ซีรีส์ : กว่าถั่วจะเป็นดาว
ตอนที่ :  6/6
อ่าน ‘กว่าถั่วจะเป็นดาว’ ทุกตอนได้ที่ : https://choojaiproject.org/category/articles/life-series/when-god-guides-me-to-be-a-farmer/


และแล้วฤดูมรสุมก็สิ้นสุดลง
มรสุมครั้งใหญ่ครั้งแรกในเส้นทางของเกษตรกรของฉันได้ผ่านไปแล้วด้วยความอดทนและคำอธิษฐาน
และเมื่อเมฆหมอกแห่งปัญหาได้ผ่านไป ก็ถึงเวลาที่ฉันต้องจัดการกับผลผลิตครั้งแรกของถั่วดาว

 

____________________

 

ตอนนี้ฉันมีเมล็ดถั่วดาวที่กะเทาะออกจากฝัก ชั่งกิโล แล้วบรรจุลงกระสอบ กระสอบละ 15 กิโลกรัมแถมยังมีเมล็ดที่ยังรอการกะเทาะอีกหลายตะกร้า รวมแล้วกว่าร้อยกิโลกรัมวางเรียงรายอยู่ แปลงสภาพโรงจอดรถของบ้านยายเป็นโรงเก็บเจ้าถั่วดาวไปแทน

 

ตามปกติแล้วเกษตรกรที่ปลูกถั่วดาวมักจะทำสัญญากับบริษัทจากจีนเพื่อง่ายต่อการหาเมล็ดพันธุ์และการขาย โดยบริษัทจากจีนจะส่งเมล็ดมาให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และเมื่อได้ผลผลิตแล้วก็ส่งไปขายที่บริษัทนั้นๆ ตามราคาที่ตกลงกันเอาไว้ในตอนแรก ถึงแม้อาจจะได้ไม่มากแต่ก็มั่นใจได้ว่าจะมีคนรอซื้อผลผลิตที่ลงแรงปลูกไปอย่างแน่นอน แต่ในกรณีของฉัน ฉันคุยกันในครอบครัวก่อนที่จะเริ่มลงมือแต่แรกแล้ว และพ่อก็แนะนำว่าไม่ให้ทำสัญญาเพราะจะทำให้เราผูกมัดตัวเองไว้กับอนาคตที่เราไม่รู้ ถั่วดาวของเราจึงทำกันแบบอินดี้ โดยสั่งซื้อเมล็ดมาปลูกเอง ลงทุนเอง พอจะขายเลยต้องมาหาตลาดเองด้วย

 

 

ช่วงแรกฉันลองค้นหาพ่อค้าที่รับซื้อถั่วดาว มีหลายเจ้าที่ให้ราคาดีเพราะจะส่งออกไปยังตลาดแถบอเมริกา แต่พอติดต่อไปกลับถูกปฏิเสธว่ายังไม่เปิดรับออเดอร์ ซึ่งหากเปิดรับซื้อแล้วจะติดต่อมาอีกที ไม่ว่าฉันจะเพียรโทรไปกี่เจ้า ก็ถูกปฏิเสธกลับมาทั้งหมด แถมราคารับซื้อที่ว่านั้นเมื่อคิดคำนวณการลงทุนลงแรง รดน้ำใส่ปุ๋ยของเรามาโดยตลอด เรียกได้ว่าขาดทุนตั้งแต่ยังไม่ขาย ทั้งๆ ที่ราคาผลิตภัณฑ์หลังแปรรูปนั้นทำเงินได้ดีมาก ลำพังน้ำมันที่สกัดจากเมล็ดถั่วดาวก็ปาไปลิตรละตั้ง 1,500 – 2,500 บาทแล้ว ตอนนั้นฉันไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงกับกองถั่วดาวที่อยู่ในโรงรถและผลผลิตที่จะออกมาอีกเรื่อยๆ ตอนนั้นรู้สึกเครียดและกดดันมากขึ้นๆ ตามเวลาที่เหลือน้อยลงๆ

 

“ถ้าถั่วดาวมันมีมูลค่าขนาดนี้ แล้วทำไมเราไม่ทำผลิตภัณฑ์แปรรูปออกมาเองเลยล่ะ?”
.

ประโยคนี้แว้บขึ้นมาในหัว “ถ้าไม่รู้ก็ต้องศึกษา ถ้าไม่เริ่มก็ต้องลงมือ ถ้าไม่ไหวก็ต้องวางมัน ถ้าไม่เห็นก็ต้องเชื่อ” นี่เป็นคติที่ฉันตกผลึกจากช่วงเวลาที่ผ่านมา ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ฉันเลยเริ่มเดินหน้าหาข้อมูลผลิตภัณฑ์ถั่วดาวที่มีขายในท้องตลาดว่ามีอะไรบ้าง เจอทั้งน้ำมันสกัดถั่วดาว เครื่องสำอางค์ แคปซูลถั่วดาวเพื่อสุขภาพ จนมาสะดุดตากับถั่วดาวอินคาอบหรือคั่วเกลือ เพราะไม่ต้องใช้อุปกรณ์ เครื่องจักรที่ลงทุนสูงเหมือนตัวอื่นๆ แถมยังดูน่าอร่อยเข้าคอนเซ็ปต์การผลิตแบบพอเพียงอีกด้วย

 

จากนั้นฉันลองหาวิธีการคั่วอบถั่วดาวด้วยการถามพี่น้องแถบอีสานแล้วให้แม่ทดลองทำดูที่บ้านที่กรุงเทพ ปรากฏว่ารสชาติออกมาใช้ได้ ยิ่งเมื่อลองเอาไปให้ญาติพี่น้องชิม หลายคนก็บอกว่าอร่อย เหมือนถั่วลิสงผสมกับถั่วอัลมอนด์ น่าทำออกมาขาย ฉันจึงหอบหิ้วไอเดียนี้และผลิตภัณฑ์ถั่วดาวอบกรอบจากในครัวเรือนกลับมาที่ชุมพร

 

พอฉันกลับมาที่ชุมพร ฉันได้เจอพี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำเกษตรพอเพียงและเปิดบ้านทำโฮมสเตย์ไปด้วย พร้อมทั้งขายผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ผลิตเองในครัวเรือนพอดี ฉันจึงลองเอาถั่วดาวอบกรอบของฉันให้พี่เขาลองชิมดู ปรากฏว่าพี่เขาชอบมันมาก ด้วยความที่รสชาติอร่อยและแปลกใหม่ และขอบคุณพระเจ้าที่พี่เขาเลยช่วยแนะนำเรื่องการทำบรรจุภัณฑ์กับสติกเกอร์ฉลากสินค้า แถมยังให้ฉันลองเอาถั่วดาวอบกรอบบรรจุถุงละ 1 ขีดวางขายดูที่ร้านของเขาด้วย!


“เดี๋ยวสัปดาห์หน้าจะมีงานโอท็อปชุมชนที่วิทยาลัยเกษตรฯ ไปออกร้านด้วยกันกับพี่เลยนะ”

 

ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ เหมือนพระเจ้ารู้ว่าฉันต้องการตัวช่วย
จึงส่งพี่คนนี้มาเป็นโค้ชช่วยให้เห็นทางสว่างที่จะทำผลิตภัณฑ์ถั่วดาวออกมาขายเอง!

 

 

และแล้ววันงานแสดงสินค้าโอท็อปก็มาถึง

 

ฉันตื่นเต้นมากกกกก เหมือนตัวเองได้กลับไปเป็นนักเรียนที่กำลังยืนใจเต้นตึกตักรอนำเสนอโครงงานในสัปดาห์วิทยาศาสตร์ของโรงเรียนยังไงยังงั้น ฉันเตรียมอุปกรณ์มามากมาย ทั้งบอร์ดแสดงข้อมูลของถั่วดาว ใบปลิว ต้นกล้า ฝักถั่วดาวสุก เมล็ดพันธุ์ และพระเอกของงานนี้ซึ่งก็คือ ถั่วดาวอินคาอบกรอบสูตรบ้านเรานั่นเองงง! ด้วยความแปลกใหม่ของถั่วดาวซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ทำให้ผู้คนเวียนกันมาแวะที่บูธของเราไม่ขาดสาย บ้างก็ขอซื้อเมล็ดพันธุ์ไปลองปลูก บ้างก็จองต้นกล้าไว้ บ้างก็ซื้อถั่วดาวอบกรอบไปลองชิมเพราะเห็นสรรพคุณนางฟ้าที่ช่วยเรื่องโรคเบาหวาน ความดัน และหัวใจ และที่พีคที่สุดคือ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาเปิดงานครั้งนี้ได้แวะเข้ามาสอบถามประวัติความเป็นมาของการริเริ่มปลูกถั่วดาวของฉันอีกด้วย เรียกได้ว่างานครั้งนี้เป็นการแกรนด์โอเพ่นนิ่งน้องถั่วดาวของเราเลยก็ว่าได้!!! โอ้ย ขอบคุณพระเจ้ามากกกก

 

 

หลังจากวันนั้นหัวกระไดบ้านฉันก็ไม่มีแห้ง มีทั้งชาวบ้านแวะเวียนเข้ามาที่สวนเพื่อซื้อถั่วดาวอบกรอบไปลองชิม มีทั้งนักข่าวท้องถิ่นและพี่ๆ เกษตรอำเภอมาเยี่ยมชมแปลงปลูกของเรา ส่วนฉันก็เดินหน้าผลิตและส่งถั่วดาวอบกรอบออกสู่ตลาด ค่อยๆ ทำไปตามกำลังที่เรามี ฉันเลิกจดจ่ออยู่ที่กำไรขาดทุนไปแล้ว พระเจ้าเปลี่ยนวิธีคิดของฉันใหม่ จากที่กังวลว่าจะหาพ่อค้าที่ไหนมาซื้อถั่วดาวให้ได้ราคาดี ตอนนี้ฉันกลายเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบ และนำผลผลิตมาแปรรูปพร้อมทั้งวางขายเอง ฉันเข้าใจวิถีการทำเกษตรมากขึ้น นอกจากรายได้ที่เราจะได้รับเต็มๆ โดยไม่ต้องหักให้พ่อค้าคนกลางแล้ว ฉันยังมีรู้สึกภูมิใจกับถั่วดาวที่กลายเป็นดาวจริงๆ ด้วยมือของฉันเองอีกด้วย

 

____________________

 

นับตั้งแต่ที่ฉันหอบหิ้วข้าวของและความหวังจากกรุงเทพมาอยู่ชุมพร จากเมืองสู่ชนบท จากสาวออฟฟิศสู่การเป็นเกษตรกรเต็มรูปแบบ ที่นี่เป็นเหมือนโรงเรียนชั้นดีที่พระเจ้าเตรียมไว้เพื่อเปิดตาใจของฉันให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากมาย ฉันได้อยู่ในฤดูแห่งการพักสงบ ใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่กับธรรมชาติ ได้ลงมือหว่านผลแรกในฤดูปลูก ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตด้วยมือตัวเองเป็นครั้งแรก ได้มีเวลาลงลึกกับพระวจนะ ได้ใคร่ครวญบทเรียนในการเป็นเกษตรกร  ได้เข้าคอร์สฝึกความเชื่อจากปัญหาสารพัดที่ต้องเจอในฤดูมรสุม ฝนฟ้าไม่เป็นใจ ทั้งความกังวลของการหาตลาดเพื่อขายถั่วดาว แต่ในที่สุดฉันได้เข้าใจแล้วว่า สถานการณ์ที่มืดมน อุปสรรค และความกังวลต่างๆ ไม่ได้สำคัญเท่ากับการที่เราได้สัมผัสถึงการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าตลอดเวลาในพายุนั้น ประสบการณ์กับพระเจ้าที่ผ่านมาทำให้ฉันอุ่นใจและวางใจในการเดินบนเส้นทางที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมเอาไว้มากขึ้นกว่าที่เมื่อก่อนเคยคิดว่าตัวเองเข้าใจ

 

ทั้งหมดนี้พระเจ้าสอนให้ฉันได้เรียนรู้ว่า พระองค์ไม่ได้ทรงเลือกใช้เราที่ ”ความสามารถ” แต่เลือกที่ ”ความเชื่อและการเชื่อฟัง” ต่างหากเพื่อให้พระเจ้าใช้ชีวิตเราได้อย่างเกิดผล

 

พระองค์ทรงใช้คนที่ไม่สมบูรณ์แบบอย่างฉัน
เพื่อเติมเต็มแผนการอันไร้ตำหนิของพระองค์ให้ครบบริบูรณ์
.

จากนี้ แม้ฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าเส้นทางชีวิตในอนาคตจะเป็นยังไงต่อ แต่บทเรียนแห่งการยอมจำนนต่อน้ำพระทัยพระเจ้าจะติดตัวฉันไปเสมอ สำหรับฉันตอนนี้ ไม่ได้วัดความสำเร็จจากการได้ลงมือทำบางสิ่งบางอย่างที่ตั้งใจไว้เสร็จสิ้นเท่านั้น แต่พระเจ้าเปลี่ยนให้ฉันเชื่อว่า ความสำเร็จที่แท้จริงของมนุษย์คือการทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าที่มีต่อชีวิตเราให้สำเร็จ แม้สิ่งต่างๆ ที่เราลงทุนลงแรงไปอาจมองไม่เห็นผลอะไรในช่วงแรก เพราะ

 

“มีกำไรอยู่ในงานที่เหนื่อยยากทุกอย่าง…”
(สุภาษิต 14:23)

 

พระเจ้าของเราทรงสัตย์ซื่อและแผนการของพระองค์ก็ดียอดเยี่ยม เพียงแค่เรายอมจำนนและวางใจให้พระเจ้านำ เราก็จะเกิดผลในเวลาอันสมควรเหมือนเจ้าถั่วดาวนี้

 

“แม้ฉันจะไม่รู้อนาคตของฉัน แต่ฉันรู้จักผู้ที่เป็นเจ้านายเหนือชีวิตของฉัน!”
Although I don’t know my future, I do know my Master!

.

ฉันพูดประโยคนี้กับตัวเองอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป


คอลัมน์ #เด็กสมัยนี้ ร่วมติดตามเรื่องราวของเด็กต้นเรื่อง และการเดินทางแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าของเหล่าคริสเตียนรุ่นใหม่ได้ ทุกวันศุกร์ เวลา 1 ทุ่มตรงนะจ๊ะ


Previous Next

  • Author:
  • จากเด็กสาวในเมือง เปลี่ยนงานมาแล้วหลายรูปแบบ แต่สุดท้ายกลับมาเจอ 'งานที่ใช่' ในบ้านนาฟ้าอมร!
  • Illustrator:
  • tumtim
  • เด็กสาววัยรุ่นพึ่งจบจิตวิทยามาหมาดๆ แต่มุ่งมั่นตั้งใจจะทำงานสายกราฟิก เธอผู้ยังหาค้นหาตัวเองคนนี้มีความสามารถมากมายที่ตัวเองไม่มั่นใจอยู่ตลอดเวลา เลยเจอพี่ชูใจจับมาใช้งานให้มั่นใจซักทีว่าตัวเองมีของ
  • Editor:
  • Jick
  • บก.ชูใจ ผู้ใฝ่ฝันจะชูใจน้องๆ จากความพลาดของตัวเอง
  • Editor:
  • Namita
  • สาวน้อยล่ามญี่ปุ่น ผู้เอ็นจอยกับการกินไปลดน้ำหนักไป เธอผู้มีความคาวาอี้อยู่ตลอดเวลายังมีความสามารถในการเรียบเรียงงานเขียนได้เป็นเลิศอีกด้วย