สวัสดี ATM ที่รัก …
ตู้ ATM คุณลำบากใจไหม ที่ต้องเป็นตัวกลางในรับเงินส่งเงิน?
ส่วนผมน่ะเหรอ ลำบากใจมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ผมรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่เจอคุณในวันนี้ แม้ว่าเราจะไม่ได้เจอกันนานตั้งแต่ต้นเดือน แต่ผมก็ยังคิดถึงคุณ ATM ทุกวันเพียงแต่ไม่รู้จะมาหาคุณด้วยเหตุผลกลใด อันที่จริงผมเคยได้ยินมาบ่อยอยู่นะ ว่า “เรื่องเงินเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใครออกใคร” แต่ถ้าเงินถูกโอนเข้ามาในบัญชีของใคร… ถ้าไม่ใช่การโอนผิด ใครคนนั้นก็ควรจะรับไว้ด้วยความสบายใจถูกต้องไหม? แต่ครั้งนี้มันมีอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้น
ช่วยกลืนบัตรลงไปเลยได้ไหม… หรืออายัดบัญชีนี้ไปเลยก็ได้่
_______________________
30 วันก่อนหน้านี้ …
ผมได้รับโทรศัพท์จากหญิงสาวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่องค์กรคริสเตียนแห่งหนึ่ง เธอโทรมาหาผมเรื่องการขอถวายสนับสนุนพันธกิจ แม้ผมไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวแต่ ผมก็ตอบตกลงด้วยความเต็มใจ เพราะผมตั้งปณิธานกับตัวเองและตั้งใจกับพระเจ้าไว้ว่า ถ้ามีผู้รับใช้คนไหนหรือองค์กรใดติดต่อมา นั่นแสดงว่าพระเจ้าอยากให้ผมมีส่วนสนับสนุนพันธกิจ ผมจะพิจารณาตามกำลังทรัพย์ตามความเหมาะสม ซึ่งทุกอย่างก็ดูจะเป็นไปด้วยดี ผมกันเงินส่วนหนึ่งให้กับพันธกิจนั้น และจัดสรรเงินเดือนใหม่ให้ลงตัว เนื่องจากมีประสบการณ์กับการเลี้ยงดูของพระเจ้ามามากพอควรผมจึงค่อนข้างมั่นใจไปเองว่าเมื่อให้แล้ว ไม่มีวันที่เราจะขัดสน และพระเจ้าจะเลี้ยงดูไม่ให้ขาดตกบกพร่อง (เรื่องนี้เป็นความตั้งใจ และประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ)
3 วันก่อนหน้านี้ …
มีโทรศัพท์ทางไกลจากต่างประเทศมาถึงผม ปลายสายคือ พี่คนหนึ่งที่สนิทกัน เขาโทรมาปรึกษาเรื่องปัญหา VISA และเล่าเรื่องค่าธรรมเนียมในการยื่นเรื่อง 2,000 ดอลล่าร์ออสเตรเลีย หรือราวๆ 60,000 บาท เขาขอให้ผมอธิษฐานเผื่อ และผมก็ได้แต่อธิษฐานเผื่อจริงๆ เพราะช่วยอะไรไม่ได้เลย เนื่องจากมันเป็นช่วงปลายเดือนพอดี (ที่มนุษย์ชนชั้นกลางทั้งหลายต่างต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความกระเบียดกระเสียน)
2 วันก่อนหน้านี้ …
ตอนค่ำๆ มีข้อความแชทจากพี่อีกคนมาถึง (ตัวละครใหม่) เขาขอเลขบัญชีผมอย่างไม่มีการเกริ่นใดๆ ผมตกใจเล็กน้อย และพิศวงอยู่ในใจ ในเมื่อผมไม่ได้ขายสินค้าอะไร พี่เขากำลังจะโอนเงินถวายมาให้ผมใช่หรือไม่? ผมจึงตั้งใจจะส่งเลขบัญชีขององค์กรคริสเตียนที่ผมทำงานอยู่ให้ เพราะผมทำงานอยู่ในองค์กรคริสเตียนแห่งหนึ่งซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งมาจากการถวายจากผู้มีภาระใจ
แต่พี่คนนี้ปฏิเสธที่จะโอนผ่านบัญชีองค์กร เพราะเขามีความตั้งใจจะถวายให้บุคคลโดยไม่ผ่านองค์กร เมื่อผมถามถึงสาเหตุพี่เขาบอกเพียงว่า เงินก้อนนี้เป็นเงินที่จัดสรรไว้สำหรับถวายคนของพระเจ้า และเขาก็เลือกที่จะถวายให้ผมอย่างเจาะจง
1 วันก่อนหน้านี้ …
ผมนึกถึงพี่คนที่กำลังเรียนพระคัมภีร์อยู่ที่ต่างประเทศที่กำลังมีปัญหาเรื่อง VISA เป็นไปได้ไหมว่า ผมเองจะมีส่วนในการถวายให้กับเขาด้วยมากกว่าคำอธิษฐานผ่านเงินที่มีพี่อีกคนที่จะถวายมาให้ผม ผมครุ่นคิดอยู่นานก็ยังหาคำตอบไม่ได้ และถ้าหากผมจะมีส่วนช่วย ผมจะมีส่วนแค่ไหน? 100% เลยไหม? หรือ 50%? ผมได้แต่คิด
ถึงจะยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร แต่ในใจก็คิดเพียงแค่ว่าจำนวนเงินที่เราจะช่วยนั้นคงช่วยแบ่งเบาภาระของเขาได้เพียงหน่อยเดียว เพราะเมื่อเอาเงินบาทไปเปลี่ยนเป็นสกุลเงินดอลล่าร์แล้วคงแทบเป็นเศษเงิน
เมื่อวันเจ้าปัญหามาถึง …
เวลาประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง ผมได้รับข้อความจากพี่ที่ตั้งใจถวายเงินมาว่า “ได้รับเงินหรือยัง?” ผมจึงเดินไปเช็คที่ตู้ ATM หน้าบ้าน ปรากฏว่าเงินเข้าแล้ว แต่เป็นจำนวนเงินที่ผมไม่ได้คาดคิด ผมคิดว่าเป็นหลักร้อยหลักพันแต่เงินที่โอนเข้ามานั้นเป็นหลักหมื่น วินาทีนั้นหน้าผมร้อนไปหมดเหงื่อซึมและรู้สึกวูบๆ วาบๆ บอกไม่ถูก
จำนวนเงินมากขนาดนี้เท่าๆ กับเงินเดือนของผมทั้งเดือน มันจึงทำให้ผมเริ่มหนักใจ
ถ้าน้อยกว่าที่คิด ผมคงเต็มใจจะให้ 100% ของเงินนี้ตามความตั้งใจ
หรือถ้ามันเท่าๆ กับที่คิดไว้ในใจ ผมคงยินดีที่จะให้ 50%
แต่เมื่อมันมากกว่าที่คิดหมายว่าจะได้รับมันทำให้ผมเริ่มไม่แน่ใจในเรื่องของ % เสียแล้ว
เป็นความโลภที่อยู่ในใจ เป็นความโลภที่อยู่ข้างใน …
เวลานั้นมีความคิดหลายอย่างที่ตีกัน เพราะไม่รู้ว่า สรุปแล้ว… “เงินในบัญชีที่ไม่รู้ว่าพระเจ้าจะให้ใคร?”
- เงินนี่ไม่ใช่ของเราหรือเปล่า? พระเจ้าอาจจะตั้งใจให้เรารับมาเพื่อส่งต่อให้คนที่ต้องการ 100% ส่วนเราก็มีหน้าที่แค่ส่งมันต่อไปหรือเปล่า?
- ในเมื่อเขาถวายมาอย่างเจาะจงในชื่อของเรา เงินนี่ก็ควรเป็นของเราที่เขาอยากให้เราได้ใช้ ดังนั้นเราสามารถมีสิทธิ์จัดสรรตามสมัครใจ?
- เราก็ช่วยเขาอย่างที่ตั้งใจไว้ตอนแรกก็ได้นี่ 50% – 50% ไง วินๆ คนถวายก็ได้ให้ตามเป้าหมาย คนรับก็ได้รับไว้ และส่งอีกส่วนเป็นพรต่อคนที่ต้องการ มันควรจะเป็นแบบนี้รึเปล่า?
- แต่อีกใจก็เริ่มเครียด… ถ้าพระเจ้าจะให้เราเป็นท่อพระพรส่งผ่านเงิน 100% ทำไมพระองค์ไม่ให้เขาสองคนได้คุยกันตั้งแต่แรกนะ เราจะได้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ ไม่ต้องมาคิดให้หนักใจ หรือจริงๆ แล้วสองเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกันเลย เพียงแค่เป็นสองคนสองวาระบังเอิญมาบรรจบกัน และเราอาจจะไม่ต้องผูกโยงเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกันก็ได้?
ผมตัดสินใจหยุดความฟุ้งซ่านด้วยการอธิษฐานของสติปัญญาจากพระเจ้า และส่งข้อความไปหาคนทั้งสองคน (พี่ที่โอนเงินมาให้กับพี่ที่อยู่ออสเตรเลีย) เพื่อจะสอบถามบางอย่างเพิ่มเติม แต่ทั้งสองยังไม่อ่านข้อความ นั่นทำให้ผมยิ่งงุ่นง่านใจ ผมจึงตัดสินใจหาคนกลางในเรื่องนี้และแชทไปหาน้องคนหนึ่ง (ตัวละครลับ) ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมดและเล่าเรื่องให้ฟัง เพราะในฐานะคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับเงินก้อนนี้แล้วเธอน่าจะช่วยให้ผมได้รับคำตอบที่เป็นกลางมากกว่า ระหว่างที่เล่าไปก็ทำให้ผมได้ทบทวนความคิดของตัวเอง ความกังวลอีกอย่างที่ผมได้รู้เพิ่มเติมก็คือ ผมกังวลว่า ผู้ที่โอนเงินมาให้จะรู้สึกอย่างไร ถ้าผมตัดสินใจเอาเงินที่เขาตั้งใจมอบให้ไปให้อีกคนหนึ่ง และผมกังวลว่าเขาจะโกรธไหมเพราะเงินเป็นจำนวนเยอะ ถ้าเงินน้อยมากผมอาจจะโอนไปให้อีกคนโดยไม่รู้สึกผิดต่อเขาเลย แต่พอมันเยอะรู้สึกเหมือนต้องรายงาน หรือรับผิดชอบต่อการใช้จ่าย
พระเจ้าครับ ผมรู้สึกเหมือนถูกทดลองเรื่องเงินเลย …
ตอนเช้าผมมีโอกาสได้คุยกับพี่ผู้ถวายเงินจำนวนนั้น เขาบอกแต่เพียงว่า “ขอให้ผมเต็มที่ และมีกำลังในการรับใช้” สักพักก็มีข้อความมาจาก น้องผู้หญิงคนแรกที่ผมถวายเงินให้ (ตัวละครที่เป็นหญิงสาวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่องค์กรคริสเตียนแห่งหนึ่ง) เมื่อประมาณ 30 วันก่อนมาทางไลน์… เป็นข้อพระคัมภีร์
ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่า การทดลองความเชื่อของท่านนั้นทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง และจงทำให้ความมั่นคงนั้นบรรลุผลอันสมบูรณ์ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย
(ยากอบ1:2-4)
ข้อพระคัมภีร์ข้อนี้เสมือนหนึ่งเป็นคำตอบสำหรับเหตุการณ์ยุ่งยากในจิตใจตัดช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด ในฐานะที่เป็นคนที่เติบโตโดยผ่านการเห็นพระคุณของพระเจ้าเรื่องการเงินมาตลอด ยอมรับเลยว่าครั้งนี้เป็นเรื่องที่ยากกว่าครั้งอื่นๆ เพราะมันไม่ได้เกี่ยวข้องแค่กับตัวเรากับพระเจ้าเพียงเท่านั้น แต่ยังมีบุคคลที่ 2 และ 3 มาเอี่ยวด้วย
สุดท้ายแล้ว ผมก็ตัดสินใจจัดสรรเงินก้อนนั้นด้วยการนำเงินก้อนแรกแยกออกไปก่อนเป็นเงินจำนวนที่เราคิดว่าต้องใช้จริงๆ – เพราะก่อนที่เราจะช่วยเหลือผู้อื่นเราต้องจัดการตัวเองให้ได้เสียก่อน
จากนั้นผมจึงนำเงินอีกก้อนให้น้องข้างบ้านคนหนึ่งที่กำลังมีปัญหาเรื่องค่าที่พักได้หยิบยืมใช้ – เพราะก่อนที่เราจะช่วยคนอื่นเราควรช่วยเหลือคนใกล้ตัว และญาติพี่น้องรอบข้างก่อน
สุดท้ายผมก็ถามอัพเดทเพื่อความแน่ใจว่าพี่ออสเตรเลียคนนั้นยังต้องการใช้เงินอยู่ไหม? ขาดเท่าไหร่? และตอนนี้สถานการณ์ของเขาเป็นอย่างไร? เขาก็ได้ตอบกลับมาว่าเขาได้เงินจำนวน 60,000 นั้นแล้ว จากฝรั่งคนหนึ่งที่ยินดีให้ยืมเงินก่อน
ผมถามตัวเองถึงจำนวนเงินในใจที่เต็มใจให้จริงๆ โดยไม่นึกเสียดายก่อน (และคำตอบที่ได้นั้นก็คือ 50% แต่ไม่ใช่ 50% ของทั้งก้อน เป็น 50% ที่เหลือจากการจัดสรรในส่วนที่จำเป็น และจะไม่กระทบต่อวิถีชีวิต) แล้วค่อยจัดการบอกพี่คนที่ต้องการเงินว่าจะโอนเงินไปให้ เพื่อปิดช่องที่เราจะเปลี่ยนใจไม่ถวาย และเป็นการเตือนตัวเองว่าต้องจัดการให้เรียบร้อย
เมื่อได้ให้ออกไปแล้ว ผมรู้สึกมีสันติสุขและสบายใจมากกว่าตอนที่ได้รับเงินเหล่านี้เสียอีก ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงโปรดให้ผมมีโอกาสให้ มีโอกาสได้รับ มีโอกาสขัดสน และมีโอกาสแบ่งปัน ขอบคุณทุกตัวละครที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ทำให้คนได้รับพระพรจากเงินก้อนเดียวนี้มีอย่างน้อยถึง 5 คน ไม่สิ รวมคุณที่กำลังอ่านบทความนี้ก็เป็น 6 คนแล้วที่ได้รับพระพร
สรุป:
พระเจ้าสอนผมในเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งว่า การที่เราจะมีใจช่วยเหลือใครนั้น…
1. เราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือเท่านั้น พระเจ้าต่างหากที่เป็นผู้ดูแลทั้งหมด
2. เราเป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือของพระองค์
3. ให้ตามที่คิดหมายไว้ในใจโดยไม่นึกเสียดาย
4. การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ
_______________________
“แต่ละคนจงให้ตามที่เขาคิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่ให้ด้วยความเสียดาย
ไม่ใช่ให้ด้วยความจำใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนที่ให้ด้วยใจยินดี”
(2โครินธ์ 9:7)
#ชูใจชวนแชร์ เพราะเรารู้ว่าทุกคนมีเรื่องเล่า… ชูใจจึงชวนมา ‘ส่งต่อ’ เรื่องราวที่พระเจ้าทรงทำในชีวิตของคุณเพื่อ ‘ชูใจ’ คนอื่นต่อไป ( <3 อ่านรายละเอียดได้ที่ >> https://choojaiproject.org/choojai-forward/ )
Related Posts
- Author:
- Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)
- Illustrator:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
- Editor:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน