ผู้เขียน: Chevy
ผมจะขอเล่าถึงคำพยานเมื่อไม่นานมานี้ที่มีโอกาสได้ไปประเทศสิงคโปร์ด้วยพระคุณของพระเจ้า ที่รู้อย่างนี้ก็เพราะลำพังตัวผมเองนั้นไม่น่าจะสามารถเดินทางไปทริปนี้ได้ด้วยตัวเองแน่ แต่ผมมีพระเจ้าผู้สามารถทำได้ทุกอย่างคอยช่วยอยู่เบื้องหลัง
“ถ้าพระเจ้าจะให้ไป พระองค์ก็จะให้ไป’’
ประโยคนี้เป็นคำพูดของศิษยาภิบาลที่โบสถ์ตอนที่ผมเข้าไปขอคำปรึกษาและขอถวาย
เพราะในใจยังกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย…
ทริปค่อนข้างกะทันหันในครั้งนี้มีจุดเริ่มต้นจากเมื่อ 1 เดือนก่อน สตาฟ YFC (องค์การเยาวชนไทยเพื่อพระคริสต์) ศึกษาดูงานของ YFC ที่สิงคโปร์
แต่ความกังวลของผมในตอนนั้นมี 2 อย่าง
…
อย่างแรกคือบ่ายวันเดียวกันก่อนที่พี่สตาฟจะติดต่อมา ผมเพิ่งตอบตกลงรับเป็นล่ามให้ทีมต่างชาติของโบสถ์แห่งหนึ่ง ซึ่งวันที่ต้องออกเดินทางของทั้งสองงานเป็นวันเดียวกัน
“พระเจ้าต้องการอะไรจากผมกันแน่ ?”
ก่อนจะตอบรับงานแรก ผมได้อธิษฐานกับพระเจ้า ปรึกษาครอบครัวเสียเสร็จสรรพ และดูเหมือนทุกอย่างจะลงตัวพอดี จนผมก็มั่นใจว่าพระเจ้าให้โอกาสผมในการใช้ของประทานทางด้านภาษา แต่พอมีอีกงานติดต่อเข้ามาทันทีที่เพิ่งรับปาก ผมก็เริ่มลังเล ใจหนึ่งก็คิดว่าต้องรับผิดชอบงานที่ตกลงไว้ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากไปสิงคโปร์ แม้ว่ายังไม่มีอะไรแน่นอนสักอย่างว่าจะได้ไปจริงๆ ดังนั้นถ้าปฏิเสธงานแรกไป ก็อาจเสียโอกาสไปทั้งหมด
หลังจากวันนั้น ผมปรึกษากับครอบครัวและอธิษฐานซ้ำแล้วซ้ำอีก ก่อนจะตัดสินใจเข้าไปพูดคุยกับพี่ที่ติดต่องานล่ามไว้ บอกไปตรงๆ ว่าได้ข้อเสนอเป็นตัวแทนไปสิงคโปร์ในวันเดียวกันกับงานนี้ และสุดท้ายผมก็อยากขอยกเลิก ซึ่งคำตอบที่ได้จากพี่คนนั้นทำให้ผมโล่งใจ เขาบอกว่าเข้าใจสถานการณ์ของผมและยังซักถามด้วยความห่วงใยอีกว่าไปวันไหน เมื่อไหร่ ยังไง เตรียมพร้อมหรือยัง
“โอ้ยยยยพี่ครับ ขอบคุณที่เข้าใจ และยังเป็นห่วงผมอีก”
ขอบคุณพระเจ้าที่มอบความกล้าให้กับผมในการบอกความจริงทั้งสถานการณ์และความรู้สึกของตัวเอง เพราะมันดีกว่าการเก็บเงียบไว้ข้างในเยอะเลย
…
ความกังวลอย่างที่สองคือ ‘เรื่องเงิน’
“พี่ ผมตื่นเต้นมากที่มีโอกาสได้ไปสิงคโปร์
แต่ผมไม่มีเงินขนาดนั้น แล้วก็รับงานอื่นไว้ก่อนแล้วด้วย”
ก่อนจะขอยกเลิกงานล่าม ผมคุยกับพี่สตาฟ YFC ที่มาทาบทามในเย็นวันนั้น
บอกเขาไปตรงๆ ถึงปัญหาสองอย่างที่ติดขัด
“เงินไม่ใช่เรื่องใหญ่นะ งานของพระเจ้าไม่ใช่ว่าใครที่มีเงินก็ไปได้ ถ้าไปแบบไม่มีใจยังไงก็ไม่มีประโยชน์”
เขาตอบและหนุนใจให้ผมกลับไปอธิษฐานเพิ่มเติม
จากนั้นไม่นาน หลังอธิษฐานอยู่ช่วงหนึ่งความกังวลแรกก็สิ้นสุดลงด้วยดี แต่ความกังวลอย่างที่สองยังคงเป็นปัญหาใหญ่ ผมคิดไม่ออกเลยว่าจะหาเงินมาจากไหน ครอบครัวของผมมีกำลังสนับสนุนเต็มที่แค่ 4,000 บาท แต่ถึงอย่างนั้นคุณแม่ก็ยังพูดด้วยความมั่นใจว่า
“ไม่ต้องห่วง พระเจ้าจะจัดเตรียมให้ลูกเอง”
เมื่อถึงตอนประชุมสตาฟ เราก็ได้คำนวณค่าใช้จ่ายกันคร่าวๆ ระหว่างการเดินทางไปจำนวน 10 วัน ออกมาเป็นตัวเลขประมาณ 11,200 บาท… ขอบคุณพระเจ้า! ที่ใช้เพียงเท่านี้ในการกินอยู่ที่สิงคโปร์ก็เพราะเราไม่ต้องจ่ายค่าที่พัก ซึ่งประหยัดเงินไปได้เกือบครึ่งเลยทีเดียว อีกอย่างที่พระเจ้าดูแลก็คือผมไม่ต้องไปคนเดียว มีพี่อาสาอีกคนตกลงไปกับผมด้วย! และเราสองคนก็ตัดสินใจหาถวายร่วมกัน โดยเอาเงินที่ได้ทั้งหมดมาหารครึ่งกันใช้ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังกังวลว่าจะหาได้ตามจำนวนอย่างทันเวลาหรือเปล่า
พวกเราเริ่มติดต่อหาผู้ถวายที่รู้จัก เล่าเรื่องราวที่จะไปสิงคโปร์ให้พวกเขาฟัง ระหว่างนั้นผมก็อธิษฐานแทบจะตลอดเวลา เพราะกลัวว่าจะมีเงินไม่พอ แต่พระเจ้าก็ยกความกังวลทั้งหลายของผมออกไปและบอกให้ผมมั่นใจว่าพระองค์กำลังจัดเตรียมเส้นทางนี้ให้โดยผ่านครูคนหนึ่งที่สอนภาษาอังกฤษในสถานพินิจ
เรามีโอกาสได้รู้จักกันตอนที่เขาเข้าร่วมทีมประกาศประจำมหาวิทยาลัยของผม เราเจอกันเพียง 3 ครั้ง ซึ่งครั้งที่ 3 เป็นวันที่ผมขอให้เพื่อนในทีมอธิษฐานเผื่อการเดินทางไปสิงคโปร์ คืนนั้นเองเขาก็ทักผมมาทาง line เพื่อถามถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการไปศึกษาดูงานที่สิงคโปร์ 2-3 ชั่วโมงถัดมาเขาก็บอกผมว่าครอบครัวของเขามีภาระใจอยากถวายเงินให้ 5,000 บาท เห็นข้อความครั้งแรกผมตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าจะได้เงินก้อนใหญ่ในครั้งเดียว คิดในใจว่าจะมีใครที่ไหนยอมควักเงินให้กับคนที่เพิ่งรู้จักกันแค่ 3 วัน วันละ 2 ชั่วโมง
รู้สึกขอบคุณพระเจ้าอย่างบอกไม่ถูก พระเจ้าของผมฟังผม และคอยช่วยผมอยู่จริงๆ มันทำให้ผมเข้าใจพระคัมภีร์ข้อหนึ่งได้ลึกซึ้งขึ้น
“ดังที่มีเขียนไว้ว่า
สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่ใจมนุษย์คิดไม่ถึง
คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนทั้งหลายที่รักพระองค์”
( 1 โครินธ์ 2:9 )
เส้นทางที่พระเจ้าจัดเตรียมให้เริ่มชัดเจนมากขึ้น มีผู้ถวายเพิ่มเติมเข้ามาเรื่อยๆ
จนรู้ตัวอีกทีจำนวนเงินก็ใกล้จะถึงเป้าหมายที่วางไว้
ใกล้จะเดินทางแล้วยังขาดอีก 2,000 บาท ด้วยปัญหาทางเทคนิคที่ทำให้เงินส่วนนี้ส่งจากผู้ถวายมาล่าช้า ความกังวลเข้าโจมตีผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ เพราะในใจลึกๆ ของผมมีความเชื่อว่า
“ถ้าพระเจ้าจะให้ไป พระเจ้าจะให้ไป”
…
สุดท้ายแล้วส่วนที่ขาดก็มาทันเวลาพอดิบพอดี ระหว่างเดินขึ้นเครื่องบินผมก็บอกกับพระเจ้าว่า
“ข้าอยู่ตรงนี้ โปรดใช้ข้าไป”
จนตอนนี้ที่ผมนั่งอยู่บนเครื่องบินก็ยังอดยิ้มให้พระเจ้าไม่ได้เลยจริงๆ แม้ผมจะมองไม่เห็นพระองค์ แต่ก็รู้ว่าพระองค์อยู่ตรงนี้ ผมเห็นพระองค์ผ่านเพื่อนๆ ครอบครัว ผู้เชื่อที่คอยหนุนใจ คอยอธิษฐานเผื่อ และถวายเพื่อผม
.
ขอบคุณพระองค์เหลือเกินสำหรับแผนงานทั้งหลายที่มอบให้
และการดูแลที่เป็นพระคุณอย่างล้นเหลือ
#ชูใจชวนแชร์ เพราะเรารู้ว่าทุกคนมีเรื่องเล่า… ชูใจจึงชวนมา ‘ส่งต่อ’ เรื่องราวที่พระเจ้าทรงทำในชีวิตของคุณเพื่อ ‘ชูใจ’ คนอื่นต่อไป ( <3 อ่านรายละเอียดได้ที่ >> https://choojaiproject.org/choojai-forward/ )
Related Posts
- Illustrator:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
- Editor:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน