ต้นเรื่อง: นาย เฉลิมพล คำชัย
ผมเป็นนักศึกษาที่เข้าใจว่าตัวเองจัดอยู่ในกลุ่มคณะของคนฉลาด
ถูกสอนให้มองว่ารอบตัวเราเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมสิ่งสร้าง
ซึ่งถ้าไม่มีคนพวกนี้ในโลก สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
.
ความภูมิใจบวกกับความเชื่อมั่นในตัวเองที่มีค่อนข้างสูงอย่างนี้แหละ
ทำให้การมาเชื่อพระเจ้าดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับผม
__________________
เรื่องราวที่ผมกำลังจะเล่าเริ่มขึ้นตอนที่ฝรั่งคนหนึ่งชวนมาเรียนภาษาอังกฤษที่โบสถ์ใกล้มหาวิทยาลัย ซึ่งผมตกลงตามไปเรียนทันที เพราะฝรั่งคนนั้นเป็นสาวสวย
.
…
ผมรู้ว่าคนพวกนี้เป็นคริสเตียน บางคนเป็นมิชชันนารีด้วย แต่เอาเถอะ คริสเตียนก็ส่วนคริสเตียน เราแค่มาเรียนภาษา ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องอะไรกับความเชื่อของเขา
ทีแรกผมมองว่าแก๊งคริสเตียนฝรั่งนี่ไม่ค่อยฉลาด เทียบกับตัวเองที่ไม่เชื่อพระเจ้าแล้ว คนพวกนี้ดูงมงายไปเลย คงจะโดนล้างสมองมาแน่
แต่พอรู้จักกันนานเข้าก็ประหลาดใจ เออ จริงๆ พวกนี้เป็นคนฉลาดนะ ยิ่งเห็นสติปัญญาก็ยิ่งสงสัยว่าทำไมถึงมาเชื่อพระเจ้าได้ คำถามนี้ติดอยู่ในใจผมมาเป็นปี ซึ่งก็ไม่ยอมถาม เพราะไม่อยากเปิดใจฟังเรื่องของพระเจ้าที่คนพวกนี้พยายามจะพูดถึง
เท่าที่จำความได้คือตอนนั้นผมต่อต้านสุดๆ แล้วก็โชคดีที่ได้เจอกลุ่มคนที่ต่อต้านเหมือนเรา นั่นคือนักศึกษารุ่นราวคราวเดียวกันที่มาโบสถ์เพื่อเรียนภาษาอังกฤษนี่แหละ
คล้ายกับมองตาก็รู้ใจ พวกเราแอบรวมตัวกันสร้างกลุ่มคนไม่เชื่ออย่างลับๆ ฟอร์มทีมเป็นขบวนการใต้ดินเพื่อยึดมั่นไปในทางเดียวกันคือเราจะไม่หลงไปเชื่อพระเจ้าที่พวกคริสเตียนฝรั่งพูดถึง
#ทีมต่อต้านคริสเตียน เกิดขึ้นด้วยเหตุนี้เอง
.
พวกเรา ต่อต้าน พวกเขา ถึงขั้นจับมือร่วมสาบานกันว่า
“เราเป็นพวกเดียวกัน เราจะไม่เชื่อพระเจ้าเด็ดขาด เราจะไม่มีทางเป็นคริสเตียนแน่นอน
และเรามีจุดมุ่งหมายเดียวที่มาที่นี่ นั่นคือเพื่อมาเรียนภาษาอังกฤษเท่านั้น”
.
__________________
ไม่นานนักเพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในทีมต่อต้านคริสเตียนก็รับเชื่อไปก่อนเป็นคนแรก
ไม่แปลกใจเท่าไหร่ ก็เขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในทีมเรา
.
แต่ที่แปลกคือ อีกสองคนในทีมกลับหลุดรับเชื่อตามกันไปติดๆ
ค่อยทยอยไป ที-ละ-คน
.
จนเหลือผมเป็นคนสุดท้าย
ทุกคนที่ร่วมสาบานกันมาทิ้งกันไปหมดเลย!
…
ดีนะ ผมยังเป็นคนเดียวที่เหลือรอด ยังยึดมั่นในตัวเองได้อยู่
ทว่าคำถามเดิมที่ค้างอยู่ในใจมาเป็นปีว่า “ทำไมฝรั่งที่ไม่โง่ถึงเชื่อพระเจ้า?” ก็ทำให้ผมสงสัย แล้วยังกลุ่มเพื่อนที่สัญญากันเสียดิบดีก็หักหลังเราไปหมด
“ทำไมมันเป็นคริสเตียนกันหมดเลยวะ?”
อย่างคนที่ไม่น่าจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน คนที่ตั้งแง่ไว้แต่แรกอย่างคนในทีมก็ยังไป มันเกิดขึ้นได้ยังไงนะ… เราแปะมือกันแล้วนี่? เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผมตัดสินใจปรึกษาเรื่องข้อสงสัยที่มีในใจกับรุ่นพี่ที่เรียนภาษาอังกฤษด้วยกัน
“ถ้าอยากรู้ว่าพระเจ้ามีจริงไหมก็ลองมองรอบตัวดูสิ”
คำพูดกว้างๆ รวมๆ และไม่เฉพาะเจาะจงของพี่คนนั้นทำให้ผมกลับมาคิด จากมุมมองของตัวเองเมื่อก่อนที่เคยเห็นว่าสิ่งรอบตัวรายล้่อมไปด้วยสถาปัตยกรรมเปลี่ยนไปในตอนนี้ จากอะไรที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น สิ่งเหล่านั้นล้วนมีอยู่มาแต่แรก เพียงแต่ตัวผมเลือกที่จะปิดใจมอง
คนเรามักจะเป็นอย่างนี้แหละ ชอบเชื่อในสิ่งที่ตามองเห็นก่อน โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่ตาเลือกมองนั้นก็สัมพันธ์กับใจ ดังนั้น ถ้าอยากรู้ว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่เราจะเปิดตามองอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเปิดใจมองด้วย
พอคิดได้อย่างนั้น ผมจึงยอมศึกษาพระคัมภีร์ ด้วยเหตุผลที่ว่าสิ่งรอบตัว (ที่เพิ่งสังเกตเห็น) ไม่อาจเกิดขึ้นโดยบังเอิญอย่างพอเหมาะพอเจาะ
.
__________________
พอเริ่มเปิดใจแล้วมองหาคำตอบ คำตอบก็โผล่มาให้เห็นตรงหน้า
ขณะที่เรียนพระคัมภีร์ไปได้สักพัก ทุกคนก็รู้กันอย่างทั่วถึงว่าผมรับรู้เรื่องของพระเจ้าแล้ว แต่ผมดื้อ เพราะเป็นคนสุดท้ายที่มาเรียนและยังไม่รับเชื่อ จนวันหนึ่งระหว่างเซลล์กรุ๊ปเลยมีคนบอกให้อธิษฐานขอสิ่งที่อยากได้ ผมเลยบอกไปว่าอยากเจอนักร้องบนปกซีดีที่วางอยู่บนโต๊ะตอนนั้น
“คนนี้สวยดี อยากเจอ”
ตอนท้าก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ ยุคนั้นเขาออกทีวี เป็นนักร้องแกรมมี่ และไม่ได้อาศัยอยู่เชียงใหม่ เขาจะมาเจอเราหน้ามช.ได้ยังไง
ปรากฏว่าวันถัดมา คำตอบของพระเจ้าก็โผล่มาตรงหน้าตอนกำลังกินข้าวกับพี่ๆ ที่โบสถ์อยู่หน้ามช. –สถานที่ที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้นั่นแหละ
ตลก ผมรู้สึกว่ามันตลกมาก พระเจ้าที่คนอื่นพูดๆ กันในโบสถ์ดูมีีเค้าความจริงขึ้นมาทันที อันที่จริงก็เคยได้ยินมาบ้างนะว่าพระเจ้ามีหลายโหมด บางทีขี้เล่น บางทีดุ บางทีใจดี
สงสัยเราเป็นคนแบบนี้ พระเจ้าเลยแสดงตัวตนด้านขี้เล่นมาให้
แต่ครั้งเดียวก็ยังไงๆ อยู่ ขอเจออีกครั้งแล้วกันนะครับพระเจ้า… และไม่กี่วันถัดมาผมก็ได้พบนักร้องคนนั้นอีกครั้งที่ถนนคนเดิน
…
ไม่มีเหตุผล ไม่มีความน่าจะเป็น แถมยังไร้ตรรกะสุดๆ
อย่างไรก็ตาม ผมได้เรียนรู้อีกอย่างว่าความเชื่อกับเหตุผลมันเป็นคนละเรื่องกัน
เพราะการพยายามหาเหตุผล ข้อพิสูจน์ หรือการอัศจรรย์จากพระเจ้า ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ผมตัดสินใจรับเชื่อในภายหลัง แต่เป็นการเปิดใจจนหมดสิ้นโดยไร้อคติและมองเห็นความจริงรอบตัวต่างหาก
“ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระวจนะของพระเจ้า” (โรม10:17)
เหล่าคนที่ผมมองว่าโง่ในตอนแรกกลายเป็นคนที่ผมเคารพ พวกเขามีความเชื่อและยึดสิ่งนั้นจนเดินทางข้ามทวีปมาถึงประเทศไทย ยอมกินอยู่อย่างลำบาก ยอมเรียนภาษาใหม่ ยอมถูกมองว่างมงาย เพียงแค่จะพูดถึงเรื่องพระเจ้า มาบอกข่าวดี บอกความจริงให้คนที่ยังไม่รู้ได้รู้
…
จนท้ายที่สุดผมก็เปลี่ยนทีมไปเป็น #ทีมรักคริสเตียน
เพราะตอนนี้ พวกเขา และ พวกเรา กลายมาเป็นพี่น้องกันเรียบร้อยแล้ว
#ชูใจชวนแชร์ เพราะเรารู้ว่าทุกคนมีเรื่องเล่า… ชูใจจึงชวนมา ‘ส่งต่อ’ เรื่องราวที่พระเจ้าทรงทำในชีวิตของคุณเพื่อ ‘ชูใจ’ คนอื่นต่อไป ( <3 อ่านรายละเอียดได้ที่ >> https://choojaiproject.org/choojai-forward/ )
Related Posts
- Author:
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
- Illustrator:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน