ผู้เขียน: Marshall Segal
ต้นฉบับภาษาอังกฤษ: Wait to Date Until You Can Marry
เราควรมีแฟนตอนไหนดีนะ?
ก่อนจะตอบคำถามนี้คุณต้องรู้ก่อนว่าทำไมคุณถึงอยากจะมีแฟน ทั้งๆ ที่ก็รู้กันดีว่า มันมักจะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดเสมอ ทั้งการเลิกรา, ความบาปเรื่องเพศ, การนอกใจกัน, การถูกหักอก, หัวใจแตกสลาย ซึ่งล้วนแต่เป็นความเจ็บช้ำจากความรักที่ทำให้เราไปไม่ถึงการแต่งงานเสมอ
แล้วทำไมหนุ่มๆ สาวๆ ถึงได้รีบร้อนจะมีแฟนกันนักล่ะ?
เอาล่ะ ส่วนหนึ่งก็เพราะซาตานได้อำพรางความเสี่ยงเอาไว้อย่างแนบเนียนไงล่ะ (พญานาคใหญ่ซึ่งเป็นงูดึกดำบรรพ์ ที่เขาเรียกกันว่ามารและซาตาน ผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลกก็ถูกผลักทิ้งลงไป พญานาคและบริวารของมันถูกผลักทิ้งลงไปในแผ่นดินโลก – วิวรณ์ 12:9) มันสร้างภาพว่าเรื่องรักใคร่เป็นเงื่อนไขอย่างหนึ่งของการมีชีวิตที่ดีพร้อม และเปรียบเทียบว่าหากไม่เป็นอย่างนั้นชีวิตก็จะว่างเปล่า เดียวดาย ไร้จุดหมาย มันใช้ประโยชน์จากความปรารถนาของเราและชักจูงให้คิดว่าความรักใคร่พิศวาสเท่านั้นที่จะทำให้มีชีวิตได้อย่างแท้จริง มันบอกว่าจะพบความพอใจสูงสุดและประสบการณ์ที่เต็มอิ่มได้ในความสัมพันธ์แบบแฟนหรือคู่รักเท่านั้น มันแต่งเติมทั้งเรื่องอกหัก และทำเรื่องเซ็กส์ให้ดูหอมหวานน่าลิ้มลองแต่อาบด้วยยาพิษ
ซาตานและอิทธิพลที่มันแผ่ในโลกนี้ทำให้คนเป็นล้านๆ รู้สึกว่าต้องคบใครซักคนทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลา เพราะมันชอบเห็นผลที่ตามมาจากความสัมพันธ์แบบนี้
ผมมีแฟนคนแรกตอนอยู่ ป.6 และมีจูบแรกในปีนั้น (ไม่ใช่กับแฟนคนแรกด้วยนะ) หลังจากนั้นก็มีแฟนใหม่เกือบทุกปีตลอดช่วงม.ปลาย ตอนนั้นผมยังเด็กมาก ผมแสวงหาความรัก ความปลอดภัย รวมถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้หญิงแทนที่จะเป็นพระเจ้า ผมเลยมีแฟนเร็ว ช่วงเวลาวัยรุ่นของผมเต็มไปด้วยความสัมพันธ์ที่จริงจังเกินวัยที่บ่อยและต่อเนื่องยาวนาน จนสุดท้ายก็จบแบบเจ็บปวดเกินบรรยาย ผมด่วนใช้คำว่า “ผมรักคุณ” กับสาวๆ บ่อยเกินไป และเจ้ามารร้ายมันก็นั่งเด่นอยู่ตรงหน้า ยิ้มเยาะให้กับทุกเสี้ยวนาทีในชีวิตช่วงนั้นของผมที่เที่ยวไปคบใครต่อใคร
ทำไมถึงต้องมีแฟน?
“จงรอจนกว่าวันที่คุณพร้อมที่จะมีคู่ครอง และรักษาตัวไว้จากความเจ็บช้ำที่จะทำให้คุณไม่ได้แต่งงาน”
สงครามฝ่ายวิญญาณที่แย่งชิงหัวใจของเรานั้นมีอยู่จริง และมีเดิมพันสูงลิ่ว ดังนั้นการตั้งคำถามไว้ตั้งแต่แรกว่าทำไมเราถึงต้องมีแฟนจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ทำไมผมถึงมีแฟนตั้งแต่อายุ 12 ล่ะ (แล้วก็ตอน 13 14 18 ด้วย)
สำหรับหลายๆ คน เราแค่อยากจะมีความสุข อยากได้รับการยอมรับ อยากรู้สึกว่ามีค่า เราจินตนาการไว้ว่าเธอหรือเขาคนนั้นจะตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้
เราล้วนแต่อยากปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับใครสักคน และดูเหมือนจุดสูงสุดของมิตรภาพและความพึงใจระหว่างคุณและเขาน่าจะเป็นเรื่องของความรักที่วาบหวามและการได้แต่งงานกัน เรารอใครสักคนที่จะมารู้จักและรักเรา เป็นเจ้าของเรา ร่วมสร้างเรื่องราวให้ชีวิตของกันได้มีค่าและมีความหมาย เราอยากสร้างความแตกต่างและไม่อยากให้ชีวิตมันสูญเปล่า
หลายคนคบกันเพื่อพยายามจะเติมเต็มความรัก ถ้าถามผมนะ ผมว่าเรากำลัง “วิ่งตามการแต่งงาน” ทั้งที่ส่วนใหญ่เราก็ยังไม่พร้อมที่จะแต่งงานด้วยซ้ำ ไหนจะเรื่องอายุ การเงิน วุฒิภาวะ การศึกษา จังหวะชีวิต เราก็แค่กำลังแสวงหาความสุข การถูกยอมรับ และการเป็นคนสำคัญที่เราหวังจะได้เจอจากความรักแบบหนุ่มสาวนี้
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมควรจะทำยังไงดี?
ถ้ากลับไปแก้ไขได้ ผมจะไม่มีแฟนตั้งแต่ตอนมัธยม (หรือแม้กระทั่งปีแรกๆ ในมหาวิทยาลัย) ผมจะรอจนกระทั่งพร้อมที่จะแต่งงานได้ก่อน
การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของผมเริ่มตอนที่ผมเข้าใจความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการคบแฟนและการแต่งงาน บางครั้งแค่เป็นแฟนกันก็อาจรู้สึกเหมือนแต่งงานได้ แต่มันก็ยังไม่ใช่คู่แต่งงานอยู่ดี การเข้าใจความสัมพันธ์เรื่องนี้เองที่จะช่วยปกป้องเราจากความเจ็บปวดและล้มเหลวในขั้นที่เป็นแฟนกัน
ชีวิตเราไม่ได้มีแค่เรื่องความรักหรือการแต่งงานเท่านั้นหรอก
สิ่งที่พระเจ้าจะให้เรามีมากมายเกินกว่าที่ความสัมพันธ์เหล่านั้นจะให้เราได้
ไม่ว่าสถานะความสัมพันธ์ของเราจะเป็นแบบไหน รางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตนั่นคือ การได้รู้จักและรักพระคริสต์ และพระองค์ก็รู้จักและรักเราด้วย ส่วนในชีวิตแต่งงานนั้น รางวัลใหญ่คือการมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางในความสัมพันธ์ ได้รู้จักและรับความรักนั้นจากสามีหรือภรรยา สำหรับคนที่ยังเป็นแฟนกันนั้น รางวัลใหญ่คือความชัดเจนในการแต่งงาน (หรือต่อชีวิตการแต่งงาน)โดยมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ความสัมพันธ์แบบที่ใกล้ชิดสนิทสนมกันที่สุดนั้นปลอดภัยเมื่ออยู่ในบริบทของการแต่งงาน และการแต่งงานก็ปลอดภัยที่สุดในบริบทที่มีความชัดเจน ถ้าเราอยากได้และมีความสุขในความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมแบบที่มีพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง เราจำเป็นต้องแต่งงาน และถ้าเราอยากจะแต่งงาน เราต้องมีความชัดเจนก่อนว่าใครคือคนที่เราจะแต่งงานด้วย
วุฒิภาวะคือสัญญาณแห่งความพร้อม
นอกจากเรื่องของอายุแล้ว ยังมีเรื่องวุฒิภาวะและความมั่นคงที่เราจะต้องถามกันให้มั่นใจซะก่อนว่าแฟนของคุณโตพอที่จะคิดออกไหมว่า เขาหรือเธอจะเป็นสามีหรือภรรยาในแบบไหนในอนาคต เราทั้งคู่มีปัญญาส่งเสียเลี้ยงดูครอบครัวได้รึยัง ความเชื่อของเขาหรือเธอผ่านการทดสอบมากพอที่จะมั่นใจได้ไหมว่ามันเป็นของจริง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องมีบางคนแหละที่เกลียดคำแนะนำประเภทนี้ ถ้าเป็นผมเมื่อก่อนผมก็เกลียด แต่นี่เป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้เราต้องคบกันให้นานพอก่อนที่จะแต่งงาน และเราไม่สามารถคบเพื่อแต่งได้ถ้ายังไม่มีสัญญาณเรื่องแต่งงานเลยด้วยซ้ำ ซึ่งสัญญาณที่ว่าก็คือวุฒิภาวะของคุณทั้งสอง คุณอาจฝันหวานถึงวันงานเอาไว้แล้ว (ผมเคยนะ) แต่ถ้าในความเป็นจริง คุณสองคนไม่ได้มีวุฒิภาวะพร้อมที่จะแต่งงานกันได้ในเร็วๆ นี้ ผมว่าการรอก็ไม่เสียหายนะครับ
ระหว่างที่รอ…
การที่เราต้องรอไม่ได้หมายความว่าแค่นั่งรอเฉยๆ ชีวิตไม่ได้มีแค่เรื่องรักและแต่งงานเท่านั้น ชีวิตเรามีพระเยซู และพระองค์ทรงรักและมีแผนการณ์ให้เรา ไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่ง อายุสิบหกหรืออายุหกสิบ
บางคนอาจเกิดมาพร้อมกับความปรารถนาที่จะได้แต่งงาน
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมสำหรับเรื่องนี้
สิ่งที่พระเจ้าจะประทานให้เรามีมากมายเกินกว่าที่ความสัมพันธ์เหล่านั้นจะให้เราได้ พระองค์อยากจะสำแดงสิ่งที่น่าตื่นเต้นในชีวิตวัยหนุ่มสาวของคุณ พระองค์อยากใช้คุณและของประทานที่คุณมีเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้อื่น ถ้าพระองค์ประสงค์ให้คุณแต่งงาน พระองค์จะเตรียมคุณให้เป็นภรรยาหรือสามีที่มีความเข้มแข็งและห่วงใยผู้อื่นด้วย พระองค์อยากแสดงให้โลกเห็นความสุขผ่านทางสันติสุขในชีวิตคุณ
________________
แต่ถึงไม่มีแฟนก็มีประสบการณ์กับพระเจ้าได้
1. เป็นแบบอย่างในความกล้าหาญและความสัตย์ซื่อต่อผู้อื่น
“อย่าให้ใครหมิ่นประมาทความอ่อนวัยของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างแก่บรรดาผู้เชื่อ ทั้งในด้านวาจาและการประพฤติ ทั้งในด้านความรัก ความเชื่อ และความบริสุทธิ์”
(1 ทิโมธี 4:12)
คุณอาจยังเลือกตั้งไม่ได้ หรือขับรถไม่ได้ แต่คุณสามารถใช้ชีวิตเพื่อประกาศได้ คำพูดของคุณ ความสุภาพอ่อนน้อม และทัศนคติต่อครอบครัวหรือเพื่อน ทั้งหมดก็เหมือนเป็นคำพูดจากพระเยซูด้วย การกระทำของคุณ การตัดสินใจระหว่างวันว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร การดำเนินชีวิตของคุณบนโลกใบนี้กำลังบอกโลกถึงพระเจ้าของคุณด้วย การสำแดงความรักโดยการปฏิบัติต่อผู้อื่นก็เป็นการบอกคนอื่นว่าพระเจ้ารักคุณอย่างไร การรักษาตัวเองให้บริสุทธิ์ โดยมุ่งมั่นที่จะวางใจในพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์ ให้พระองค์มีค่าเหนือกว่าทุกสิ่ง ก็เป็นการประกาศข่าวประเสริฐแก่เพื่อนคนอื่นด้วยเช่นกัน
2. อยู่เพื่อรับใช้ ไม่ใช่ถูกรับใช้
“ตามที่แต่ละคนได้รับของประทาน ก็ให้ใช้ของประทานนั้นปรนนิบัติกันและกัน ดังเช่นผู้รับมอบฉันทะที่ดีเกี่ยวกับพระคุณนานาประการของพระเจ้า ถ้าใครจะพูด ก็ให้พูดดังเช่นพูดพระวจนะของพระเจ้า ถ้าใครจะปรนนิบัติ ก็จงปรนนิบัติดังเช่นทำด้วยกำลังซึ่งพระเจ้าประทาน เพื่อพระเจ้าจะได้รับพระเกียรติในทุกสิ่ง ทางพระเยซูคริสต์”
(1 เปโตร 4:10-11)
วัยรุ่นจำนวนไม่น้อยใช้ชีวิตเพื่อตอบสนองความต้องการและความปรารถนาของตัวเองโดยที่ไม่ได้ตระหนักถึงความต้องการของคนรอบข้างเลย แต่คุณทำได้มากกว่าแค่อยู่ในสังคมออนไลน์ ไปช็อปปิ้ง และเล่นเกมส์ ลองดูวัยรุ่นที่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันระดับโอลิมปิคเป็นตัวอย่างสิ อายุแค่ 15-16 ก็ชนะเหรียญทองเหนือคู่ต่อสู้ที่เป็นแชมป์โลกได้
จะเป็นไงถ้าคุณตัดสินใจจะใช้ของประทานที่พระเจ้าให้คุณเพื่อสร้างสิ่งที่แตกต่างในชีวิตของผู้อื่นด้วย คุณสามารถรับใช้ในงานพันธกิจของคริสตจักรได้ เป็นที่ปรึกษาให้กับรุ่นน้อง หรือถามไถ่ความต้องการของเพื่อนบ้านคุณ คุณทำได้ดีกว่าที่โลกนี้คาดหวังกับคุณ มีชีวิตอยู่แบบที่ “เพื่อพระเจ้าจะได้รับพระเกียรติในทุกสิ่ง ทางพระเยซูคริสต์” ผ่านชีวิตคุณ
3. พยายามเพื่อเป็นคู่สมรสในแบบที่พระเจ้าเรียกให้คุณเป็นในอนาคต
“ส่วนภรรยาจงยอมเชื่อฟังสามีของตน เหมือนยอมเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักรซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ โดยพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด… ส่วนสามีก็จงรักภรรยาของตน เหมือนพระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักร”
(เอเฟซัส 5:22-25)
พระเจ้าจะเตรียมคุณไว้เป็นคนรักที่ดี จนกระทั่งคุณพร้อมที่จะมีใครซักคน
เราบางคนอาจเกิดมาพร้อมกับความต้องการที่จะได้แต่งงาน แต่ไม่ใช่ทุกคนจะพร้อมสำหรับเรื่องนี้ การทรงเรียกสำหรับการแต่งงานนี้เป็นการทรงเรียกเพื่อที่จะใช้ชีวิตในเรื่องราวอันยอดเยี่ยมที่มีให้เฉพาะคุณเท่านั้น พระเจ้าเองได้มาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อตายแทนเจ้าสาวที่เต็มไปด้วยบาปซึ่งก็คือคริสตจักร สัญชาตญาณธรรมชาติของเราไม่ทำแบบนั้นแน่ เราจะไม่ตายเพื่อใครแม้คนๆ นั้นจะเป็นคนที่เราชอบมากก็ตาม
พระเจ้าจะเตรียมคุณไว้เป็นคนรักที่ดี จนกระทั้งคุณพร้อมที่จะมีใครซักคน เป็นการเปลี่ยนแปลงคุณไปสู่ความพร้อมอีกระดับหนึ่ง
(2 โครินธ์ 3:18)
4. รออย่างมีสันติสุขจนคนรอบข้างต้องประหลาดใจ
“เราก็ไม่ได้หยุดอธิษฐานและทูลขอเพื่อท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่าน… ดำเนินชีวิตอย่างสมควรต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และจะเป็นที่ชอบพระทัยของพระองค์ทุกประการ คือให้ท่านเกิดผลในการดีทุกอย่าง และเจริญขึ้นในความรู้ถึงเรื่องพระเจ้า ให้พวกท่านมีกำลังด้วยฤทธานุภาพทั้งสิ้นตามอานุภาพแห่งพระสิริของพระองค์ เพื่อให้ท่านมีความทรหดอดทน และมีความอดทนในทุกสิ่ง พร้อมทั้งมีความยินดี”
(โคโลสี 1:9-11)
หาไม่ยากหรอกพวกคนโสดหน้าตาบูดบึ้งโอดครวญในความเงียบเหงาเฝ้ามองดูคู่อื่นๆที่มีความรัก สิ่งที่หายากกว่าคือวัยรุ่นประเภทที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง มีความสุข และพบความอุ่นใจที่หาไม่ได้ในโลกนี้
จงทำให้เพื่อนของคุณ (รวมถึงคนอื่นๆ) ประหลาดใจที่เห็นคุณรอคอยด้วยความเต็มใจจนกระทั่งถึงเวลาพร้อมที่จะแต่งงาน เพราะในพระเจ้าคุณจะได้พบทุกสิ่งที่ต้องการเสมอ
<3 พบกับ #LoveCoach และ #โค้ชเจเจ้ คอลัมน์ตอบปัญหาความรักในสไตล์คริสเตียนได้ทุกวัน อังคารสีชมพูววว์ หรือ ใครที่มีเรื่องความรักแน่นอก อยากให้พี่ชูใจช่วยยกออก ก็ Inbox เข้ามาได้จ้า <3
Related Posts
- Translator:
- W. Wanee
- นักแปลสาวสวยเสียงทอง ผู้ซึ่งอยากรับใช้พระเจ้าด้วยความสามารถด้านภาษาของเธอ งานใดที่ให้เธอรับผิดชอบ ไม่มีพลาดแน่นอน!
- Illustrator:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
- Editor:
- Rungwit K.
- คุณพ่อตาขีดเดียวของลูกชายวัยซน แต่ถึงจะเป็นพ่อคนก็ยังห่วงใยเยาวชนอยู่นะจ๊ะ เลยมาอาสารับใช้ร่วมกับชูใจไง