ธรรมชาติของคนส่วนมากที่ได้รับการเลือกปฏิบัติให้เป็นบุคคลชั้นสองจากปัจจัยทางกายภาพ
(เช่น เพศ ต้นกำเนิด เชื้อชาติ และฐานะ)
มักทำให้เขาไม่รู้จักคุณค่าของตนเองและมองไม่เห็นเป้าหมายของการมีชีวิต
เมื่อเข้าใจว่าสิ่งที่ได้รับมาเป็นเรื่องของเวรกรรมจึงกลายเป็นว่าได้รับมาอย่างไรก็ส่งทอดต่อไปเช่นนั้น
____________________________
ตัวฉันตอนที่ยังเป็นเด็กเพิ่งรู้ความก็เห็นว่าครอบครัวตัวเองเป็นครอบครัวใหญ่ที่มีพร้อมทั้งพ่อ แม่ พี่สาว จนกระทั่งพวกเราย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านเก่าของพ่อซึ่งอยู่ติดกับย่าและพี่น้องของพ่อ ฉันในตอนอายุแค่ห้าขวบจึงเริ่มได้ยินจากพวกอาๆ ว่าแม่ที่อยู่กับฉันตอนนี้ไม่ใช่แม่แท้ๆ แต่เป็นเมียคนใหม่ของพ่อหลังจากที่เลิกกับแม่ของฉัน
เรื่องนี้ทำให้ความรู้สึกมั่นคงในครอบครัวที่มีพ่อแม่พร้อมหน้านั้นหายไป
เวลาพ่อกับแม่เลี้ยงออกไปทำงาน ฉันก็อยู่บ้านกับพี่สาวที่เป็นใบ้แค่สองคน เราถูกปฏิบัติอย่างลำเอียงเพราะป้ากับอาๆ เกลียดแม่แท้ๆ ของเรา ยังดีหน่อยที่ย่าเข้าข้างเพราะท่านเลี้ยงเรามาตั้งแต่ยังแบเบาะ
ฉันได้ยินมาว่าแม่ของเราทะเลาะกับพ่อตอนท้องฉันอยู่ จึงพยายามทำแท้งโดยกินยาขับเพื่อประชดพ่อ สุดท้ายแม่ก็คลอดฉันออกมาโดยไม่ดูดำดูดีเลยสักนิด พี่สาวคนโตเสียอีกที่คอยป้อนน้ำส้มคั้นให้แทนนมแม่ จนถึงขั้นที่พ่อแม่แตกหักกัน แม่ก็เอาฉันมาทิ้งไว้บนพื้นตรงหน้าชายคาบ้านย่าเหมือนว่าฉันคือขยะที่ไร้ค่าเพราะไม่สามารถใช้ต่อรองเพื่อยื้อให้พ่อกลับคืนมาหาเขาอีกได้
ผลจากการพยายามทำแท้งของแม่ทำให้ฉันเป็นเหมือนเด็กพิการที่มีพัฒนาการช้ากว่าลูกพี่ลูกน้องคนอื่น
เรื่องราวเหล่านี้ถูกเล่าเข้าหูฉันเป็นประจำเพื่อเตือนให้ฉันรู้ว่าต้นกำเนิดของตัวเองเป็นยังไง ฉันจึงกลายมาเป็นเด็กก้าวร้าว เรียนรู้ที่จะสู้ยิบตาด้วยความรุนแรงเพื่อเอาตัวรอดและปกป้องพี่สาวที่เป็นใบ้
.
เมื่อได้เข้าเรียนชั้น ป.1 ทุกวันก่อนไปโรงเรียนฉันมักจะทิ้งกระดาษที่เขียนข้อความว่า “ไม่กลับบ้าน จะหนีออกจากบ้าน” แต่ตกเย็นก็ต้องกลับบ้านอยู่ดีเพราะไม่มีที่อื่นให้ไป ที่สำคัญคือนอกจากจะไม่มีใครสนใจข้อความแล้ว ยังโดนดุว่าเปลืองกระดาษฉันจึงเลิกเขียน และพยายามที่จะเอาใจพ่อกับแม่เลี้ยงแทนด้วยการตั้งใจเรียนเพื่อที่สักวันหนึ่งเขาจะรักฉันบ้าง
หลังจากนั้น 3 ปี บ้านเราก็มีสมาชิกใหม่… แม่เลี้ยงตั้งท้องและคลอดก่อนกำหนด ซึ่งความที่มีลูกยากบวกกับน้องที่เพิ่งเกิดมีภูมิต้านทานต่ำจึงทำให้พ่อกับแม่ต้องเอาใจใส่ลูกสาวคนใหม่เป็นพิเศษ
ดังนั้น หน้าที่ดูแลน้องในช่วงที่พ่อแม่ไปทำงานจึงถูกเพิ่มเข้ามาให้ฉันนอกเหนือจากการช่วยแม่ขายผักตามบ้าน
ไม่นานนักครอบครัวเราก็เริ่มสร้างบ้านหลังใหม่ในพื้นที่ของญาติฝั่งแม่เลี้ยง สถานการณ์ตอนอยู่กับญาติฝั่งพ่อก็เจอเรื่องแย่ๆ พอแล้ว มาอยู่ใกล้ญาติฝั่งแม่กลับยิ่งแย่หนักกว่าเดิม พวกเขาเรียกฉันว่า “หลานนอกไส้” และฉันก็สังเกตเห็นความแตกต่างในการเลือกปฏิบัติที่พวกเขาทำระหว่างฉันกับน้องสาวอยู่เสมอ
เป็นอีกครั้งที่ฉันสู้เพื่อตัวเองและความอยู่รอดเพราะรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลยสักนิดที่ต้องถูกปฏิบัติเหมือนเป็นคนนอก ความน้อยใจทำให้ฉันประชดประชันแม่เลี้ยงอยู่บ่อยๆ ด้วยการเปรียบเทียบตัวเองกับน้องสาวเสมอว่าฉันไม่เคยได้ในสิ่งที่อยากได้ ต้องดิ้นรนขวนขวายหาให้กับตัวเองด้วยการรับจ้างคนอื่นเก็บยางและช่วยแม่ขายของ ในขณะที่น้องสาวอยากได้อะไรก็ได้
ในช่วง ม.ปลาย พ่อกับแม่เลี้ยงเริ่มทะเลาะกัน ฉันที่ไม่ชอบเสียงทะเลาะในบ้านเลยใช้เวลาในการทำกิจกรรมที่โรงเรียนแทน มีครูคอยติวกฎหมายเพื่อเตรียมฉันให้เข้าแข่งขันทั้งในระดับจังหวัดและระดับประเทศ เมื่อถึงเวลาต้องไปนอนบ้านครูหรือเดินทางไปแข่ง ฉันที่ไม่กล้าขออนุญาตพ่อกับแม่เลี้ยงเพราะกลัวว่าจะถูกห้ามไม่ให้ไปจึงแอบเก็บกระเป๋าและขึ้นรถไปเลย
การทำอย่างนั้นทำให้พี่น้องของแม่พากันพูดว่าฉันเป็นเด็กใจแตกที่จะเรียนไม่จบและหนีตามไปอยู่กับผู้ชาย และทุกครั้งที่ฉันเจ็บใจ เสียใจ ก็จะไปนั่งอยู่ที่มืดๆ สวดบทแผ่เมตตา นั่งสมาธิ ทำใจให้สงบ แต่พอเสร็จกิจเหล่านี้ฉันก็ต้องกลับมาเผชิญกับโลกความจริงที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ได้แต่แอบหวังว่าความดีที่ฉันพยายามทำและเมตตาที่ฉันแผ่ไปจะช่วยให้ชีวิตของฉันดีขึ้น
____________________________
ช่วงสิ้นปี โบสถ์ในจังหวัดมีงานคริสต์มาสที่จัดโดยครูต่างชาติซึ่งเคยสอนภาษาอังกฤษให้ฉันที่โรงเรียน จำได้ว่าในตอนนั้นฉันชอบเรียนภาษาอังกฤษและอยากฝึกกับพวกเขาจึงเขียนจดหมายไปหา หลังจากนั้นก็ได้โปสการ์ดเขียนตอบกลับมาเป็นของขวัญ
ความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อครูสองคนนั้นกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันตัดสินใจไปร่วมงานคริสต์มาสและได้เริ่มเรียนพระคัมภีร์
