EP.4

ชอบเค้าเราจะเริ่มตรงไหนดี [2/2]


เจเจ้ : บทความนี้เป็นตอนต่อจาก >>> ชอบเค้า…เราจะเริ่มตรงไหนดี ตอนที่ 1
หากชาวชูใจคนไหนยังไม่ได้ผ่านด่านแรก ไปอ่านก่อนนะ เจเจ้รอได้ ^_^



ส่วนคนที่อ่านตอน 1 แล้วมามึนกันรอบสองเลยค่ะ เริ่ม!

 

Q4 ลองคบ ลองคุยกันก่อนได้ไหม?

 

ลองคบ….

คำว่าลองคบกัน เจเจ้เดาว่าผู้ถามก็คงยังไม่มั่นใจ แต่จะลองคบกันมันก็แปลว่า เราตกลงเป็นแฟนกันละเน้อ ไม่ใช่ก็เลิกกันแบบนี้อ่ะ ไม่ได้แปลว่าคบเล่นๆ ถูกป่ะ? คือถึงแม้เราไม่แน่ใจ แต่เราตัดสินใจทั้งๆ ที่ยังไม่แน่ใจ ซึ่งมันไม่ได้ผิดแต่ก็ถือว่ามีแอ๊คชั่นเกิดขึ้นแล้ว เราเริ่มสร้างสะพานกันแล้วถึงจะเป็นสะพานไม้ สะพานเชือกก็เถอะ เราก็ทำเป็นเล่นๆ ไม่ได้นะ #เข้าใจตรงกันนะ เพราะสุดท้ายแล้วคำตอบก็คือ “คบหรือไม่คบ” อยู่ดี ปลายทางไม่ต่างกันจ้าาาา

 

ลองคุย…

“การคุย” ในที่นี้ เจเจ้ขอนิยามคำว่า “คุย” สักหน่อย เพื่อให้ระดับความเข้าใจของคำว่า “คุย” ระหว่างเราตรงกัน จากที่เจเจ้ไปถามๆ มา ทั้งจากหน้าแฟนเพจชูใจ ในพันทิป หรือจากคนรอบตัว…

 

  1. คือ… อยากทำความรู้จักกับคนนี้ มีแนวโน้มว่าจะชอบ ยังตัดสินใจไม่ได้อร้าาา
  2. คือ… จีบ หรือ เปิดทางให้จีบ
  3. คือ… เป็นขั้นก่อนจะเป็นแฟน และยังไม่อยากเปิดเผย
  4. คือ… การใช้เวลาทำความรู้จักกับคนๆ นั้น ด้วยความถี่ประจำสม่ำเสมอในระยะเวลาหนึ่ง ไม่ว่าจะไลน์ Beetalk Facebook IG โทรศัพท์ หรือแม้แต่นัดเจอกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน
  5. คือ… ถ้าคุยแล้วไม่คลิ๊ก จะหยุดคุยก็ไม่ผิดนะ

 

บางคนบอกด้วยว่า การคุยหลายคนพร้อมกันเป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะคุยก็คืออยากทำความรู้จัก แต่บางคนก็บอก ไม่ได้นะ คุยได้ทีละคน คุยพร้อมกันนิสัยไม่ดีย์ โอ้ยยยยย ทำไมคำนี้มันสองมาตรฐานจัง?!

 

“ลองคุย” ไม่ใช่ศัพท์สากล แต่เมื่อเรา “คุย” ก็แปลได้ว่า นี่เป็นช่วงระยะฟักตัวก่อนแกรนด์โอเพ่นนิ่งจะเป็นแฟนกัน หรือสำหรับบางคนเป็นช่วง ‘คัดตัว’ ก่อนจะเข้ารอบ Final ดังนั้นถ้าจะถามเจเจ้ว่า ลองคุยได้ไหม? ไม่รู้วววววว รู้แต่คุยกันไปแล้ว เอ๊าาาาา ถ้าเข้าไปคุยกับเค้า มันคือการลงมือทำไปแล้วไงอ่ะ! ดังนั้น เวลาที่ใช้คำว่า “ลองคุย” “คุยๆ” จึงเป็นอาการของความไม่แน่ใจเฉยๆ เช็คๆ วันทูๆ

 

แต่ๆๆ  ขอไฟสปอร์ทไลท์ฟอลโล่ เฮลโหล๋ ฟอร์มดิอาเต้อไซ้ หน่อยย เพื่อจะได้ไม่เกิดการอัศจรรย์!!

 

via GIPHY

 

เราต้องรู้ตัวเองว่า เฮ้ย นี่เรากำลังคุยกับคนๆ นี้อยู่นะ และถ้าเรามีท่าทีเล่นๆ ไม่จริงจังล่ะก็ กดปุ่มพอส (หยุด) ก่อนมั้ย แล้วก็ค่อยมาตัดสินใจ ว่าจะ หยุดๆ !!! การที่เราไม่ได้จะจริงจังกับเขาตั้งแต่แรก และเราใช้คำว่า “ลอง” อาจทำให้เราเจ็บน้อยลงเมื่อเราอยากจะออกมา แต่คนที่เราได้ทดลองคุยด้วยนั้น อาจเจ็บแค้นเคืองจนกลายเป็นดราม่าได้ในเวลาต่อมา ซึ่ง… ตัวใครตัวมันเด้อค่ะเด้อ! เอ๋! วิ่งดิเอ๋ๆๆๆ

 

 

สำหรับคนที่เราเข้าไปทำการ “ทดลองคุย” ด้วย ไม่มีใครชอบที่จะเป็นหนูทดลองของความสัมพันธ์หรอก ดังนั้น ถ้ายังไม่มั่นใจว่าจะเป็นแฟน และอยากลองคุยดู อย่างน้อยก็ต้องสร้างความ “ชัดเจน” ว่า อยากศึกษา และรู้จักกันให้มากขึ้น และถ้ายังไม่แน่ใจ อยากรู้จักแต่ไม่อยากหักอก หมายถึง อยากรู้จักให้มากขึ้นกว่านี้ แต่ถ้าคุยไปสักพักแล้วเราไม่อยากไปต่อ แต่ไม่อยากทำร้ายเค้า ก็ไม่ควรคุยกันส่วนตัวๆ ไปไหนๆ ให้ของๆ  เพราะมันก็จะก้าวข้าม กฎ 3 ไม่สิ!!

 

งั้นเรามาลองทำการทดลองวิทยาศาสตร์ เพื่อหัวใจจะสูบฉีดอย่างพอเหมาะไม่เกิดการทำร้าย

1. การสังเกต คุยเป็นเพื่อน เป็นพี่แบบทั่วไป ไปไหนไปเป็นกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขงงงงง

2. ตั้งสมมุติฐาน อะไรที่ดูแล้วน่าจะเป็นปัญหาเมื่อคบกับเราจริงๆ แล้วเรารับได้มั้ยล่าา?

3. รวบรวมข้อมูล-สรุปผล  เอาละๆ จะเข้าไปคุย (จีบ) แล้วนะ ไอแอม เรดี้ 5-4-3-2 โก!

 

แต่่ช่วง “ลองคุย” นี้ ถ้าเป็นไปได้ก็ควรมีขอบเขต ดังที่หมูกระทะจะเยียวยาทุกอย่างเอง เวลาก็เช่นกัน

การที่เราคุยกันอยู่ มันไม่ได้เป็นแฟนเพราะเราแค่ยังไม่ตัดสินใจ แต่ถ้าการกระทำแทบไม่ต่าง ก็ควรจะเลิกใช้คำว่าคุย และเริ่มเป็นแฟนกันซร้ะะะ (ถ้าเรามั่นใจ) แต่ก็ไม่ควรเลี้ยงไข้ไปเป็นหลายปี หมักเป็นน้ำหมักป้าเช็งกันไปเลย! แล้วแต่คู่นะ บางคู่ก็ 3 เดือน 6 เดือน ก่อนจะหมักดองกันได้ที่ และตัดสินใจแกรนด์โอเพ่นนิ่งกัน

 

สรุป! ลองคบไม่มี มีแต่คบเลย ปลายทางของ ‘ลองคบ’ กับ ‘คบ’ ก็คืออันเดียวกัน ส่วน ‘ลองคุย’ (นี่ก็ไม่มีหรอก) เป็นเพียงคำพูดของความไม่แน่ใจ แต่ไม่อนุญาตให้หงายการ์ดนี้ตอนจบ เพื่อจะบอกว่า โอ้ว ที่ผ่านมานั่นแค่ example!! ให้ชัดเจนตั้งแต่เริ่มคุยว่า คำนิยามของการคุยของเรากับเค้ามันตรงกันรึเปล่า? การคุยของเราเพื่อแค่ทำความรู้จักให้มากขึ้นใช่ไหม? กำหนดขอบเขตของเวลาที่ชัดเจน ว่าจะคุยนานแค่ไหนหรือนี่เริ่มจีบเริ่มคบกันแล้ว? จำไว้นะจ๊ะว่า… จะกัดกี่สี ก็ไม่มีดราม่า ด้วยความชัดเจน!

 

Q5 คุยหลายคนได้ไหม?

 

ต้องถามก่อนว่า เราทำแบบนี้เพราาาาาาะอะไร? และเพื่อออออะไร?

 

การคุยหลายๆ คนเพื่อที่ไม่ใครคนใดคนนึงใช่มั้ยที่จะผ่านเข้ารอบ? คือยังไม่รู้ว่าคนไหนดีเลยเซฟเก็บเป็นคอลเลกชั่นไว้ก่อนงี้ป่าว?  หรือเราคิดว่ามันเสียเวลาก็เลยคุยรวดเดียว จะได้เทียบกันดูว่าชอบแบบไหน จะได้คบคนเดียวแต่งเลย! หวั่ยตั้ยแหล๊วววว! ไม่เอานะคนดี เพราะคนที่เข้ามาเล่นในเกมของเรา เค้าอาจไม่สนุกด้วย เวลาและความสัมพันธ์เป็นสิ่งมีค่าของทั้งสองฝ่าย และมันก็คุ้มที่จะใช้เวลาอันมีค่าเพื่อทุ่มเทกับความสัมพันธ์อันล้ำค่า (โดยเฉพาะกับพระเจ้าของเรา)

 

ดังนั้น ถึงจะคุยได้สองจอ แต่ก็อย่าสองใจสิจ๊ะ!

 

ทีนี้หลายคนอาจถามเจเจ้ว่า อ้าว ก็ช่วงจีบๆ มันกำลังดูๆ อยู่ไงว่าเราจะชอบคนนี้จริงๆ มั้ย? เราจะรู้จักเค้ามากขึ้นได้ไงถ้าไม่คุยด้วย? ถ้าจะตัดสินใจเป็นแฟนกันแล้วไม่เคย ไปไหนมาไหนด้วยกัน โทรคุยกัน พูดคุยกันสองคน จะรู้ได้ไงล่ะว่าคนนี้โอเคแล้ว?

 

เอางี้ไหมล่ะ ถ้าไม่แน่ใจว่าใช่ไหม เจเจ้ก็แนะนำช่วงก่อนคุยเอาป้ะ?

 

ตาดู  

ดูสิ๊! นิสัยเค้าเป็นไง ข้อเสียคืออะไร สังเกตุนิ้สสสนุง การสังเกตุเพื่อความแน่ใจ ทำได้ทั่วๆ ไป เช่น

  • เค้ามีภาวะอารมณ์เป็นผู้ใหญ่พอมั้ย?
  • นอกจากความน่ารักทะลุแป้ง เค้ายังมีดี-มีเสียอะไรบ้างที่คนอื่นรู้ แต่เราไม่รู้?
  • เค้ามีชีวิตที่รู้จักพระเจ้ามั้ย? (ไม่ใช่แค่รู้เรื่องพระเจ้า ไปโบสถ์แต่ตัวนะ)
  • เค้ายอมจำนนกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวหรือไม่?

เห็นมะ เรื่องอย่างงี้ มันต้องใช้ใจดู!!! เห็นยังๆ?

 

ใช้หมอง นั่งมาธิ

ก่อนจะเปิดฉากคุย หรือถ้าไม่รู้จักเค้าจริงๆ อาจจะเป็นคนต่างโบสถ์ หรือพึ่งเจอกันในค่าย ลองถามคนรอบข้าง และอธิษฐานถามพระเจ้าสักระยะหนึ่ง เหตุผลดีๆ สำหรับการอธิษฐานอย่างเดียวโดยยังไม่เริ่มจีบ อุ๊บส์ ไม่ใช่ๆ เริ่มคุยสิ ก็คือการคิดให้ดีๆ ก่อน ตั้งสติก่อนสตาร์ท เปิดไฟใส่หมวก ลองถามคนรอบข้างเค้าก่อน เช็คตัวเองให้แน่ใจก่อนว่าชอบเขาเพราะอะไร

 

แต่ถ้าถามว่า มองปร้าดดดดเดียว แล้วมันใช่จะจีบได้มั้ย? ตอบเลยว่า ก็แล่วแต๊!

 

แต่!!!  ห้ามมาบ่นให้ฟังนะว่า  “เจเจ้ ทำไมเค้าเปลี่ยนไป๋อ่ะ!? ตอนแรกๆ ก็ดีทุกอย่างเลย” (มองบน) ก็แหงดิ ใครจะมาผ่าไส้ให้ดูไตแต่แรกกันเล่าาาา ก็การที่เค้าให้ลองสังเกตุดูก่อนหงายการ์ด “ขอจีบ” เนี่ย เพราะฮอร์โมนเราพลุ่งพล่านอยากด่วนจะเข้าไปจีบ เข้าไปคบ แต่ไม่ค่อยได้ใช้สติว่า เฮ้ย เรายังไม่ค่อยรู้จักเค้าดีพอเลยนะ ถ้าเกิดเค้าไม่เป็นอย่างที่เราคิดล่ะ กลับตัวก็ไม่ได้ เดินต่อไปก็ไม่ถึงนะยูว!

 

สุดท้ายนี้ เคยบอกไปในบทก่อนๆ ว่า ไม่มีใครที่ดีที่สุดในโลกนี้ แต่เรารักกันให้ดีที่สุดในโลกนี้เพื่อจะเป็นพี่น้องกันนิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์นะ แม้พอคบไปสักพักแล้วเค้าจะมีนิสัยไม่น่ารัก แต่อ้าวเฮ้ยยย เราก็มีเหมือนกันนี่เนอะ! 555 ไม่ว่าจะเริ่มมายังไงแต่เมื่อคบกันแล้ว เราทั้งสองเป็นพระพรให้กับผู้พบเห็นหรือไม่? เราทั้งสองยิ่งรักกันและกัน และสำแดงความรักของพระเยซูคริสต์อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นทุกวันรึเปล่า? อันนี้ไม่ขึ้นกับนิสัย แต่ขึ้นกับวินัยชีวิตกับพระเจ้าทุกวันนะ เพราะนิสัยเราเปลี่ยนแปลงใหม่ได้ในพระเยซู อาเมนสิยะ รอไร!!

 

สรุป! แทนที่จะคุยหลายคนพร้อมกันเพื่อเป็นการทำความรู้จัก เปลี่ยนเป็นสังเกตุหลายๆ คนพร้อมกันแทนไหม สอบถามคนรอบตัว หนึ่งสมอง สองมืออธิษฐาน ตาดู หูฟัง ก่อนจะเริ่มคุยกับใครสักคนดีไหม?

 

Q6 แอบคบได้ไหมถ้ายังไม่มั่นใจ?

Q7 ต้องแคร์เรื่องคนรอบข้างยังไงบ้าง? ต้องบอกใครบ้าง? จำเป็นไหมต้องบอก?

 

เมื่อคบก็ยังไม่ได้จบ The end! จบบริบูรณ์แต่อย่างใด ช่วงการคบหาดูใจ ขั้นนี้ก็ไม่ได้ง่ายเพราะหลายๆ คู่ก็อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ท่ามกลางชุมชนผู้เชื่อที่ต่างกัน ทำต่อหน้าทุกคนให้เหมือนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ถ้าเราแคร์พระเจ้า เราจะแคร์ผู้อื่น คนที่เราควรบอก คือคนที่เราจะปรึกษาเรื่องราวของเรา เจเจ้คิดว่าควรมีที่ปรึกษา ทั้งก่อน ระหว่าง และตลอดระยะเวลาของการครองคู่ เพราะการมีผู้ที่คอยสนับสนุนเราอีกทาง จะเป็นดังกระจกสะท้อนพระพรจากการมีชีวิตคู่ของเรา ไม่ว่าจะตามมาตรฐานพระคัมภีร์ หรือบริบททางสังคม

 

แต่ถ้ายังไม่มั่นใจ และจะแอบคบกัน (Q6) มันก็จะเหนื่อยๆ หน่อย คือเรากำลังคุยๆ กัน เป็นแฟนกันลับๆ เพราะไรแว้? สำหรับกรณีนี้ ก็ไม่ต่างจากการจุดพลุปั๊งงง คือรีบคบกัน แล้วหายวั้บบบไป  ดังนั้น อย่าใช้สเตตัสแอบคบเลยนะ เพราะเหมือนเรากำลังทำผิด คือถ้ายังไม่มั่นใจทั้งคู่ ก็อย่าพึ่งรีบเป็นแฟนกันมั้ย? อย่าพึ่งรีบมี 3 ไม่* เพราะมันอาจจะสร้างความสับสนในชุมชนและต่อคนที่เรากำลังคบแบบแอบๆ อยู่ ทำไรผิดป่าวถึงต้องแอบ? แอบคบซ้อนป่าวอ่ะถึงไม่กล้าเปิดเผย? ถ้ามันไม่ผิดอะไร ก็ชัดเจน ใจใจเปิดเผยให้คนอื่นรับรู้ไปเล้ย

 

ขุ่นนนผู้ชมคะ!!! ที่จริงแล้ว จุดประสงค์ของการแต่งงานก็คือแบบนี้นะ เมื่อคนอื่นรับรู้เค้าก็จะอธิษฐานเผื่อเรา คอยอุ้มชูดูแล ระมัดระวัง และ… (อย่าลืมขีดเส้นใต้นะคะพี่ชูใจ) เราจะไม่สามารถไปฉอเลาะ หรือไปคุยๆ กับคนอื่นแล้วบอกว่าเป็น “พี่ชายน้องสาว” กับใครคนอื่นได้อีก เพราะ…

 

ใครๆ ก็รู้ว่าเรามีคู่แล้วไง ปั๊ดโถ๊!!!

 

ดังนั้นการแอบคบกัน มันคือการเปิดช่องว่างให้ใครอีกคนเข้ามา มันคือความไม่จริงใจ และเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ค่อยสวยสักเท่าไหร่ แต่ถ้าแอบคบเพราะอีกคนมีแฟนอยู่? เพราะผิดกฎโรงเรียน ผิดกฎหมาย ผิดกฎจราจร เจเจ้ก็อยากแนะนำอย่างที่กล่าวไปข้างต้น เราอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในการคบกันหรือไม่? ถามใจกันดูววววว

 

สรุป! เพราะเราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว เรามีครอบครัว มีพี่น้องคริสเตียนที่ต้องแคร์ ดังนั้นการบอกกล่าวคนสำคัญของเรา เพื่อให้เขาช่วยกลั่นกรองและตรวจสอบเราไปในขณะที่คบกัน และ ไม่มีนะจ๊ะ แอบคบ ถ้าอยากคบก็ต้องแสดงความจริงใจด้วยการเปิดเผยจ้า แต่ถ้าไม่ชัวร์ก็ไม่ต้องรีบจ้า

 

อยากจะพูดแบบปัญญาจารย์ 12:13 “จบเรื่องแล้ว ได้ฟังกันทั้งสิ้นแล้ว จงยำเกรงพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เพราะสิ่งนี้เป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเอาการงานทุกอย่างเข้าสู่การพิพากษาพร้อมด้วยสิ่งเร้นลับทุกอย่าง ไม่ว่าดีหรือชั่ว”

 

ขอให้เราทำทุกสิ่งเหมือนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ให้ชัดเจน และสัตย์ซื่อ รับรอง… ชีวิตคู่ที่เริ่มต้นดี จะไม่มีดราม่าแน่นอน คอนเฟิร์ม!

.

ด้วยรัก และดูใจ

เจเจ้ มึนดีจุง ภาคสอง


ติดตามคอลัมน์ Love Coach ตอนคำถามมหาชนกับเจเจ้ที่ตอบทุกข้อสงสัยที่น้องๆ อยากรู้ ได้ทุกวันอังคาร เวลา 1 ทุ่มตรงนะจ๊ะ ^^ เลิฟยูวววว์


Previous Next

  • Author:
  • โค้ชเจเจ้ : ผู้คร่ำหวอดในวงการให้คำปรึกษาน้อง ๆ วัยวุ่นเรื่องหัวใจ มี passion และภาระใจในการรับใช้พระเจ้าด้านให้คำปรึกษากับวัยรุ่น เจเจ้บอกว่า "งดฝากร้าน แต่ฝากปัญหาหัวใจไว้ให้ปรึกษาได้จ้าาาา"
  • Illustrator:
  • tumtim
  • เด็กสาววัยรุ่นพึ่งจบจิตวิทยามาหมาดๆ แต่มุ่งมั่นตั้งใจจะทำงานสายกราฟิก เธอผู้ยังหาค้นหาตัวเองคนนี้มีความสามารถมากมายที่ตัวเองไม่มั่นใจอยู่ตลอดเวลา เลยเจอพี่ชูใจจับมาใช้งานให้มั่นใจซักทีว่าตัวเองมีของ
  • Editor:
  • Jick
  • บก.ชูใจ ผู้ใฝ่ฝันจะชูใจน้องๆ จากความพลาดของตัวเอง