บางทีเราก็รู้สึกว่าชีวิตอาจเปรียบได้กับหนังสือที่ไม่ว่าจะอ่านกี่ครั้งก็ไม่เหมือนเดิม เราได้อะไรแปลกใหม่จากการอ่านเรื่องราวซ้ำ ๆ เสมอ เมื่อตั้งต้นกับมันอีกครั้ง
ระยะทางของชีวิตที่ผ่านมาแล้วก็เช่นกัน…
เรื่องราวและเหตุการณ์ในทรงจำของฉันจากระยะจำนวน 23 ปี ล้วนเป็นเรื่องเล่าที่บิดเบี้ยวไปตามมุมมองและการรับรู้อันเกี่ยวพ่วงไปกับปัจจัยอื่นอีกหลากหลาย เพราะความทรงจำเป็นความจริงที่ถูกปรุงแต่งขึ้น เช่น ความทรงจำที่มีร่วมกันหลายคน เรื่องที่ถูกเล่าจากคนหนึ่งอาจต่างกับที่อีกคนหนึ่งเล่า การถามถึงอดีตกับตัวเองในแต่ละช่วงเวลาก็เป็นอย่างนั้น มันมักจะต่างกันไปตามปัจจัยเกี่ยวพ่วง
ในปีที่ 2016 ที่เพิ่งผ่านมานี้พารากราฟของชีวิตฉันมีธีมใหญ่ประจำปีคือ “ความเปลี่ยนแปลง”
ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนที่อยู่หรือเปลี่ยนสถานภาพจากนักศึกษาเป็นวัยทำงานเต็มตัว จังหวะของการเปลี่ยนแปลงได้ทำให้ใจฉันหดหู่ สับสน และกระวนกระวายอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะแม้จะเตรียมตัวพร้อมแค่ไหน แต่ความลังเลยังเกาะติดอยู่ในใจ ขนาดที่ว่ากระทำการตัดสินใจไปแล้วก็ยังไม่วายคิดเปลี่ยนใจด้วยความกลัวในอนาคตที่ไม่มั่นคง
“เรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อ?”
คำถามที่เด็กจบใหม่ทุกคนต้องเผชิญมักทำให้ฉันรู้สึกกระอักกระอ่วนเสมอ คิดว่าเพื่อนหลายคนคงรู้สึกแบบเดียวกัน บ้างมีจุดหมายในใจ บ้างยังเลื่อนลอยขาดที่หมายเพื่อไปต่อ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ความกดดันก็ล้วนปกคลุมอยู่ในคำตอบของพวกเรา
ตัวฉันมีแผนในชีวิตขั้นต่อไปคือ “การย้ายถิ่นฐานไปอยู่เชียงใหม่” นี่เป็นคำตอบตายตัวในใจที่พยายามเลี่ยงเพราะกลัวคำถามต่อไปจะมาถึง… คำถามที่ฉันกำลังถามตัวเองอยู่เหมือนกันว่าเด็กจบใหม่ที่ใช้ชีวิตในกรุงเทพฯมาตลอด 22 ปีจะย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ต่างถิ่นคนเดียวยังไง? จะได้ทำงานแบบไหน? จะมีเงินพออยู่พอกินไหม? จะมีความสุขกับสิ่งที่ตัดสินใจหรือเปล่า? ไม่มีคำตอบตายตัวที่เห็นก่อน ฉันจึงกลัวว่าความลังเลที่เกาะสิงใจอยู่จะปรากฏชัดขึ้นมาจนทำให้จุดหมายหลักที่ยึดไว้ต้องสั่นคลอน
กระทั่งถึงตอนย้ายมาอยู่จริง ขณะนั้นยังไม่ได้งานในทันที ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของหลายคนที่เพิ่งจบการศึกษา แต่ความจำเป็นมันต่างกัน ฉันคิดเอาว่าฉันจำเป็นมากกว่าเพราะต้องเลี้ยงดูตัวเองโดยลำพัง
เมื่อคิดเช่นนั้น ความกลัวและกังวลจึงชัดขึ้นเรื่อยๆ สถานการณ์ตึงเครียดจนฉันอธิษฐานแบบกำหนดวันที่กับพระเจ้า เขียนบันทึกถึงคำอธิษฐานว่าขอให้ได้งานภายในวันนั้นวันนี้ พอเลยวันที่ตัวเองกำหนดกับพระเจ้าไปจิตใจก็ยิ่งไม่มั่นคง ถึงจะรู้ว่าพระองค์จะเลี้ยงดูและทันเวลาเสมอ แต่ความรู้สึกนั้นยังคงเป็นคนละส่วนกับความเข้าใจ
ในหัวตอนนั้นจึงเริ่มมีคำว่า “ถ้า” เต็มไปหมด
“ถ้ามีครอบครัวเลี้ยงดู..
ถ้ามีบ้านเป็นของตัวเอง..
ถ้ามีทรัพย์สินมากมาย..
ถ้า… ”
ฉันพาลนึกโหยหาไปถึงสิ่งที่ขาด มุดจมอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน ติดอยู่ในความโกรธ คิดกล่าวโทษสถานการณ์ คิดย้ำอดีตแม้จะรู้ว่าไม่อาจแก้ไข ติดอยู่กับคนที่หล่นหายไปจากชีวิต ติดอยู่กับเหตุการณ์ที่สร้างแผลในใจ บวกกับอาการเคว้งคว้างเพราะต้องแยกย้ายกับเพื่อนไปคนละทิศทาง ก้อนมวลความคิดก่อตัวเป็นความเศร้า จากเรื่องเล็กๆ รวมกันเป็นความกังวลก้อนใหญ่ซึ่งค่อนเอียงไปทางหมดหวัง ฉุดดึงตัวเองเข้าสู่วังวนที่ย่ำแย่อีกครั้ง
จนกระทั่ง… เวลาผ่านไปไม่กี่เดือนก็ได้งานอย่างต้องการ
ทว่าความเครียด ความกลัว ความกังวลนั้นไม่ห่างหายไปไหน มันจากไปและกลับมาเป็นพักๆ เกือบทุกครั้งที่รู้สึกแย่ก็มักจะย้อนนึกไปถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิต กลับไปจมอยู่กับความรู้สึกเดิมๆ ติดอยู่กับอดีตความทรงจำที่ไม่อยากนึกถึง
ตัวฉันเองกำลังทำให้เรื่องแย่ของเมื่อวานเข้ามามีผลกับวันนี้จนกระทบไปถึงวันพรุ่งนี้
ฉันกำลังผูกอนาคตไว้กับ “อดีต”
ตอนนี้ฉันเริ่มเข้าใจว่าต้นตอของปัญหาจริงๆ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง ทั้งเรื่องย้ายถิ่นฐาน การหางาน หรือการโดดเดี่ยวที่ต้องแยกจากเพื่อน
สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแรงกระตุ้น แต่รากของปัญหาจริงคือมุมมองที่ฉันสร้างขึ้นต่อสถานการณ์ในชีวิตที่ผ่านมาจนวัย 23 ปี มุมมองและการรับรู้ที่กลายเป็นความทรงจำอันขมขื่นใจจนทำให้เกิดผลในทางลบ อย่างไรก็ตาม การรู้ปัญหาไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถแก้ไขมันได้!
ตัวฉันรู้ดีว่าไม่สามารถทำสำเร็จโดยลำพัง
ดังนั้น มอบปัญหา ความกลัว ความกังวลทั้งหลายไว้ที่พระเจ้า และมองหาการทรงนำของพระองค์ในทุกความทรงจำของชีวิตให้เจอ
“จงวางใจในพระยาเวห์ด้วยสุดใจของเจ้า
และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง
จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า
แล้วพระองค์เองจะทรงทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น” -(สุภาษิต 3: 5-6)
.
เพราะก่อนที่เราจะได้พบ เราถูกพบมาก่อนแล้ว และก่อนที่เราจะรู้จัก เราถูกรู้จักมาก่อนแล้ว ถ้าเชื่ออย่างนั้นจะเข้าใจว่า
“พระเจ้าผู้รักและรู้จักเราดีที่สุด ย่อมมอบหนทางที่ดีที่สุดให้สำหรับเราเสมอ … หากตอนนี้จะยังไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร ขอให้เชื่อว่าอีกหน่อยจะเข้าใจเอง ทุกเหตุการณ์และบริบทแวดล้อมจะต้องมีเหตุผลที่ทำให้มันเกิดขึ้น”
ในปีย้อนหลังของปีต่อไปหลังจากนี้ ฉันตั้งใจจะให้พระเจ้าอยู่ในทุกความทรงจำของระยะจำนวนปีชีวิตที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่ในปัจจุบันแต่หมายรวมถึงอดีตที่ต้องผจญด้วย แม้จังหวะชีวิตจะมีสะดุดบ้าง หกล้มบ้าง ดำเนินอยู่ในทางขลุกขลักมากกว่าราบเรียบ แต่อย่างไรก็ตาม ย่อมมีความงดงามในความไม่สมบูรณ์เสมอ อยู่ที่ว่าตัวฉันจะมองเห็นความงดงามนั้นหรือไม่
ฉันหวังว่าจะได้พบสิ่งใหม่ ๆ ในเรื่องเดิมเสมอ, คุณก็เช่นกัน
EMMA C.
ติดตาม #Featured คอลัมน์บทความทันกระแส ที่หยิบจับทุกเรื่องราวมามองใหม่ในมุมมองคริสเตียน ได้ทุกวันพฤหัสบดีสีส้ม ที่ ชูใจ Project นะคะ 🙂
Related Posts
- Author:
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
- Illustrator:
- Jostar
- พี่ชายผู้อบอุ่นละมุนละไม เวลาใส่หมวกกันน๊อคแล้วนั่ลล๊าคดั่ง Pororo อดีตมาสเซอร์วิชาสอนศิลปะ ปัจจุบันถวายตัวรับใช้ที่โบสถ์สไตล์ลอฟๆ ชอบขีดๆ เขียนๆ วาดๆ
- Editor:
- Perapat T.
- Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)