HIGHLIGHTS:
- ต้นทุนในชีวิตที่ต่ำ และอุปสรรคปัญหาในชีวิตของเรา เปรียบเหมือนกับชนวนระเบิดที่พระเจ้าใส่เอาไว้เพื่อให้เป็นแรงผลักเราสู่เป้าหมายของพระองค์ให้พุ่งไปเหมือนกับจรวด
- เมื่อเราต่างมี passion (ความปรารถนาอันแรงกล้าในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง) เราจะสามารถมองข้ามอุปสรรคปัญหา และแม้กระทั่งความแตกต่างด้านชาติพันธ์ สีผิว เพศ และ อื่น ๆ
______________________________
Hidden Figures (ทีมเงาอัจฉริยะ) เป็นหนังแนวอัตชีวประวัติที่ผ่านการปรุงรสให้กลมกล่อมเรียบร้อยก่อนเสิร์ฟ ซึ่งใครที่ชอบแนวฟีลกู๊ด เดินเรื่องเรื่อยๆ ไม่หวือหวา และชื่นชมในความมุ่งมั่นของมนุษย์อย่างแรงกล้า แบบที่ดูแล้วเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจควรดูเรื่องนี้
______________________________
ขอได้พบกับ สามคุณน้า…นาซ่าจารึก!
ฉากหลังของหนังอยู่ในช่วงสงครามเย็น ในขณะที่ใครสักคนกำลังกล่าวว่าอเมริกาควรเริ่มโปรเจคสตาร์วอร์เพื่อเปิดแนวรบใหม่ในอวกาศกับค่ายคอมมิวนิสต์ ลูกพี่โซเวียตก็ส่งจรวดสปุตนิก 1 ขึ้นไปบนวงโคจรซะแล้ว ลูกพี่อเมริกาเลยต้องเร่งโปรเจคทะยานไปสู่อวกาศให้ทันในการแข่งครั้งนี้
ความยากในตอนนั้นนอกจากการออกแบบกระสวยที่คุณภาพดีและแข็งแรง.. แต่เบา!!! (เอาใจยากเหมือนหาของให้คุณป้า) ก็คือการคำนวณวิถีโคจรให้ยานไม่กระเด็นหลุดออกจากวงโคจรแล้วต้องกลับมาลงจอดได้ในตำแหน่งที่กำหนด ซึ่งต้องอาศัยตัวเลขที่เป๊ะมากๆๆๆ ระดับนับตัวเลขกันหลังจุดทศนิยม และคอมพิวเตอร์ตอนนั้นก็ยังไม่ได้มีความสามารถสูงอย่างปัจจุบัน แม้ในเรื่องจะมี IBM รุ่นแรกโผล่มา แต่ขนาดตัวเครื่องก็ประมาณ 4 คูหา แถมกว่าจะได้เห็นมันใช้งานก็ปาเข้าไปท้ายเรื่อง
การคำนวณหาตัวเลขที่มีจุดทศนิยมไปหลายหลักขณะนั้นจึงจำเป็นต้องพึ่งความสามารถในการคำนวณของนักคณิตกรหญิงผิวสี 3 คน ซึ่งก็คือตัวเอกของเรื่องที่มีส่วนในการบุกเบิกอวกาศครั้งนี้
** โปรดระลึกสักนิดว่า ในยุคนั้น (60’s) บทบาทของ “ผู้หญิง” น้อยเหมือนเป็นประชากรชั้นสอง และสิทธิของคนผิวสีก็ต่ำเรี่ยดิน ซึ่งจะเห็นการเรียกร้องสิทธิของมาร์ติน ลูเธอร์คิง ที่โผล่มาในทีวีเป็นแบ็กกราวด์ ดังนั้น การเป็นผู้หญิงผิวสีในยุคนั้นแทบจะเป็นประชากรตำแหน่งสุดท้ายของสังคมทีเดียว
_____________________________________
ในเรื่องมีตัวละครหลักซึ่งมีชีวิตอยู่จริงๆ ในประวัติศาสตร์เป็นตัวเดินเรื่อง ได้แก่
แคทเทอรีน จอห์นสัน: ตัวเอกของเรื่องคุณน้าผู้มีพรสวรรค์ทางคณิตศาสตร์มาตั้งแต่วัยเด็ก มีความสามารถระดับที่ 5 นาทีแรกของเรื่องก็ทำเอาซึ้งเบาๆ จับใจคนดูให้อยากจะรู้ว่าเธอจะไปได้ไกลขนาดไหนในโครงการอวกาศครั้งนี้
แมรี แจ็คสัน: คุณน้าผู้มีความสามารถทางวิศวกรที่ซ่อนอยู่ แต่ก็รู้ว่าไม่อาจเอื้อม เพราะติดเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ทางสังคม ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้หญิงผิวสีแล้ว ยังมีเงื่อนไขที่ถ้าเธอเลือกจะเดิน ก็ต้องสู้กับกฎหมายในตอนนั้น
โดโรธี วอห์น: แม้เป็นคนธรรมดา ๆ ที่ไม่ได้มีความสามารถอะไรโดดเด่นอย่างสองคนแรก แต่คุณน้าเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นและคิดถึงพวกพ้องเสมอ ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้มีความสามารถโดดเด่น แต่เธอก็แบกอนาคตของลูกน้อง เพื่อน และ ลูกๆ ของเธอเอาไว้มากกว่าใครในเรื่อง
_____________________________________
ยอมรับตรงๆ ว่าผู้เขียนไม่ได้ตั้งใจไปดูเรื่องนี้ แค่อยากดูหนัง แต่พอไปถึงหนังที่อยากดูก็เพิ่งออกไปเมื่อวาน และด้วยทิฐิของมนุษย์อย่างผม เมื่อเดินมาถึงโรงแล้วจะไม่เสียเงินไม่ได้!! เลยเลือกเรื่องนี้ด้วยความคาดหวังระดับ 00 คือเหมือนขอตั๋วไปเป็นที่ระลึกเฉยๆ อีกทั้งยังสามารถเดาไปเกือบถึง end credit ได้ว่า สุดท้ายแล้วพวกเธอจะทุ่มเทและมุ่งมั่นฝ่าฟันอุปสรรคจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ซ่อนไว้ได้สำเร็จ ยังแอบคิดว่า กลับบ้านไปเปิด วิกิ หรือ อากู๋ ก็รู้ เพราะประวัติศาสตร์มันเขียนไว้แล้ว จะดูทำไมมมม!
แต่ทั้งหมดนี้ก็แค่เกือบพลาด.. เพราะตอนออกมาหนังเขาแจกแรงบันดาลใจให้หอบกลับบ้านออกมาด้วย แม้ฉากหรือตัวละคร จะหยิบเอาประเด็นสิทธิสตรีและสีผิวมา แต่ประเด็นที่มีคุณค่าและสร้างแรงบันดาลใจมันเกินเรื่องเหล่านี้ไปมาก
มีประเด็นที่ผมอยากจะกล่าวถึง 2 เรื่องใหญ่ๆ ด้วยกัน
…
1. ต้นทุนชีวิต
คุณมีต้นทุนชีวิตเท่าไหร่?
เคยเป็นแบบนี้หรือเปล่า? น้อยใจในต้นทุนชีวิต “ถ้าเราเป็นแบบคนนั้น” “ถ้าเรามีเหมือนกับที่คนนั้นมี เราอาจไปได้ไกลว่านี้” “เราอาจเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่านี้ก็ได้” จนเริ่มกลับมามองในมุมที่ว่า “ก็พระเจ้าให้เรามาแค่นี้” หรือ ในมุมที่แย่ลงไปอีก เราอาจมองว่าทำไมพระเจ้าแถมอุปสรรคเข้ามาในชีวิตของเราให้มากกว่าคนอื่น โอวพระเจ้า แค่นี้ยังแย่ไม่พออีกเหรอ
ใน hidden figures คุณน้าทั้งสามคน เป็นผู้หญิงสิทธิต่ำและยังผิวสี ลองเรียงลำดับแบบง่ายๆ
1.ชายผิวขาว 2.หญิงผิวขาว 3.ชายผิวดำ 4.หญิงผิวดำ ..ท้ายแถว!!! แต่พวกเธอก็ไม่ได้ใช้สิ่งเหล่านี้มาเป็นข้ออ้างว่าเพราะชะตาฟ้าลิขิต แต่สิ่งที่พวกเธอทำ คือ ใช้ความสามารถหรือต้นทุนที่ตัวเองมีอย่างดีที่สุด
แคทเธอรีนและแมรีอาจมีความสามารถเป็นต้นทุนอยู่ แต่สำหรับโดโรธี เธอคือผู้หญิงผิวดำที่เป็นแม่บ้านธรรมดา ๆ ทว่าสิ่งที่เธอทำนั้น นอกจากจะสามารถช่วยเพื่อน ๆ อีกหลายสิบคนของเธอแล้ว ยังผลักดันเธอขึ้นจากตำแหน่งหัวหน้าห้องที่มีหน้าที่แค่คอยแจกงาน กลายเป็นหัวหน้าทีม supervisor ระดับสูง แม้แต่ประวัติในตอนเครดิตท้ายเรื่องก็บอกว่า เธอได้รับคำชื่นชมจากคนในนาซ่าว่า “ฉลาด”
ดูเหมือนนาซ่ากำลังชื่นชม “แม่บ้าน” ลูกสองคนนี้มากทีเดียว
Photo Credit: Hopper Stone.
ในระยะทางที่เรามองว่าต่ำอาจเริ่มที่ 0 อย่างสถานะทางสังคมของทั้งสามคน แถมยังมีภาระและอุปสรรค อย่างแคทเธอรีนที่เป็นแม่ม่ายลูก 3 และการที่สามีของแมรีไม่สนับสนุนให้ไปเรียน หรือโดโรธีที่ไม่มีความรู้มากพอ ส่วนงานที่ทำก็ไม่มั่นคง แต่ในตอนจบ ความสำเร็จของพวกเธอก็เหมือนกับจรวดที่พุ่งทะยานจากแหลมคานาเวลอนในตอนท้ายเรื่องนั่นแหละครับ
ดังนั้น อุปสรรคหรือปัญหาที่คุณกำลังกล่าวโทษพระเจ้าในวันนี้ ที่จริงแล้วอาจเป็นชนวนระเบิดที่พร้อมจะพาคุณทะยานขึ้นไป เพียงแต่คุณต้องกระซิบถามพระองค์สักนิดว่าจะใช้มันเพื่อการแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์อย่างไร ผมเชื่อว่ายิ่งเรามีปัญหามากเท่าไหร่ ก็จะเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามากเท่านั้นด้วยเช่นกัน
ลองดูว่าจากจุดต่ำสุดของคนเหล่านี้ ทะยานขึ้นไปสูงแค่ไหน
- จากทาสที่ติดคุก กลายเป็นผู้ดูแลอียิปต์
- จากคนเลี้ยงแกะ กลายเป็นกษัตริย์
- จากคนหนีคดี ขี้กลัว พูดน้อย กลายเป็นผู้นำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์
- จากคนไล่ฆ่าคริสเตียน กลายเป็นผู้ประกาศเรื่องของพระเยซู
พระเจ้าทำแต่ภารกิจที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จมาแล้ว ก็เหลือแต่คุณแล้วแหละ ว่าจะยอมให้พระองค์ช่วยเปลี่ยนระเบิดให้กลายเป็นแรงขับมหาศาลพาคุณบินขึ้นไปบนฟ้าหรือไม่
“สิ่งสำคัญของเรื่องนี้คือมุมมองของคุณ อุปสรรคหรือปัญหาในชีวิตจะเป็นต้นทุนที่ต่ำ
หรือเป็นชนวนระเบิดจากพระเจ้าที่รอจะพาคุณทะยานขึ้นไปบนฟ้า ก็ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับมุมมองของคุณเอง”
จาก 0-100 กับ 40-100 มันมีช่องว่างที่ทำให้เราได้เห็นพระคุณต่างกันมากนะครับ
…
2. Passion ร้อยรวมเราไว้
(คำว่า Passion ไม่มีคำไทยคำไหนแปลได้ตรงตัวเท่าที่ควร โดยสรุป หมายถึง ความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะทำให้สิ่งที่ใฝ่ฝันนั้นสำเร็จลุล่วงโดยไม่หวั่นต่ออุปสรรค์ สำหรับ คริสเตียนตรงกับคำว่า “ภาระใจ” ที่สุด)
สิ่งสำคัญอีกอย่างของเรื่องนี้คือ Passion ที่ถูกส่งต่อ ในขณะที่ตัวละครหลักในเรื่องทั้งสามคนใช้ชีวิตสงบเสงี่ยมอย่างผู้หญิงในยุคนั้น โดยเป็นแม่บ้านธรรมดาๆ ไม่ได้ไปยืนแถวหน้าในการเรียกร้องสิทธิอะไร แต่ด้วยความที่ต้องเข้าไปอยู่ในโปรเจคข้ามพรมแดนของมนุษย์ และถูกแวดล้อมด้วยคนรอบข้างที่มีเป้าหมายแบบเดียวกัน passion ที่ส่งมอบให้แก่กันจึงได้จุดประกายชีวิตของพวกเธอทั้งสามคนให้ข้ามไปสู่ดินแดนใหม่
-
Passion ใหญ่กว่าปัญหา
แคทเธอรีนยืนอยู่ตรงนั้น ตอนที่หัวหน้าโครงการพูดถึงความฝันที่เขาอยากทำให้สำเร็จ หัวหน้าโครงการของเธอไม่ได้สนใจการแข่งขันอย่างพวกทหารกลาโหม แต่เขาอยากไปดวงจันทร์
ในช่วงแรก เขาเฉยชาใส่เธอราวกับเป็นพวกเหยียดผิวเหมือนคนอื่นๆ จนเรื่องดำเนินไปสักพักจึงพบว่าที่เขาเฉยชากับเธอเป็นเพราะเขามองเห็นแค่ปัญหาที่เขาต้องข้ามเพื่อจะไปถึงเป้าหมายเท่านั้น สังเกตได้จากการที่เขาดึงแคทเธอรีนมาช่วยเป็นคณิตกรให้ หรือการที่อนุญาตให้เธอได้เข้าห้องประชุมลับ ทั้งๆ ที่มีกฎห้ามเอาไว้
เป้าหมายทำให้เขายอมข้ามทั้งมุมมองและกฎเกณฑ์ ไม่ว่าจะมีปัจจัยใดๆ ที่อาจเป็นปัญหาก็ล้วนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ passion ที่เขามี เท่!
-
Passion ก้าวข้ามกฎเกณฑ์/มุมมองคนอื่น
ในส่วนของแมรีที่ถูกกีดกันเรื่องการเข้าเป็นวิศวกร เพราะขนบธรรมเนียม (ผู้หญิงที่อยากเป็นวิศวกร) และ กฏเกณฑ์ (ห้ามคนดำเรียนหนังสือในมหาลัย) แต่หัวหน้าของเธอที่เป็นชาวยิวหนุนใจเธอว่า “เรากำลังจะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คือการส่งคนไปเดินทางบนวงโคจร ..ทำไมถึงคิดว่าเธอจะเป็นวิศวกรไม่ได้? ในเมื่อเรากำลังจะทำสิ่งที่ดูเป็นไปไม่ได้ ทำไมถึงจะจำกัดตัวเองด้วยอะไรก็ตามที่กรอบให้เราทำ”
-
Passion ก้าวข้ามศัตรู/วิสัยทัศน์
โดโรธีไม่มีความสามารถด้านคณิตศาสตร์มากเท่าแคทเธอรีน และไม่มีความเป็นวิศวกรอย่างแมรี เธอแค่เป็นหัวหน้าห้องคณิตกรผิวสีที่คอยจ่ายงานให้ลูกน้อง ในวันที่เธอเห็นเครื่อง IBM กำลังถูกขนเข้ามาติดตั้ง ก็รู้ทันทีว่าพวกเธอจะตกงานเพราะเจ้าเครื่องนี้แน่นอน แต่แทนที่จะท้อใจและเตรียมหางานใหม่ เธอกลับเข้าห้องสมุด หาหนังสือสำหรับเขียนโค้ดมาอ่าน และที่สำคัญกว่านั้น เธอสอนวิธีการใช้เครื่องนี้ให้กับพนักงานในการดูแลของเธอ สุดท้ายในขณะที่พนักงาน IBM มาติดตั้งแต่ใช้ไม่เป็น โดโรธีก็ได้กลายมาเป็นผู้นำของทีมแรกที่พร้อมจะโค้ดดิ้งให้กับเจ้าเครื่อง IBM นี้
-
Passion ก้าวข้ามอคติ
ในแต่ละฉากมีประเด็นเรื่องผิวสีเข้ามาเกี่ยวมากมาย แต่สิ่งเหล่านั้นถูกข้ามไปด้วย passion ที่ทุกคนมีร่วมกัน ตั้งแต่นักบินอวกาศอย่างจอห์น, ผู้ช่วย ผอ. หรือกระทั่งตำรวจที่อาสาจะขับรถให้ จนถึงฉากการยิงจรวด ที่ผู้คนทุกเพศวัย และทุกสีผิว หยุดยืนดูโทรทัศน์ วินาทีที่ฝันของทุกคนทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่มีสีผิว ไม่มีสีเสื้อ ไม่มีเพศ ไม่มีอายุ มีเพียงสายตาที่จับจ้องไปยังจรวด ซึ่งค่อยๆ ดันตัวขึ้นจากผิวโลกขึ้นไป
_____________________________________
อ.เปาโล ไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น ขณะที่พระเยซูบอกให้ออกไปสั่งสอนชนทุกชาติจนกว่าจะสุดปลายแผ่นดินโลก แต่เป็นคนอื่นอีกหลายคนที่ส่งต่อ passion นั้น กระทั่งมาถึง อ.เปาโล และยังถูกส่งต่อมาอีกหลายรุ่นจนถึงเราทุกๆ คนที่อยู่ตรงนี้
ดังนั้น มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะเป็นผู้รับใช้เต็มเวลา ผู้เชื่อธรรมดา หรือ ไม่ได้เป็นอะไรเลย หากคุณเชื่อใน passion เชื่อในสิ่งที่พระเยซูบอกให้เราออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ …จนกว่าจะสุดปลายแผ่นดินโลก พวกเราก็กำลังอยู่ใน mission เดียวกัน!
“ไม่ใช่เพราะวัฒนธรรม กฎเกณฑ์ ปัญหา อุปสรรค หรือต้นทุนชีวิต
ตอนนี้มีสิ่งสำคัญเพียงเรื่องเดียว คือ “คุณอยากไปดวงจันทร์ไหม?”
…
“ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าได้รับแล้ว หรือ สำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป” (ฟิลิปปี 3:12)
_____________________________________
foot note : เส้นทางชีวิตจริงของสามคุณน้า…ที่น่าทึ่ง!
——————————————————————————————————
คุณน้าแคทเทอรีน จอห์นสัน > แม้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เธอจะได้รับการยอมรับจากที่ทำงานในฐานะหญิงผิวสี แต่เธอก็มีความสำคัญมากๆ ในโปรเจคนี้ จนสุดท้ายในวัยเกษียณ ชื่อของเธอก็ได้ถูกตั้งเพื่อเป็นเกียรติให้กับอาคารแห่งการคำนวณของ NASA<
คุณน้าแมรี แจ็คสัน > ในตอนที่คู่มือระบุชัดว่าการเป็นวิศวกรต้องจบจากมหาลัยที่ถูกกำหนดไว้ แต่ไม่รับคนผิวสี เธอก็ยังเดินเรื่องกับศาล ขณะที่ในยุคนั้น รัฐตอนใต้ไม่ได้ให้ความสนใจกับการเรียกร้องความเสมอภาคของคนผิวสีเลย แต่เธอก็ทุ่มเทจนได้เป็นวิศวกรหญิงผิวสีคนแรกของ NASA และกลายมาเป็นนักเรียกร้องสิทธิสตรีในชีวิตจริง<
https://www.nasa.gov/content/mary-jackson-biography/
คุณน้าโดโรธี วอห์น > ในวันที่เธอเห็นเครื่อง IBM ถูกขนเข้ามาติดตั้งเธอก็รู้ทันทีว่า ในอนาคตอันใกล้นักคณิตกรไม่จำเป็น ซึ่งเธอและพวกเตรียมตัวตกงานได้เลย แต่แทนที่เธอจะเสียใจ เธอกลับมองหาทางออกจากเครื่อง IBM อริทางอ้อมนี้ และพบว่ามันต้องการคนใส่ข้อมูล หรือ โปรแกรมเมอร์ ในการโค้ดดิ้งนั่นเอง เธอจึงพลิกวิกฤตเป็นโอกาส หาตำรามาอ่านก่อนใคร และยังสอนเพื่อนๆ จนในที่สุดเธอก็ได้ก้าวเข้ามาเป็นหัวหน้าทีมโปรแกรมเมอร์ที่ใส่ชุดคำสั่งให้กับเจ้า IBM พร้อมกับเพื่อนๆ <
https://www.nasa.gov/content/dorothy-vaughan-biography
——————————————————————————————————
ด้วยรักและชูโรง
คุณหัวเหลี่ยม
ติดตาม #ชูโรง ถอดหนังสไตล์คริสเตียนได้ในวันพฤหัส เดือนละ 1 เรื่อง หรือมากกว่านั้น ถ้าหนังเรื่องไหนดูแล้วดีมีประเด็น เราจะหยิบมาพูดคุยกันตามสไตล์คริสเตียนจ้าาาาา 🙂
Related Posts
- Author:
- เนื้อแท้เป็นคนรักหนัง เบื้องหลังดีไซน์เก๋ๆ สวยๆ ของเว็บชูใจ คือฝีมือของเค้า นักออกแบบตัวยงผู้รักบอร์ดเกมเป็นชีวิตจิตใจ และอยากเห็นงานสร้างสรรค์คริสเตียนไทยพัฒนาก้าวไกลไม่แพ้ชาติไหนในโลก
- Illustrator:
- Jostar
- พี่ชายผู้อบอุ่นละมุนละไม เวลาใส่หมวกกันน๊อคแล้วนั่ลล๊าคดั่ง Pororo อดีตมาสเซอร์วิชาสอนศิลปะ ปัจจุบันถวายตัวรับใช้ที่โบสถ์สไตล์ลอฟๆ ชอบขีดๆ เขียนๆ วาดๆ
- Editor:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน