ซีรีส์ : กว่าถั่วจะเป็นดาว
ตอนที่ : 5/6
อ่าน ‘กว่าถั่วจะเป็นดาว’ ทุกตอนได้ที่ : https://choojaiproject.org/category/articles/life-series/when-god-guides-me-to-be-a-farmer/
เวลาที่เราลงมือทำอะไรเป็นครั้งแรก เรารู้สึกยังไงกันบ้างคะ? ไม่ว่าจะเป็นการไปโรงเรียนครั้งแรก มีแฟนคนแรก ขับรถครั้งแรก สร้างบ้านหลังแรก หรือได้อุ้มลูกของตัวเองเป็นครั้งแรก
“ครั้งแรก” คำสั้นๆ ที่สร้างความรู้สึกได้มากกว่าการออกเสียงแค่สองพยางค์
และนี่ก็เป็น “ครั้งแรก” ของฉันเช่นกันที่ในที่สุดก็ได้เก็บเกี่ยวผลจากเมล็ดพันธุ์ที่ลงมือปลูกด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก!!!
.
____________________
.
กว่า 7-8 เดือน หลังจากที่หยอดเมล็ดลงจนต้นกล้าเติบโต แปลงก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวชะอุ่มไปทั่ว กิ่งก้านแตกใบดกเขียวทุกกิ่ง ยอดถั่วดาวเล็กๆ ค่อยๆ ปีนป่ายขึ้นค้างไปวันละเล็กละน้อย จนในที่สุดฉันเริ่มมองเห็นดาวเล็กๆ สีเขียว ขึ้นถี่เต็มไปหมด ภาพการเติบโตของเจ้าถั่วเดอะดาวนี้ ทำให้ฉันรู้สึกดีใจและอดภูมิใจเล็กๆ ไม่ได้ว่า
“ในที่สุด เราก็เดินทางมาจนถึงครึ่งทางแล้วสินะ อีกไม่นานผลของเจ้าถั่วดาวนี้ก็คงจะออกมาอวดโฉมให้ได้ดูแล้ว”
.
ยิ่งใกล้ช่วงเก็บเกี่ยว เจ้าถั่วดาวก็ยิ่งต้องการการดูแลมากขึ้นตามไปด้วย ทุกวันตอนเย็นฉันจะต้องเปิดระบบน้ำแต่ละแถว คอยตัดแต่งกิ่ง เอาเชือกมาผูกที่ปลายกิ่งเพื่อให้มันเลื้อยไปตามค้างที่ทำไว้ เอาปุ๋ยมาใส่บ้าง ทุกครั้งเวลาเข้าสวนก็อดไม่ได้ที่จะหยิบเอามือถือมาคอยถ่ายรูปเก็บผลงานไว้เป็นระยะๆ เพื่อจะได้ศึกษาและเข้าใจธรรมชาติการเติบโตของเจ้าถั่วดาวไปด้วย ฉันได้เรียนรู้และเห็นภาพอย่างชัดเจนว่า ทุกสิ่งมีกระบวนการการเติบโตของมัน และตัวเราเองก็มีกระบวนการแบบที่ว่าเช่นกัน ซึ่งตอนนี้เป็นฤดูกาลแห่งการอดทนรอคอย เวลาอาจจะทำให้เรารู้สึกว่ามันเนิ่นนาน แต่เราก็เชื่อว่ามันจะคุ้มค่าเสมอ
และในที่สุดเวลาที่รอคอยก็มาถึง เจ้าต้นถั่วเริ่มออกผลเป็น ‘ครั้งแรก’
ความรู้สึกของฉันตอนนั้นเหมือนแม่ลูกอ่อนที่ได้เจอลูกน้อยหลังคลอด และไม่ได้มีแค่ฉันที่ตื่นเต้น ชาวบ้านที่ผ่านไปมาต่างก็แวะเข้ามาขอดูหน้าตาถั่วดาวกันเป็นแถว เมื่อเริ่มโต ผลของถั่วดาวมีสีเขียวลักษณะคล้ายลูกมะเฟือง บางลูกก็มีสี่แฉก ห้าแฉก หกแฉก แล้วแต่ความสมบูรณ์ของแต่ละต้น รูปร่างของมันเหมือนดาวจริงๆ แต่การจะเก็บเกี่ยวผลได้นั้นต้องรอให้ผลเปลี่ยนจากสีเขียวๆ ไปเป็นสีน้ำตาลไหม้เสียก่อน
เมื่อฝักถั่วดาวเริ่มสุกจนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทั่วกันหมดแล้ว ฉันและยายจึงได้ออกไปเก็บฝักถั่วดาวทุกวัน น่ามหัศจรรย์ที่ทุกส่วนของเจ้าถั่วดาวนี้มีประโยชน์ไปเสียทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเมล็ด ก็เอาไปหนีบสกัดน้ำมัน บดทำผงโปรตีนหรือคั่วกิน ฝักนอกก็เอาไปหมักทำปุ๋ยใส่ต้นไม้ ใบก็เอาไปทำชา กินช่วยโรคเบาหวาน ความดัน หัวใจ ยอดก็เอาไปทำอาหาร ด้วยความที่ชาวบ้านแถบอีสานรีวิวรสชาติยอดถั่วดาวเอาไว้ว่า หวานและอร่อย ฉันจึงลองเก็บยอดถั่วดาวมาต้มจิ้มน้ำพริกกะปิ รสชาติอร่อยคล้ายยอดผักกูด ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ ค่ะ
ขณะที่กำลังเก็บเจ้าถั่วดาวอยู่ ฉันก็รู้สึกถึงความอัศจรรย์ของพระเจ้ามาก พระองค์มีวิธีที่จะให้สิ่งที่ทรงสร้างเกิดเติบโตทวีคูณไปเรื่อยๆ จากเมล็ดถั่วดาวแค่เมล็ดเดียว เมื่อมันลงดินและเติบโตขึ้น มันสามารถให้เมล็ดได้อีกเป็นร้อยเมล็ด นี่แหละคือการทวีคูณ และหากเราเป็นคนหนึ่งที่ยอมเข้าสู่กระบวนการแห่งการเปลี่ยนแปลง ถึงแม้จะต้องโดดเดี่ยว ต้องสละความต้องการของตัวเอง จำนนต่อแผนการของพระเจ้า และยอมเปื่อยเน่าแบบเมล็ดถั่วดาว เพื่อจะได้เติบโตขึ้นมาเป็นต้นใหม่ เราก็จะมีชีวิตที่เกิดผลอย่างทวีคูณและเป็นพรให้แก่ผู้คนอีกมากมายได้เช่นเดียวกัน ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ฉันเห็นคุณค่าของการเริ่มต้นจากสิ่งเล็กน้อย เพื่อให้เกิดผลที่ยิ่งใหญ่ขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นได้มากขึ้น
____________________
ถึงจะเก็บเกี่ยวผลได้แล้ว แต่งานของเกษตรกรยังไม่ได้จบลงแค่นั้น พอได้ฝักถั่วดาวมาเราต้องบิถั่วดาวออกเพื่อแยกให้เป็นเมล็ดเดี่ยวและกะเทาะเปลือกนอกออกด้วย เมื่อถามพี่น้องทางอีสานว่ามีวิธีกะเทาเปลือกยังไงก็ได้คำตอบว่า บ้างก็ใช้เครื่องกะเทาะเปลือกอัตโนมัติ บ้างก็ใช้ค้อนทุบเปลือกออกทีละเมล็ด เราจึงลองหาวิธีการของเราบ้าง ตาลองใช้ไขควงแงะขั้วของมันแล้วจึงแกะเปลือก ปรากฏว่าสามารถแกะเปลือกได้ไม่ยากนัก เราจึงเอาเทคนิคนี้มาใช้กัน ถึงจะง่ายขึ้นแต่การต้องมาแกะเปลือกถั่วดาวทีละเมล็ดก็ไม่ใช่เรื่องสบายเอาเสียเลย มือของฉันแดงและเริ่มด้านขึ้นหลังจากที่ต้องนั่งแกะเมล็ดอยู่นานหลายชั่วโมง กว่าจะได้เมล็ดถั่วดาวหนัก 1 กิโลมาได้
“ที่ทำอยู่นี้มันคุ้มกันไหมนะ ถ้าตอนนี้ทำงานประจำ นั่งในออฟฟิศก็คงจะไม่ต้องมาลำบากแบบนี้”
ฉันแอบคิดขณะที่สมองคำนวณความคุ้ม เมฆหมอกในใจเริ่มตั้งเค้า โดยไม่รู้เลยว่ามรสุมในชีวิตจริงกำลังจะมา
.
ช่วงที่ถั่วดาวออกผลเต็มที่ดันตรงกับช่วงที่ภาคใต้เริ่มเข้าสู่หน้ามรสุมพอดิบพอดี ฝนที่ตกชุกทำให้การเก็บฝักถั่วดาวเป็นไปอย่างยากลำบากเพราะต้องเก็บตอนฝักแห้ง แต่ฝนที่ตกตลอดทำให้ถั่วดาวเน่าคาต้นบ้าง ไม่ก็ตกพื้นบ้าง ฉันทำได้แค่เก็บฝักที่ชื้นเอามาผึ่งลมและตากแดดที่มีน้อยนิดเพื่อให้มันแห้งพอ วันทั้งวันไปไหนไม่ได้เลยนอกจากคอยเฝ้าดูว่าฝนจะตกมั้ย เพราะต้องเก็บถั่วดาวที่ตากเอาไว้ก่อนจะเปียกฝน
ความลำบากยังไม่หมดแค่นั้น เมื่อฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน น้ำก็ท่วมขังตามร่องแปลงถั่วที่ปลูกเอาไว้ มีกบมาวางไข่และออกลูกเต็มไปหมด แม้ว่าจะพยายามสูบน้ำออกจากสวนแล้ว แต่ก็สู้ปริมาณน้ำฝนที่เทกระหน่ำมาตลอดไม่ได้ จนทำให้ต้นถั่วดาวหลายต้นมีเชื้อราขึ้น และที่ร้ายที่สุดคือ ด้วยความที่ถั่วดาวเป็นพืชที่ไม่ชอบน้ำมาก การต้องอยู่กับน้ำท่วมขังทำให้บางต้นเริ่มใบเหลือง จนเหี่ยวตายไปในที่สุด ภาพถั่วดาวกว่าร้อยต้นที่ตายยกแถบ ทำให้ในหัวของฉันมีแต่คำพูดที่คนอื่นเคยปรามาสเอาไว้ว่า “ถั่วดาวจะปลูกภาคใต้ได้เหรอ ที่นี่มันฝนแปดแดดสี่นะ” ฉันเริ่มสงสัยและคิดตาม คงจะจริงอย่างที่ชาวบ้านพูดไว้ละมั้ง ฉันมาถึงจุดที่ไม่เข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้าอีกครั้ง รู้สึกหวั่นไหวเพราะมองไปทางไหนก็มีแต่ทางตัน สภาพฉันตอนนี้ก็คงไม่ต่างกับอิสราเอลที่ข้างหน้าเจอทะเลแดง ข้างหลังเจอกองทัพอียิปต์ จะไปข้างหน้าก็ไม่ได้ จะถอยหลังก็ไม่ได้ ฉันเริ่มเข้าใจความรู้สึกของคนอิสราเอลตอนนั้นแล้ว
“พระเจ้าคะ ไหนพระองค์ยืนยันให้ลูกมาทำสวนที่นี่ ที่พระองค์ทรงนำมาตลอดทุกอย่างก้าว
แต่แล้วพระองค์จะให้ลูกเดินมาถึงทางตันแค่นี้เหรอ พระองค์จะให้ลูกเจอความล้มเหลว ต้องมาอับอายคนอื่นแบบนี้เหรอ”
ฝนที่ตกเกือบทุกวันจนฉันออกไปทำสวนไม่ได้ เลยทำให้ได้ใช้เวลาอ่านพระคัมภีร์ ใคร่ครวญกับพระเจ้ามากขึ้น และได้ย้อนกลับไปอ่านไดอารี่ที่เคยเขียนตอนเริ่มแรกที่พระเจ้ายืนยันให้มาทำสวน
“พระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความเป็นไปไม่ได้ ยิ่งสถานการณ์ที่เราเจอคับขันและสิ้นหวังแค่ไหน
เราก็จะยิ่งได้เห็นความยิ่งใหญ่และการช่วยกู้ของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น การอัศจรรย์จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าเรามีทุกสิ่งพร้อมแล้ว”
ฉันร้องไห้…
พระเจ้ายังคงยืนยันกับฉันว่า แผนการของพระองค์ไม่ผิดพลาดด้วยสิ่งที่ฉันเขียนไว้ในอดีต ซึ่งนี่ก็คงเป็นหนึ่งในแผนการของพระเจ้าด้วย ฉันมั่นใจมากขึ้นว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พระองค์ก็อยู่ด้วยเสมอ และถ้าฉันผ่านช่วงยากลำบากครั้งนี้ไปได้ ต่อไปไม่ว่าจะเจออะไรก็คงง่ายกว่านี้เยอะ
ในช่วงนั้นเอง ฉันได้มีโอกาสไปช่วยแปลให้ทีมมิชชั่นที่สกลนคร การกลับไปที่นั่นอีกครั้งทำให้ฉันได้หวนระลึกถึงจุดเริ่มต้นครั้งแรกที่ได้รับนิมิตในการทำถั่วดาว และพบว่าปัญหาของพี่น้องที่นี่ตรงข้ามกับของฉันอย่างสิ้นเชิง พื้นดินแถบอีสานขึ้นชื่อเรื่องความแห้งแล้ง และความท้าทายของเกษตรกรที่นี่ก็คือ การมีน้ำไม่เพียงพอที่จะรดสวนทั้งหมดได้
“ถ้าแบ่งน้ำจากภาคใต้มาให้พี่น้องที่นี่ได้ก็คงดีสินะ” ฉันคิดอยู่ในใจ
ฉันหนุนใจพี่น้องที่อีสานด้วยปัญหาที่ฉันเจอที่ใต้ แม้จะไม่ง่ายเลยที่จะมองเรื่องนั้นให้เป็นพระพร แต่ฉันก็เห็นแล้วว่า ไม่ว่าใครต่างก็มีปัญหาของตัวเองทั้งนั้น ไม่ใช่มีแค่เราคนเดียวที่ลำบาก และยิ่งไปกว่านั้นฉันกลับได้รับการหนุนใจและเห็นแบบอย่างความเป็นนักสู้ของพี่น้องเกษตรกรที่อีสาน แม้จะเจออุปสรรคปัญหามากมายแต่พวกเขาก็ไม่ท้อใจ ยังคงเดินหน้าทำสิ่งที่เขาเชื่อต่อไป เราจึงกลับใต้ด้วยใจที่พร้อมจะสู้อีกครั้ง เพราะฉันตระหนักแล้วว่าทุกคนต่างมีข้อจำกัดของตัวเองแต่เรามีพระเจ้าซึ่งทรงไร้ขีดจำกัด
แม้สถานการณ์จะยังไม่เปลี่ยน
แม้จะยังมองไม่เห็นภาพรวมทั้งหมดจากจุดที่ยืนอยู่
แม้ยังไม่รู้ว่าจะเจอทางออกเมื่อไหร่
แต่ฉันเชื่อว่าพระเจ้าจะนำฉันด้วยแผนการของพระองค์
เชื่อว่าแผนการของพระองค์จะมาถึงอย่างแน่นอนและทันเวลา
เชื่อและวางใจไม่ใช่ด้วยสายตาที่ตัวเองมองเห็น
แต่จะมองจากสายตาและมุมมองของพระเจ้า
____________________
“เพราะว่านิมิตนั้นยังรอเวลาของมันอยู่
มันกำลังรีบไปถึงความสำเร็จ มันไม่มุสา
ถ้าดูช้าไป ก็จงคอยสักหน่อย
มันจะบังเกิดขึ้นเป็นแน่ คงไม่ล่าช้านัก”
ฮาบากุก 2:3
คอลัมน์ #เด็กสมัยนี้ ร่วมติดตามเรื่องราวของเด็กต้นเรื่อง และการเดินทางแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าของเหล่าคริสเตียนรุ่นใหม่ได้ ทุกวันศุกร์ เวลา 1 ทุ่มตรงนะจ๊ะ
Related Posts
- Author:
- จากเด็กสาวในเมือง เปลี่ยนงานมาแล้วหลายรูปแบบ แต่สุดท้ายกลับมาเจอ 'งานที่ใช่' ในบ้านนาฟ้าอมร!
- Illustrator:
- tumtim
- เด็กสาววัยรุ่นพึ่งจบจิตวิทยามาหมาดๆ แต่มุ่งมั่นตั้งใจจะทำงานสายกราฟิก เธอผู้ยังหาค้นหาตัวเองคนนี้มีความสามารถมากมายที่ตัวเองไม่มั่นใจอยู่ตลอดเวลา เลยเจอพี่ชูใจจับมาใช้งานให้มั่นใจซักทีว่าตัวเองมีของ
- Editor:
- Jick
- บก.ชูใจ ผู้ใฝ่ฝันจะชูใจน้องๆ จากความพลาดของตัวเอง
- Editor:
- Namita
- สาวน้อยล่ามญี่ปุ่น ผู้เอ็นจอยกับการกินไปลดน้ำหนักไป เธอผู้มีความคาวาอี้อยู่ตลอดเวลายังมีความสามารถในการเรียบเรียงงานเขียนได้เป็นเลิศอีกด้วย