เทอมสุดท้ายของการเรียน ม.ปลายมาถึงพร้อมกับแผนในใจของฉันที่ตั้งมั่นว่าจะไม่สอบเอนทรานซ์ แต่จะไปสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เพื่อจะได้ไปไกลจากบ้าน ขณะนั้นแม่เลี้ยงก็ตั้งท้องอีกครั้งและมีอาการตกเลือด ก่อนจะคลอดก่อนกำหนด ได้ยินผู้ใหญ่ในบ้านคุยกันว่าเป็นไปได้ที่แม่จะไม่รอด ส่วนเด็กในท้องนั้นก็ยิ่งไม่มีหวังเลย
หากแม่ไม่อยู่แล้ว แผนจะย้ายไปเรียนกรุงเทพฯ คงไม่เกิดขึ้นแน่ ฉันต้องอยู่ที่นี่คอยช่วยงานพ่อและดูแลน้องที่ยังเรียนชั้นประถม นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่ฉันขอให้คนในโบสถ์อธิษฐานเผื่อแม่เลี้ยง ฉันเริ่มเปิดใจให้กับพระเจ้า
“ถ้าพระเจ้าช่วยให้สถานการณ์นี้ผ่านไปได้ด้วยดี ฉันจะเป็นคริสเตียน”
ต่อมาอีกสองสามวันแม่เลี้ยงก็กลับบ้านอย่างปลอดภัยพร้อมลูกสาวคนเล็ก นั่นทำให้ฉันเริ่มเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง แต่ก็ยังไม่ตัดสินใจรับเชื่อ
แล้ววันหนึ่งขณะที่ฉันอยู่บ้านกับแม่เลี้ยง ศิษยาภิบาลประจำโบสถ์พังงาซึ่งฉันไปเป็นประจำแวะมาเยี่ยมที่บ้านอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาถามฉันเรื่องการตัดสินใจเรียนต่อ และฉันก็พูดถึงแผนการในใจที่อยากไปกรุงเทพฯ ให้เขากับแม่เลี้ยงฟัง กลายเป็นว่าแม่เลี้ยงก็ยินยอมให้ฉันไปเมื่อได้ยิน ศบ.คนนั้นรับปากว่าจะติดต่อบ้านพักของคริสเตียนให้
ก่อนที่ฉันจะไปกรุงเทพฯ น้องสาวคนเล็กมีอาการหัวบวมโตผิดปกติ ฉันจึงขอให้คนในโบสถ์ช่วยอธิษฐานเผื่ออีกครั้ง คราวนี้ฉันคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่ฉันจะต้องรักษาสัญญาคราวก่อนที่ให้ไว้กับพระเจ้าว่าจะตัดสินใจเป็นคริสเตียน
แม้จะยังไม่มีใครรู้ แต่ฉันก็เรียกว่าเป็นคริสเตียนตั้งแต่ตอนนั้น
____________________________
เมื่อได้เข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ตามที่ตั้งใจไว้ แต่เงินติดตัวที่แม่เลี้ยงให้มาน้อยนิดทำให้ฉันต้องกู้เงินเรียนจากรัฐบาล
ฉันพักอยู่ที่ ‘บ้านใจเดียว’ ซึ่งเป็นพันธกิจของ YWAM ประเทศไทย ช่วงปีแรกฉันต้องปรับตัวอย่างมากเพราะเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ต้องขอบคุณพี่เลี้ยงและเจ้าหน้าที่ทุกคนที่อดทนกับฉัน คอยช่วยให้ฉันเติบโตขึ้นในความเชื่อ
สิ่งหนึ่งที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นก็คือการเขียนจดหมายกลับไปที่บ้าน ฉันเล่าเรื่องชีวิตที่นี่ผ่านทางจดหมายไปให้พ่อกับแม่เลี้ยง ในที่สุดฉันก็กล้าบอกพวกเขาว่าฉันเป็นคริสเตียนแล้ว และยืนยันอย่างนั้นท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัวที่นับถือพุทธ
ปีถัดมาฉันก็ไม่ต้องกู้เงินรัฐบาลอีกต่อไป เพราะได้เงินจากการทำงานในแผนกต้อนรับของสำนักงาน YWAM ไม่นานนักฉันก็ตัดสินใจส่งใบสมัครไปที่โรงเรียน DTS เชียงใหม่ เพราะความอยากเปลี่ยนตัวเองให้โตในความเชื่อมากขึ้นอีก ฉันอธิษฐานและรู้สึกว่าพระเจ้านำในทางนี้ ความมั่นใจในการทรงนำทำให้ฉันกล้าบอกพ่อแม่ถึงแผนการในอนาคตด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก
แม้ว่าพ่อกับแม่ไม่เห็นด้วยเพราะอยากให้เรียนต่อจนจบ แต่ฉันก็ตัดสินใจไปเชียงใหม่อยู่ดี
.
“ฉันได้เห็นหลายคนหลายเชื้อชาติที่ติดตามพระเจ้า และได้มีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้ามากมายในช่วงที่เรียน”
6 เดือนผ่านไป เมื่อจบหลักสูตรของวายแวมแล้ว ฉันก็กลับมาอยู่ที่บ้านใจเดียวเพื่อเรียนป. ตรีให้จบ และเริ่มทำอินเทิร์นเป็นเจ้าหน้าที่วายแวมประเทศไทยอย่างเต็มตัว
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับฉันอย่างชัดเจนจนคนรอบข้างต่างก็สังเกตเห็น ทั้งเรื่องอารมณ์ฉุนเฉียว การรู้จักคุณค่าของตัวเอง และการปฏิบัติต่อผู้อื่นที่พัฒนาไปในทางดีขึ้นมาก ที่สำคัญคือพระเจ้าได้เปลี่ยนความสัมพันธ์อันเป็นรากขมขื่นระหว่างฉันกับแม่เลี้ยงให้เป็นความสัมพันธ์แม่ลูกได้อย่างแท้จริง โดยการใช้ปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ให้แม่เริ่มปรึกษาและพูดความรู้สึกของตัวเองให้ฉันฟังทางโทรศัพท์เสมอ พระเจ้าช่วยให้ฉันมีถ้อยคำที่ให้กำลังใจและสติปัญญาในการแนะนำวิธีแก้ปัญหากับแม่ได้
แม้ในห้าปีแรกที่เชื่อพระเจ้าจะถูกครอบครัวต่อต้านและกลัวว่าเป็นคริสเตียนแล้วจะเรียนไม่จบปริญญา แถมยังไม่มีงานทำอีกแน่ แต่พระเจ้าก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นถึงความเชื่อในพระเยซูคริสต์จากชีวิตที่เปลี่ยนไปของฉัน
ฉันเรียนจบได้ภายในสี่ปี ดูแลตัวเองในเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียนเองได้ และฉันสามารถเป็นที่พึ่งให้พ่อกับแม่ได้
____________________________
จนตอนนี้เวลาในการเดินกับพระเจ้าก็ผ่านมา 16 ปีแล้ว
ฉันได้แต่งงานกับผู้ชายที่รักพระองค์และรักฉันอย่างที่ฉันเป็น
พ่อกับแม่ก็เลิกต่อต้านที่ฉันเป็นคริสเตียน ช่วงก่อนที่แม่จะเสียชีวิต ท่านก็ยังยอมรับคำอธิษฐานจากฉันและเพื่อนๆ อีกด้วย
นอกเหนือจากนี้คือ การทำงานตลอด 16 ปีของพระเจ้าช่วยรักษาบาดแผลและเยียวยาหัวใจให้ฉันสามารถมอบความรักให้กับคนอื่นได้ก่อนที่เขาจะทำดีกับฉันก่อน พระคุณเหลือล้นจากพระเจ้าผู้ทรงเมตตาและยุติธรรมทำให้ฉันสามารถยกโทษให้กับแม่แท้ๆ ที่ทิ้งฉันไปได้ และรื้อฟื้นความสัมพันธ์ในครอบครัวที่แตกหักให้มีชีวิตขึ้นอย่างงดงาม มันไม่สำคัญอีกแล้วว่าฉันจะเป็นลูกใคร เกิดมาจากใคร เพราะพระเจ้าทรงสร้างฉันขึ้นมาด้วยความรัก และนั่นไม่ใช่เรื่องของเวรกรรมแน่ๆ ซึ่งสิ่งนี้ส่งผลให้ฉันมีอิสระที่จะรักตัวเองได้อย่างแท้จริง
.
ดังนั้น ในตอนนี้ ฉันมองเห็นคุณค่าและเป้าหมายในการใช้ชีวิตแล้ว
ขอบคุณทุกคนที่มีส่วนในการแบ่งปันข่าวประเสริฐนี้จนทำให้ฉันได้ก้าวสู่เส้นทางของความเชื่อ จนกระทั่งเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนตัวเองจากพลังแห่งความรักของพระเยซูคริสต์ สำคัญที่สุดคือ ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ฉันได้รู้จักกับพระองค์ และสร้างให้ฉันเป็นฉันอย่างทุกวันนี้
#ชูใจชวนแชร์ เพราะเรารู้ว่าทุกคนมีเรื่องเล่า… ชูใจจึงชวนมา ‘ส่งต่อ’ เรื่องราวที่พระเจ้าทรงทำในชีวิตของคุณเพื่อ ‘ชูใจ’ คนอื่นต่อไป ( <3 อ่านรายละเอียดได้ที่ >> https://choojaiproject.org/choojai-forward/ )
Related Posts
- Author:
- จากแฟนคลับชูใจ พลิกผันมาเป็น Editor เรียบเรียงคำแปลในทีมชูใจ เธอผู้นี้ถวายตัวรับใช้พระเจ้ากับ YWAM มีทั้งงานแปล งานสอน และเต้นรำเพื่อการนมัสการ! ภารกิจรัดตัวแต่ก็ยังอาสามาช่วยชูใจน้องๆ กัน
- Illustrator:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
- Editor:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน