แด่พระคัมภีร์เล่มแรกของผม…
“ข้าพระองค์ได้สะสมพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจของข้าพระองค์”
(สดุดี 119:11)
ย้อนกลับไปสมัยมัธยมที่ยังเป็นผู้เชื่อใหม่ ที่โรงเรียนของผมจะมีการแจกพระคัมภีร์กีเดี้ยนเล่มสีฟ้า ซึ่งเป็นพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ ด้วยความที่ผมเรียนในโรงเรียนคริสเตียนตั้งแต่อนุบาลผมจึงมักได้ยินเรื่องราวของพระเจ้าอยู่ตลอด ตั้งแต่เริ่มเปิดใจต่อเรื่องราวของพระเจ้าจนถึงวันรับเชื่อผมก็มีพระคัมภีร์เล่มสีฟ้า ราว 5 เล่ม (ทั้งที่ได้รับแจก และของพี่น้องคนอื่นๆ ที่ได้รับแจกเหมือนกัน) แต่ทุกเล่มก็เริ่มต้นที่มัทธิวลงท้ายที่วิวรณ์…
_____________________
ในบรรดาคนที่รับเชื่อรุ่นๆ เดียวกัน เรียกได้เลยว่าผมเปิดพระคัมภีร์ไวที่สุด และกล้าบอกได้อย่างไม่อายเลยว่าผมค่อนข้างแม่นยำในการเปิดพระคัมภีร์ แต่พระคัมภีร์ที่เปิดก็เป็นของห้องอนุชนไม่ใช่ของเรา เมื่อใกล้วันครบ 1 ปีของการรับเชื่อ ผมจึงตั้งปณิธานกับตัวเองว่า “ถึงเวลาซะทีที่เราจะมีพระคัมภีร์เล่มเต็มๆ เป็นของตัวเอง” ผมอ่านพระคัมภีร์ใหม่จบไป 3 รอบแล้ว และมันก็หนามากพอที่เราควรจะเริ่มได้มีโอกาสอ่าน ครึ่งที่เหลือ … พอคิดได้แบบนั้นผมตั้งใจว่าจะซื้อพระคัมภีร์เป็นของขวัญให้ตัวเอง
สิ่งที่ผมทำคือ ตั้งใจกับพระเจ้าว่าจะเก็บเงินให้ได้ครบ 1,000 บาท และเดินไปที่ร้านเพื่อหยิบพระคัมภีร์ปกหนังสีดำขลับ แบบมีซีบขอบสีทอง ที่เรียกได้ว่าดีไซน์เท่สุดๆ ในตอนนั้น แบบเดียวกับที่ ศบ. ใช้เลย
ด้วยความที่เป็นคนหักดิบเรื่องการใช้จ่ายบ่อยๆ และเก็บเงินเก่ง เวลาผ่านไปไม่กี่เดือนผมก็บเงินได้ 1,000 บาท อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่บางทีความตั้งใจก็ไม่ได้สำเร็จง่ายๆ ขนาดนั้น เมื่อวันที่นัดกับพี่เลี้ยงจะไปร้านหนังสือคริสเตียนแต่พี่เลี้ยงกลับไม่ว่างขึ้นมาซะดื้อๆ ทำให้ผมต้องเลื่อนแผนออกไป 1 อาทิตย์ ด้วยความที่หิวและอารมณ์เสียเบาๆ ก็เลยตัดสินใจไปเดินห้างคนเดียว และขอยืมเงินนั้นจากซองไปกิน KFC ก่อนพลางๆ
ไม่ทันได้รู้ตัวเงินดีจำนวนนั้นก็ถูกยืมไปหมุนอีกเป็นพักๆ จนเหลือแต่เศษเหรียญในซองเปล่า ในขณะที่ใกล้ครบรอบ 1 ปีในการรับเชื่อ … โธ่ๆๆๆ
ผมตั้งใจเก็บเงินอีกครั้ง แต่ก็มีเหตุจำเป็นให้ต้องใช้เงินจนไม่สามารถเก็บได้ทัน แผนการซื้อพระคัมภีร์เป็นของขวัญให้ตัวเองจึงต้องพับไปอย่างเศร้าๆ เมื่อมีเพื่อนถามเรื่องการเก็บซื้อพระคัมภีร์เงินผมจึงได้แต่ ตอบส่งๆ ว่ายังไม่ซื้อ และชวนเพื่อนไปกิน KFC ย้อมใจ (KFC นี่ร้ายจริงๆ)
ตอนช่วงสายของวันเสาร์หนึ่งซึ่งผมไปรับใช้ในพันธกิจเด็กที่โบสถ์ พี่สาวคนหนึ่งที่เป็นผู้เชื่อใหม่รุ่นเดียวกันเดินเข้ามาพร้อมกับบางอย่างในมือของเธอ เธอขอคุยเป็นการส่วนตัวกับผมที่ระเบียงห้องอนุชน
“พี่มีบางอย่างจะให้ อะนี่…” เธอยื่นซองสีขาวซองใหญ่ให้ มันคือเงินแน่นอนผมรู้ทันที
“พี่ให้ผมทำไมครับผมรับไว้ไม่ได้หรอก” ทั้งๆ ที่ปากบอกอย่างนั้นในใจก็แอบคะเนว่ามันมีแบงค์อะไรในนั้นบ้างนะ เท่าไหร่น้ออออออ ^^
“พี่ไม่จำเป็นต้องใช้มัน… รับๆ ไปเถอะ คือพี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พระเจ้าบอกกับพี่ว่า เราจำเป็นต้องใช้มัน” นั่นคือสิ่งที่เธอตอบกลับมา ผมกล้าๆ กลัวๆ ที่จะรับเพราะถ้าเป็นอย่างที่ผมคิด มันจะเป็นเงินจำนวนมากโขสำหรับทั้งเธอและเด็กมัธยมอย่างผม ทว่ารอยยิ้มที่จริงใจและความมั่นใจว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญชัดเจนอยู่ในใจของผม ผมรับซองสีขาวนั้นไว้และค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ หัวใจของผมเต้นตุบตับ มือเย็นนิดหน่อย ด้วยความลุ้นๆ
…
แบงค์ 1,000 สีเทาสภาพใหม่ๆ เหมือนพึ่งออกจากแท่นพิมพ์กำลังยิ้มหวานให้กับผม มันคือเงินจำนวนเดียวกันที่ผมเคยเก็บจนได้ครบ ก่อนที่จะแปรสภาพไปเป็นไก่ทอด 2 มื้อใหญ่ๆ ผมยิ้มรับซองนั้นไว้โดยดีเพราะรู้ว่า นี่ไม่ใช่เงินของเราสองคน แต่มันเป็นเงินที่มาจากพระเจ้าที่เป็นพ่อของพวกเรา ผมเล่าเรื่องความตั้งใจของผมให้พี่สาวคนนั้นฟัง และเธอก็ยินดีกับผมด้วยที่ผมจะได้มีพระคัมภีร์ของตัวเองซะที
_____________________
เรื่องราวของพระคัมภีร์เล่มแรกของผมยังไม่จบแค่นั้น เพราะผมได้มาพบว่า พระคัมภีร์หนังสีดับขลับขอบทองรุ่นมีซิบที่ผมเฝ้าฝันว่าต้องเป็นเวอร์ชั่นนี้เท่านั้น ราคาไม่ใช่ 1,000 บาทถ้วน แต่เป็นพันกว่าๆ
ในร้านเหลือแค่เล่มเดียวเท่านั้นครับ แต่คุณพี่เจ้าของร้านบอกกับผมว่า “เล่มนี้เล่มสุดท้ายพอดี งั้นพี่ลดให้เราเหลือ 1,000 พอดีก็แล้วกัน” วินาทีนั้นเรื่องราวทั้งหมดแล่นเข้ามาในหัวเหมือนภาพฉายซ้ำ มันคุ้มค่ายิ่งกว่า TV direct ซะอีก เพราะว่ามันพิเศษเฉพาะเราเท่านั้น เล่มสุดท้ายพอดิบพอดี
เราสามารถซื้อพระคัมภีร์โดยที่เราไม่ต้องใช้เงินตัวเองซักบาทในราคาที่ลดพิเศษ
และเหลือเล่มเดียวได้ยังไงกัน?
พระเจ้าบอกกับผมว่า นี่ไม่ใช่ของขวัญครบ 1 ปีที่ผมตั้งใจซื้อให้ตัวเอง… เพราะถ้าผมซื้อมันด้วยตัวเองคุณค่ามันจะไม่ได้เท่าเล่มนี้ที่พระเจ้าเป็นคนซื้อให้ มันคือของขวัญล้ำค่าที่พระเจ้ามอบให้ผม
ความอ่อนแอ หรือความบกพร่องของเรา ไม่สามารถล้มเลิกแผนการอันดีเลิศที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเราได้ ถ้าพระเจ้าจะประทานให้แล้ว เราก็จะได้รับอยู่ดีแม้ว่าเราจะคิดว่าเราสมควรที่ได้รับหรือไม่
พระคุณของพระเจ้าที่ให้กับเราใครจะมาแย่งไปก็ไม่ได้
ไม่ใช่เพราะว่าเราคู่ควรแต่เพราะพระเจ้าพอพระทัย
ถ้าถามว่าผมรักพระคัมภีร์เล่มนี้มากไหม…ผมตอบได้เต็มปากว่า “ไม่เลยครับ” เพราะผมรักพระเจ้าของเรามากกว่า เราคริสเตียนไม่ได้เป็นเจ้าของหนังสือวิเศษ แต่เราได้เป็นของพระเจ้าผู้แสนวิเศษ และได้เป็นคนพิเศษของพระองค์ ในอนาคตเราอาจต้องเปลี่ยนพระคัมภีร์เล่มใหม่ แต่ความรักของพระเจ้าจะไม่เก่าลงเลย เพราะว่า…
“พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิมทั้งวานนี้ และวันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์”
(ฮีบรู 13:8)
#ชูใจชวนแชร์ เพราะเรารู้ว่าทุกคนมีเรื่องเล่า… ชูใจจึงชวนมา ‘ส่งต่อ’ เรื่องราวที่พระเจ้าทรงทำในชีวิตของคุณเพื่อ ‘ชูใจ’ คนอื่นต่อไป ( <3 อ่านรายละเอียดได้ที่ >> https://choojaiproject.org/choojai-forward/ )
Related Posts
- Author:
- Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)
- Illustrator:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน