HIGHLIGHTS:
- แท้จริงแล้ว วันวาเลนไทน์ คือวันที่นักบุญวาเลนไทน์ต้องจบชีวิตลงเพราะไม่ยอมปฏิเสธที่จะทำตามหัวใจเรียกร้อง คือการที่จะประกาศความรักของพระเจ้าออกไป
- ความสัมพันธ์ระหว่างวาเลนไทน์กับครอบครัวของพัสดีและลูกสาวนั้นเป็น “มิตรภาพ” ที่ไม่ใช่ความรักแบบหนุ่มสาวอย่างที่เราอาจเคยได้ยินมาบ้างเพราะท่านเป็นนักบวช หากมีจะไม่ถูกยกเป็นนักบุญแน่นอนครับแต่เรื่องราวที่เล่าต่อกันนั้นบ้างก็มีการแต่งเติมความโรแมนติกเข้าไปให้สมกับวันแห่งความรักมากขึ้น
❤️ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเป็นวันที่เราเรียกกันว่า “วาเลนไทน์” รู้จักกันดีในชื่อว่า “วันแห่งความรัก” ถูกตั้งขึ้นมาตามชื่อของนักบุญคนหนึ่งคือ St.Valentine of Terni ผมอยากจะเล่าเรื่องราวสั้น ๆ เกี่ยวกับตัวตนของนักบุญท่านนี้ พร้อมกับสะท้อนคิดนิดหน่อยเกี่ยวกับชีวิตของท่านครับ
นักบุญวาเลนไทน์เดิมทีทำหน้าที่เป็นบิชอบประจำเมือง แตร์นี(Terni)
ในช่วงเวลาที่จักรพรรดิคลาวดิอัสที่ 2 แห่งกรุงโรมครองราชย์ ในช่วงเวลานั้นการแต่งงานของคู่หนุ่มสาวนับเป็นเรื่องผิดกฏหมาย เนื่องจากมีภาวะศึกสงคราม จักรพรรดิคลาวดิอัสเองมีความต้องการทหารจำนวนมากเข้าร่วมกองทัพในสงครามแต่ก็ไม่เป็นผล เขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญที่ทำให้ชายชาวโรมันไม่สมัครเข้าร่วมกองทัพก็คือ พวกเขาไม่ต้องการละจากครอบครัวและคนรัก ด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้พระองค์ใช้อำนาจประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงาน และงานหมั้นทั้งหมดทั่วแผ่นดิน มีการบันทึกว่าวาเลนไทน์ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ ท่านยังคงจัดงานแต่งงานให้กับชายหนุ่มหญิงสาวที่เป็นคริสเตียนอย่างลับ ๆ เรื่อยมา
ไม่นานหลังจากที่เรื่องราวรู้ไปถึงหูของเจ้าหน้าที่รัฐ วาเลนไทน์ก็ถูกจับกักบริเวณเอาไว้ในบ้านที่คุมโดยมีพัสดีนามว่าแอสเทเรียสเป็นคนดูแล(ลักษณะเดียวกับอาจารย์เปาโล คือไม่ได้อยู่ในคุกแต่ถูกคุมตัวเอาไว้ในบ้านที่มีรั้วรอบขอบชิด) พัสดีแอสเทเรียสมีลูกสาวตาบอดคนหนึ่ง เมื่อท่านสนทนากับวาเลนไทน์ก็ได้ให้สัญญาว่าถ้าหากวาเลนไทน์สามารถรักษาลูกสาวของเขาให้ตาหายบอดได้ก็จะยอมฟังคำขอของวาเลนไทน์ทุกอย่าง วาเลนไทน์จึงวางมือบนดวงตาของนางและอธิษฐานขอพระเจ้ารักษาดวงตาของหญิงสาวคนนี้ โดยพระคุณของพระเจ้าตาของเธอก็หายจากอาการบอด
ภาพถ่าย วิหารแห่งเมืองแตร์นี โดย Freakit (ดัดแปลงรูปภาพ)
และเป็นไปโดยความสัตย์พัสดีแอสเทเรียสจึงฟังคำขอทุกข้อของวาเลนไทน์ตามคำพูด นั่นคือการยกเลิกความเชื่อตามจารีตเก่าของตนที่ไหว้รูปเคารพและเทพเจ้าจำนวนมากและริเริ่มการดำเนินชีวิตในความเชื่อแบบคริสเตียน พร้อมทั้งพาคนในบ้านอีก 44 คนมารับความเชื่อด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างวาเลนไทน์และครอบครัวของพัสดีท่านนี้แน่นแฟ้นขึ้นตามกาลเวลา วาเลนไทน์คอยสั่งสอนพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องของพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ จนถึงวันที่ท่านถูกปล่อยตัวออกจากการกักบริเวณ
ภาพถ่าย โดย Attilios (ดัดแปลงรูปภาพ)
หลังจากพ้นโทษแล้ว นักบุญวาเลนไทน์ก็ไม่ได้เลิกกระทำพันธกิจดังที่เขาเคยทำนั่นคือการจัดงานแต่งงานให้กับคู่หนุ่มสาว รวมไปถึงการชักชวนผู้คนจำนวนมากให้เข้ามารับความเชื่อและดำเนินชีวิตแบบคริสเตียน เมื่อเป็นอย่างนั้นท่านจึงโดนจับกุมอีกครั้ง แต่คราวนี้ถูกจับและส่งตัวไปคุมขังในกรุงโรม ภายใต้การปกครองของกษัตริย์คลาสดิอัสที่ 2 แต่ท่านก็ไม่หยุดภาระกิจที่ตนเองทำ แม้จะถูกขังในกรุงโรมก็ตาม
ในวาระสุดท้ายวาเลนไทน์พยายามไปเกลี้ยกล่อมให้กษัตริย์คลาวดิอัสที่ 2 หันมารับความเชื่อแบบคริสเตียน จักรพรรดิแห่งโรมจึงโกรธจัดและสั่งให้ท่านประกาศตัวเลิกนับถือความเชื่อแบบคริสเตียนถ้าไม่ปฏิเสธก็จะถูกจับประหารชีวิต แน่นอนว่าวาเลนไทน์ปฏิเสธไม่ทำตามที่จักรพรรดิเรียกร้อง
ท่านจึง… ถูกประหารชีวิตด้วยการตัดหัวในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 269
ก่อนที่วาระสุดท้ายของท่านจะมาถึง วาเลนไทน์ได้เขียนจดหมายฉบับสุดท้ายเพื่อฝากไปถึง พัสดีและครอบครัวของเขา โดยลงท้ายจดหมายด้วยประโยคที่ว่า “from your Valentine”
ตามหนังสือ “The Book of Saints” นั้นความสัมพันธ์ระหว่างวาเลนไทน์กับครอบครัวของพัสดีและลูกสาวนั้นเป็น “มิตรภาพ” ที่ไม่ใช่ความรักแบบหนุ่มสาวเพราะนักบวชจะมีความสัมพันธ์แบบนั้นไม่ได้ หากมีจะไม่ถูกยกเป็นนักบุญแน่นอนครับแต่เรื่องราวที่เล่าต่อกันนั้นบ้างก็มีการแต่งเติมความโรแมนติกเข้าไปให้สมกับวันแห่งความรักมากขึ้น
หัวใจของเราเรียกร้องให้เราทำอะไร …ในที่ที่เราอยู่ ในโบสถ์ที่เราไป?
“ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน” (ยอห์น15:13)
การสละชีวิตของวาเลนไทน์นั้นอาจไม่ได้หมายถึงการสละชีวิตเท่านั้น หากแต่คือการอุทิศทั้งชีวิตเพื่อให้ผู้อื่นมาถึงความรักของพระคริสต์
เมื่อเรากลับมามองวันวาเลนไทน์ในปัจจุบัน แน่นอน เราพบว่าความหมายของ “ความรัก” ในวันวาเลนไทน์สำหรับเราทุกวันนี้กล่าวถึงความรักของชายหนุ่มหญิงสาว ความรักของคู่รัก คู่แต่งงาน หรือความรักของคู่อื่นๆในทำนองนี้ทั้งสิ้น แต่เมื่อเรามองย้อนกลับไปดูดีๆในประวัติศาสตร์แล้ว ความรัก ที่อยู่ในตัวนักบุญท่านนี้ แตกต่างจากความรักที่กล่าวถึงเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
สำหรับวาเลนไทน์แล้วผมมีความคิดเห็นว่า ความรักของท่านคือความรักที่มีต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์อย่างลึกซึ้ง รักจนสามารถยอมสละแม้แต่ชีวิตของตนเองเพื่อที่จะแบ่งปันสิ่งดีให้กับผู้อื่นได้ ท่านคือตัวแทนแห่งการประกาศความรักของพระเจ้าให้กับผู้อื่น แล้วเราทั้งหลายล่ะครับ อยากจะเป็น Valentine ให้กับใครหรือไม่? อยากจะเป็นคนนั้นผู้นำความรักของพระปันความรักของเจ้าไปมอบให้กับผู้ที่ยังขาดอยู่รึเปล่า?
ความรักนั้น … เช่นเดียวกับความเชื่อที่ต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ และการกระทำที่มีพลังในการเปลี่ยนโลกใบนี้คือการกระทำที่เปี่ยมด้วยความรัก
From your “ชูใจ” ❤️
อ้างอิงจาก
- Jones, Terry. “Valentine of Terni”. Patron Saints Tom. 2010.
- Castleden, Rodney. “The Book of Saints”. 2006.
- Kithcart, David. “St. Valentine, the Real Story”. published on http://www1.cbn.com/st-valentine-re…
Related Posts
- Author:
- นักวาดภาพแนวปรัชญา นักดนตรีแนวปรัชญา ผู้รับใช้แนวปรัชญา ฯลฯแนวปรัชญา ชื่นชอบการผจญภัยไปในความคิดและการดูหนังจีนกำลังภายในเป็นชีวิตจิตใจ
- Illustrator:
- Atom Pokaew
- นักวาดภาพแนวปรัชญา นักดนตรีแนวปรัชญา ผู้รับใช้แนวปรัชญา ฯลฯแนวปรัชญา ชื่นชอบการผจญภัยไปในความคิดและการดูหนังจีนกำลังภายในเป็นชีวิตจิตใจ
- Editor:
- Perapat T.
- Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)