของผมที่มีโลกส่วนตัวสูงจนค่อนข้างเก็บตัว ใส่แว่นตาหนาจนใครก็มองว่าเป็นเด็กเนิร์ด (หรือไม่ก็เอ๋อไปเลย) อยู่กับตัวเองมากจนใช้ชีวิตโดยกำหนดตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง ดังนั้นคนรักที่ผมพอจะนึกออกก็มีแค่บุคคลใกล้ตัวที่สุดสองสามคนนั่นก็คือน้า พ่อ และแม่
ผมรักน้าเพราะเขาอดทนกับผมด้วยความรัก
สอนขี่มอเตอร์ไซค์ให้คนหัวช้าที่สอนยากสอนเย็นอย่างผมให้ประสบความสำเร็จได้
ส่วนพ่อกับแม่ ผมรักเพราะพวกเขาคอยยืนอยู่ข้างผมเสมอ
ปลอบใจเสมอ และยังให้คำปรึกษาในปัญหาที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ทั้งที่ใกล้ชิดกันมาตั้งแต่เด็ก แต่กว่าผมจะสัมผัสความรักเหล่านี้ได้ก็เลยเข้าวัยมัธยมปลายเสียแล้ว มันจึงไม่แปลกเท่าไรนักที่ผมยังสัมผัสถึงความรักของพระเจ้าไม่ได้ในทันที
___________________
บุคลิกที่กำหนดตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางทำให้ความเห็นส่วนตัวเป็นเรื่องใหญ่ เวลาไม่ชอบอะไรผมจะปิดกั้นตัวเองจากสิ่งนั้นในทันที นอกจากจะไม่สนใจและไม่เปิดใจแล้ว ยังออกอาการเกลียดชัง ซึ่งในตอนนั้น “คริสเตียน” กับ “มิชชันนารี” ก็เป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย แต่คนพวกนี้กลับอยู่รอบๆ ตัวอย่างเลี่ยงได้ยาก
พวกเขาพยายามประกาศศาสนาโดยพูดเรื่องพระเจ้ากับข่าวดีเพื่อล้างสมองให้เราเปลี่ยน ทว่า ยังไม่ทันจะเข้าใจว่าเปลี่ยนเพื่ออะไรผมก็ชิงปฏิเสธไปก่อนเพราะสถานการณ์มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังโดนขายตรง มีความยัดเยียดข้อมูลโดยที่ตัวเราเองก็ไม่ได้ต้องการ ตั้งแต่พวกมิชชันนารีไปจนถึงผู้อำนวยการโรงเรียนตั้งแต่ประถมถึงมัธยมที่พูดเรื่องพระคัมภีร์หน้าเสาธงทุกเช้า จนบางทีก็แอบสงสัยว่าพวกเขาได้ผลตอบแทนหรือเปล่า? หรือถ้าผมเชื่อแล้วจะได้เงินได้รถ?
จนย้ายจากสังคมโรงเรียนมาเป็นมหาวิทยาลัยผมก็ยังหนีคริสเตียนไม่พ้น ครั้งนี้พระเจ้าเรียกผมผ่านเพื่อนสนิทที่ประกาศเรื่องของพระองค์เป็นครั้งคราวมาตั้งแต่ปี 1 จนถึงปี 3 เขาก็พาผมไปเข้าร่วมกลุ่มเซลล์สำเร็จ… ขณะการร้องเพลงนมัสการนั้นเองที่ผมสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง อย่างกับว่ามีความหมายซ่อนผ่านท่ามกลางการเปล่งเสียงและชูมือขึ้น แต่ยังไม่ถึงจังหวะที่เข้าใจ “อะไรบางอย่าง” ช่วงประกาศข่าวประเสริฐผมก็โดนล้อมด้วยพี่น้องผู้เชื่อที่นำผมรับเชื่อในตอนนั้นทันทีด้วยประโยคที่ว่า
“พระเจ้าคือความรัก พระเจ้ารักโจ๊กนะ”
___________________
“คนเราสามารถถูกสั่งให้รักได้ด้วยเหรอ?”
หลังจากรับเชื่อมาแบบไม่ทันตั้งตัวแล้วพี่เลี้ยงบอกให้รักพระเจ้าผมก็ได้แต่สงสัย ในเมื่อผมยังไม่เข้าใจดีนักว่าพระเจ้าเป็นใคร เป็นอย่างไร ผมจะรักพระองค์ได้อย่างไร? พระเจ้าที่มองไม่เห็น สัมผัสจับต้องไม่ได้ ฟังเสียงไม่ได้ยินจะวัดปริมาณความรักและคุณภาพจากเวลาแบบตัวบุคคลได้หรือไม่?
สุดท้ายพระเจ้าก็ตอบคำถามข้องใจทั้งหมดกับผมโดยผ่านสิ่งที่เรียกว่า “การอวยพร” และ “การอธิษฐาน” ด้วยเหตุการณ์หนึ่งในชีวิตที่ทำให้ผมสัมผัสได้จริงๆ ว่าความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราไม่เคยลดลง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพระองค์จะรอคอยและเรียกหาเราเสมอ
เหตุการณ์ในตอนนั้นคือช่วงที่ผมป่วยด้วยโรคซึมเศร้าที่เกิดจากการถูกคาดหวังจากครอบครัวในฐานะลูกคนโต ภาระหน้าที่การงานที่มากขึ้น ความรับผิดชอบในหลายๆ ด้าน เรื่องทั้งหมดควบรวมกลายเป็นความเครียดสะสม พอไม่ได้ระบายออกกับใครก็เลยเข้าหาพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน แต่ด้วยอาการของโรคที่ทำให้ขาดสมาธิจดจ่อ ความเครียดเลยเข้ามารบกวนการอธิษฐานไปเสียอย่างนั้น
ผมแบกรับความเครียดจากโรคซึมเศร้ามาเป็นเวลา 6-7 ปี จนกระทั่งมีโอกาสได้เข้าร่วมค่ายของโบสถ์ ซึ่งมีช่วงอธิษฐานกลุ่ม พระเจ้าพาผมออกจากช่วงแห่งความเลวร้ายอันยาวนานนั้นด้วยเพียงข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่ง
“นี่แน่เราอยู่กับเจ้า และจะพิทักษ์รักษาเจ้าทุกแห่งหนที่เจ้าไป และจะนำเจ้ากลับมายังดินแดนนี้ เพราะเราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า จนกว่าเราจะได้ทำสิ่งซึ่งเราพูดไว้กับเจ้า” ยาโคบ ตื่นขึ้นมาจากหลับก็พูดว่า “พระยาเวห์ทรงอยู่ ณ ที่นี้แน่ทีเดียวแต่ข้าเองไม่รู้”
(ปฐมกาล 28:15-16)
นี่เองที่ทำให้ผมปลดล็อกตัวเองออกมาจนได้เข้าใจว่าความรักงดงามอย่างไร พระเจ้ารอให้ผมพึ่งพาพระองค์มาตลอดในขณะที่ผมเลือกจะทรมานด้วยการพึ่งพาตัวเอง ถ้าไม่รักกันจริงพระองค์คงไม่อดทนกับผมมานานขนาดนี้ ทุกครั้งที่ผมพยายามพิสูจน์หรือดูหมิ่น พระองค์ก็ไม่เคยตอบกลับด้วยท่าทีหยาบคาย แต่กลับมีใจถ่อมสุภาพและเมตตา
อาจมีบทเรียนให้ต้องเจอ แต่ก็มีทางออกรอคอยอยู่เสมอ เพื่อให้ผมได้มีใจชื่นชมยินดี และได้รับการเติมเต็มจากภายในกระทั่งสามารถส่งต่อความรักให้กับคนอื่นต่อไปได้ เรื่องราวที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้จึงเป็นความรักที่พระเจ้าสอนผ่านการให้และรับ
.
จนถึงตรงนี้อยากจะบอกกับคุณคนอ่านอีกครั้งอย่างที่ผมเคยได้ฟังมาว่า
“พระเจ้ารักคุณนะครับ”
#ชูใจชวนแชร์ เพราะเรารู้ว่าทุกคนมีเรื่องเล่า… ชูใจจึงชวนมา ‘ส่งต่อ’ เรื่องราวที่พระเจ้าทรงทำในชีวิตของคุณเพื่อ ‘ชูใจ’ คนอื่นต่อไป ( <3 อ่านรายละเอียดได้ที่ >> https://choojaiproject.org/choojai-forward/ )
Related Posts
- Author:
- เป็นคนชอบถ่ายรูป เคยข่มเหงคริสเตียนมาก่อน จนงานเข้าเลยตัดสินใจรับเชื่อ ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้รู้ว่างานรับใช้คือเกียรติ ปัจจุบันรับใช้งานด้านการนมัสการ และตั้งใจรับใช้พระเจ้าตลอดชีวิต
- Illustrator:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
- Editor:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน