HIGHLIGHTS:
- ภาษารักคือวิธีการแสดงออกและรับรู้ถึงการเป็นที่รักของคนเรา ซึ่งแต่ละคนมีภาษารักไม่เหมือนกัน
- พระเยซูเองก็ทรงสำแดงความรักผ่านวิธีการหลากหลายและสื่อสารความรักผ่านภาษารักทั้ง 5 เช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่นในยอห์นบทที่ 13
- เราสามารถตอบสนองความรักต่อพระเจ้าได้ด้วยภาษารักทั้ง 5 แบบซะด้วย
[Book Talk อ่านมาเล่า] วันนี้ขอเล่าข้อคิดจากการอ่านหนังสือ “ภาษารัก” ของ สำนักพิมพ์กนกบรรณสาร ค่ะ Gary Chapman ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึงภาษารัก 5 รูปแบบด้วยกัน เนื่องจากเราแต่ละคนมีวิธีการสื่อสารความรักต่างกัน ดังนั้นการทำความเข้าใจภาษารักของเราและผู้อื่นจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก วันนี้จะขอยกมาสั้น ๆ ส่วนรายละเอียดลึก ๆ อยากให้ลองไปหามาอ่านกันนะคะ
รู้จักภาษารักทั้ง 5 แบบ
ผู้ที่มีภาษารักเป็นคำพูดหนุนใจนั้น จะแสดงความรักผ่านถ้อยคำและไม่เคยหยุดที่จะชื่นชมผู้อื่น
ในทำนองเดียวกันเพื่อให้เขารับรู้ว่า “เราเองรักก็เขา” พวกเขาจึงปรารถนาที่จะได้ยินคำบอกรัก คำชมเชยต่าง ๆ รวมถึงถ้อยคำที่แสดงออกถึงความห่วงใย แม้ว่าเราจะแสดงออกเป็นการกระทำมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังอยากได้ยินจากปากและชอบที่จะได้ยินอย่างไม่รู้เบื่อ แต่กระนั้นก็ไม่ควรพูดพร่ำเพรื่อเรื่อยเปื่อยนะคะ พวกเขารู้ว่าคำพูดไหนจริงใจหรือไม่ คนกลุ่มนี้ไวกับคำพูดมาก ๆ แค่คำชมเชยเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เขามีความสุขได้แล้ว ในทางกลับกัน คำตำหนิเล็กน้อยก็ทำลายความสดใสให้หมดไปทั้งวัน
สำหรับคนกลุ่มที่สองนี้ ชอบที่จะได้รับการสัมผัสด้วยความนุ่มนวล เพียงแต่แตะเบาๆ ไม่ต้องพูดอะไรมาก คนกลุ่มนี้ก็จะรู้สึกได้ว่าคุณรักเขา
การสัมผัสนั้นมีลักษณะพิเศษกว่าภาษาอื่นตรงที่มีเรื่องของกายภาพเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะคนเรามีปลายประสาทที่รับรู้ความรู้สึกทั่วร่างกาย ความใกล้ชิดทางกายอาจทำให้เราหลายคนรู้สึกดี แต่ภาษารักนั้นเป็นเรื่องของการรับรู้และสื่อความหมายของการเป็นที่รักด้วย ผู้ที่มีภาษาแบบนี้จะรู้สึกเป็นที่รักเมื่อคนที่รักสัมผัสเขาไม่ใช่เพียงรู้สึกดีเท่านั้น
สำหรับวัฒนธรรมไทย การแสดงออกด้วยการสัมผัสนั้นควรทำแต่พอดี เราสามารถแสดงออกถึงความรักได้ตามสถานการณ์ที่เหมาะสม นอกจากการสวมกอดและการจูบ ยังมีการแสดงออกอีกมากมายหลายวิธี เช่น การกุมมือนิ่งๆ ในวันที่มีปัญหา การตบหลังเบา ๆ เพื่อเป็นการชมเชย ผู้ใหญ่ลูบหัวเด็กแสดงความเอ็นดู เป็นต้น
ของขวัญอันเปี่ยมความหมายไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของราคาแพง แต่สิ่งของต่าง ๆ มีเรื่องราวและความรู้สึกอัดแน่นเต็มเปี่ยม
ภาษารักของคนกลุ่มนี้จะออกมาในรูปแบบของการให้และการรับ พวกเขาเชื่อในความรักที่จับต้องได้ ดังนั้น พวกเขามักนึกถึงคนอื่น และเมื่อเขารัก ก็มักจะมอบสิ่งของให้กับคนนั้นเพื่อเป็นสิ่งแทนใจ ในขณะเดียวกันการที่เขาได้รับสิ่งของจากผู้อื่นก็เป็นการสื่อความรักจากผู้ให้ต่อเขาด้วยเช่นกัน ของขวัญเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องมีทุกวัน ทุกสัปดาห์ คนกลุ่มนี้ไม่ต้องการของขวัญราคาแพง
พวกเขาไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น นอกจากที่เป็นรูปธรรมเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักของเขานั่นเอง
ตัวอย่าง เช่น แหวนแต่งงาน ตั๋วหนังใบแรกที่ดูด้วยกัน เม็ดทรายจากทะเลที่เคยเดิน รูปถ่ายที่พิเศษ
ให้เข้าใจได้ง่าย ๆ คือการได้ ดูแลเอาใจใส่คนที่เขารัก สำหรับคริสเตียนนั้น รวมถึงการรับใช้ซึ่งกันและกันด้วย
ผู้ที่มีภาษารักแห่งการดูแลเอาใจใส่นั้น เขาเต็มใจหยิบยื่นความช่วยเหลือ ไม่รีรอที่จะทำสิ่งละอันพันละน้อยให้คนที่เขารัก ในขณะเดียวกันเขาเองก็ต้องการได้รับการเอาใจใส่ด้วยเพื่อเป็นการรับรู้ถึงการเป็นที่รัก หลายอย่างที่เขาทำอาจเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คนอื่นมองข้ามแต่เขาก็เต็มใจทำ รวมถึงการดูแลเอาใจใส่ งานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ การล้างจาน ทิ้งขยะ การนำน้ำเย็นให้กับผู้ที่เหน็ดเหนื่อย นั่นก็เป็นภาษาการรับใช้แล้ว รวมถึงการให้คำแนะนำปรึกษา นี่ก็เป็นหนึ่งในภาษาการรับใช้ด้วยเหมือนกัน
สำหรับ ผู้ที่มีภาษารักเป็นเรื่อง “เวลา” การใช้เวลาร่วมกัน มีกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน
ได้เจอหน้า การที่มีคนๆ หนึ่งอยู่ข้างๆ ในวันที่เศร้าโศก การใช้เวลาที่มีคุณภาพด้วยกันไม่ใช่แค่การนั่งดูบอลด้วยกัน หรือ อยู่ในรถด้วยกันเวลารถติด แต่รวมถึงการให้สนใจและคุณค่ากับเวลานั้นด้วย ไม่ใช่ว่าสนใจแต่บอลที่ถ่ายทอดสดอยู่ โดยไม่ใส่ใจคนที่นั่งข้าง ๆ เลย การอยู่ข้าง ๆ แต่ไม่มีปฎิสัมพันธ์แบบนั้น จะเรียกว่าการใช้เวลาร่วมกันก็จะกระไรอยู่นะคะ การนั่งกินข้าวด้วยกันเป็นชั่วโมง โดยไม่สนใจผู้ร่วมโต๊ะเลย ก็คงไม่มีค่าเท่ากับการได้เปิดใจคุยกันเพียง 5 นาที เพราะ เวลาที่มีคุณภาพอาจไม่ต้องยาวนานมากมาย
พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างในการสำแดงความรัก …
เมื่อเราได้รู้เรื่องภาษารัก 5 แบบแล้ว เรายังได้เรียนรู้จากการเฝ้าเดี่ยวในค่าย ๆ หนึ่งด้วยค่ะ ตอนนั้นเราได้อ่านพระคัมภีร์ใน ยอห์น 13:1-38 ซึ่งเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่พระเยซูจะได้อยู่บนโลกมนุษย์แล้วค่ะ อีกไม่นานพระองค์จะถูกจับกุมและตรึงกางเขน พระองค์ทรงสำแดงความรักแก่เหล่าสาวกทั้ง 12 คนในอาหารมื้อสุดท้าย ซึ่งมีการแสดงออกความรักของพระเยซูด้วยภาษารักครบถ้วนทั้ง 5 แบบเลย
1. พระเยซูทรงบอกรักเหล่าสาวก และกำชับให้พวกเขารักกัน (คำพูดที่หนุนน้ำใจ)
“เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลายคือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน
เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” –(ยอห์น 13:34)
บัญญัติใหม่นั้นไม่ใช่ผ่านทางเอกสาร หรือ แผ่นหินแต่ผ่านจากปากของพระองค์เองคำกำชับให้รักกันนี้ คือหลักการสำคัญของคริสเตียน สิ่งที่พระเยซูทำแสดงออกถึงความรักชัดเจนอยู่แล้วแต่พระองค์ก็ยังคงพูดย้ำเตือนด้วย
2. พระองค์มิได้ทรงถือตัว (สัมผัสทางกาย)
“มีสาวกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักได้เอนกายอยู่ที่พระทรวงของพระเยซู” –(ยน. 13:23)
“ภาษาสัมผัส” ที่พระเยซูทรงใช้ อาจจะเห็นได้ไม่ชัดมากในยอห์นบทนี้แต่เราก็เห็นได้จากการที่มีสาวกของพระองค์ได้เอนกายอยู่ใกล้พระองค์นี่ก็เป็นอีกภาษาสัมผัสหนึ่งที่พระเยซูได้ใช้แสดงออกแก่เหล่าสาวกข้อพระคัมภีร์ที่ชัดเจนกว่านั้นอยู่ในตอนที่พวกพ่อแม่ของเด็กๆ พาเด็กๆมาเฝ้าพระเยซู และพวกสาวกต่างห้ามไม่ให้เด็กเล็ก ๆ เข้าใกล้พระองค์แต่พระองค์ได้พูดว่า …
“จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลยเพราะว่า แผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนเช่นเด็กอย่างนั้น” – (มาระโก 10:14)
-
กายของเราและโลหิตของเรา (ของขวัญอันเปี่ยมความหมาย)
“นี่เป็นกายของเรา ซึ่งให้ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย จงทำอย่างนี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเรา” –(ลูกา 22:19)
และภาษาที่สาม “ภาษาของขวัญ” สำหรับอันนี้ไม่รู้จะ Quote ยังไงดีเลย แม้ในหนังสือยอห์นจะไม่ได้บันทึกบทสนทนานี้ไว้ แต่บทสนทนาบนโต๊ะอาหารนี้ปรากฏในหนังสือลูกา เราต่างรู้ ๆ กันอยู่แล้วว่า พระเยซูเป็นของขวัญพิเศษที่พระเจ้าได้ส่งมาให้เราพระองค์ทรงเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และประเสริฐที่สุด ในบรรดาของขวัญทั้งหมดที่เราเคยได้รับมาทั้งชีวิต พระองค์เองทรงมอบทั้งพระกายและพระโลหิต ให้เราทุกคนเป็นของขวัญแห่งการคืนดีกับพระเจ้า
-
พระเยซูทรงล้างเท้าสาวก (การดูแลเอาใจใส่)
“พระองค์ทรงลุกขึ้นจากการรับประทานอาหารเย็น ทรงถอดฉลองพระองค์ออกวางไว้ และ
ทรงเอาผ้าเช็ดตัวคาดเอวพระองค์ไว้ แล้วก็ทรงเทน้ำลงในอ่าง
และทรงตั้งต้นเอาน้ำล้างเท้าของพวกสาวก และเช็ดด้วยผ้าที่ทรงคาดเอวไว้นั้น” –(ยอห์น 13:4-5)
การล้างเท้าเป็น “ภาษาแห่งการรับใช้” เพื่อแสดงออกว่าพระองค์รักพวกเขามากเพียงใด พระองค์ยอมถ่อมกายใจ และยอมที่จะล้างเท้าให้กับพวกสาวกด้วยมือของพระองค์เอง ซึ่งเท้านั้นถือเป็นของต้อยต่ำและการที่พระองค์รับใช้ผู้อื่นนั้นก็แสดงถึงความรักอันยิ่งใหญ่
-
พระเยซูทรงใช้เวลากับเหล่าสาวก (เวลาที่มีคุณภาพ)
“ก่อนเทศกาลปัสกาเมื่อพระเยซูทรงทราบว่า ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา
พระองค์ทรงรักพวกของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด
ทรงล้างเท้าของพวกสาวกขณะเมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว” –(ยอห์น 13:1-2)
นอกจากนี้ยังมี “ภาษาแห่งการใช้เวลา” โดยการทานอาหารร่วมกับสาวกทั้งหลาย การได้นั่งคุยกันการที่พระองค์ได้สอนคำสอนต่างๆแก่เหล่าสาวกในระหว่างการับประทานอาหาร มีหลายเหตุการณ์ที่มีความสำคัญเกิดขึ้นในเวลานี้ พระองค์ไม่ได้แค่ใช้เวลาทานอาหารร่วมกันเท่านั้น แต่พระองค์ยังใช้่เวลาร่วมกันนี้ ในการสนใจคู่สนทนา และใช้บทสนทนาที่กระชับความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับเหล่าสาวกอีกด้วย
เราจะตอบสนองความรักที่พระเยซูมีต่อเรา โดยผ่านการแสดงออกทั้ง 5 ได้ยังไง?
ทางคำพูด ขอให้คำสรรเสริญออกจากปากของเราเรื่อยไป ให้เกียรติ และสรรเสริญพระเจ้าตลอดเวลา
ทางการสัมผัส แม้เราสัมผัสพระเจ้าไม่ได้ทางกายเพราะพระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณ แต่ให้เราสำแดงความรักของพระคริสต์ต่อผู้อื่น เพราะพระคัมภีร์บอกว่าถ้าเราทำดีแก่ผู้อื่นก็เหมือนเราได้ทำให้กับพระองค์ด้วย
การใช้เวลา เรามีเวลาคุณภาพให้พระองค์มากแค่ไหน เราสามารถใช้เวลากับพระองค์ผ่านการอธิษฐาน เฝ้าเดี่ยว อ่านพระคัมภีร์ด้วยความจดจ่อ
การรับใช้ รับใช้ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เพียงแต่เป็นหน้าที่เท่านั้น การรับใช้พระเจ้าที่ดีที่สุดก็คือการรับใช้ผู้อื่นด้วยความรัก
ภาษาของขวัญ แบ่งปันช่วยเหลือกัน รวมถึงการถวายสิบลด เหล่านี้ เราคิดว่าเป็นของขวัญที่เป็นรูปธรรมที่เราสามารถทำให้พระเจ้าได้ และถวายตัวของเราเป็นของขวัญให้แก่พระองค์ด้วย
หากว่าเรารักพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจจริงๆ ทุกอย่างเราจะยอมทำให้พระเจ้าได้ แล้วชีวิตเราก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น พระเจ้าจะอวยพระพรให้แก่เราแน่นอนค่ะเพราะว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่งนะคะ
ด้วยภาษารักและชูใจ <3
พบกับคอลัมน์ย่อยของ #Featured “Book Talk: อ่านมาเล่า” กับการหยิบจับหนังสือดีต่อใจมาเล่าใหม่ในมุมมองคริสเตียนได้ทุกเดือน และถ้าชาวชูใจสนใจหนังสือคริสเตียนดีๆ เล่มนี้ ก็ตามไปที่ เพจกนกบรรณสาร ได้เลยค่ะ 🙂
Related Posts
- Author:
- ล.ย. : Blogger สาวน้อยในกทม. หัวใจเหนือ ที่พี่ชูใจพบเจอโดยบังเอิญ มีผลงานโดดเด่นเตะตาจนต้องจีบมาชูใจกันนนนนนน
- Illustrator:
- Jostar
- พี่ชายผู้อบอุ่นละมุนละไม เวลาใส่หมวกกันน๊อคแล้วนั่ลล๊าคดั่ง Pororo อดีตมาสเซอร์วิชาสอนศิลปะ ปัจจุบันถวายตัวรับใช้ที่โบสถ์สไตล์ลอฟๆ ชอบขีดๆ เขียนๆ วาดๆ
- Editor:
- Perapat T.
- Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)