‘อารัมภบท
คำยืนยัน‘
“พระเจ้าบอกว่า ถ้าคิวเริ่มรับใช้เต็มเวลาเมื่อไหร่ ให้หมิงถวายให้เป็นคนแรก”
‘คริสตจักรแสงสว่าง’
พระเจ้าให้ภาระใจกับเพื่อนคนนึงของผมตอนที่เค้าอธิษฐานตอบสนองเรื่อง “การเป็นผู้อารักขา” ในค่าย YC ปี 2013 ณ ตอนนั้นผมยังไม่ได้ตัดสินใจรับใช้พระเจ้าด้วยซ้ำ แม้ว่าเราจะเรามาจากโบสถ์เดียวกัน และอยู่กลุ่มเดียวกันในค่ายแต่เราไม่ได้คุยกันเรื่องนี้เลย
หลังจากนั้นผมได้มีโอกาสเป็นพยานในกลุ่มที่โบสถ์เรื่องการทรงเรียกของพระเจ้าที่เกิดขึ้นในค่าย พอจบการแบ่งปันหมิงได้เดินเข้ามามาตบบ่าผมและพูดว่า “ไม่ต้องกลัวนะ เรายืนยันว่าพระเจ้าเรียกคิว เพราะในช่วงการเรียนเรื่องผู้อารักขา มีการตอบสนองให้เขียนตัดสินใจลงในกระดาษว่าเราจะถวายอะไร? เราอธิษฐานแล้วพระเจ้าตอบเราว่า ให้เราถวายให้คิว ถ้าคิวเริ่มต้นรับใช้พระเจ้าเต็มเวลา”
เหตุการณ์นี้ทำให้ผมเห็นแผนการของพระเจ้าที่เกินความคิด เพราะในขณะที่เรายังไม่ได้ตัดสินถวายตัวในวันนั้น แต่วันนั้นเพื่อนของเราตัดสินใจที่จะถวายเงินเพื่อสนับสนุนเราแล้ว! คือพระเจ้ารู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันต่อมา แม้ว่าตอนนั้นเรายังไม่รู้ตัวเองเลย
หมิงได้อธิษฐานและพระเจ้าตอบแบบนั้น เค้าก็ทำตามการทรงเรียกของเค้า ส่วนการทรงเรียกของผมก็ตามมาในวันถัดมาของค่ายเมื่อมีการเรียกให้ … “ถวายตัว”
ชีวิตผมเริ่มต้นจากเด็กที่ถูกรังแก และเรียกร้องความสนใจ
ผมชื่อฤกษ์สิน เขมสุนทร ชื่อเล่น “อิ๊กคิว” เกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างเคร่งครัดทางพุทธศาสนาบวกกับความเชื่ออื่น ๆ ของคนไทย-จีน-พราหมณ์-ฮินดู มาโดยตลอด
ช่วงชีวิตในมัธยมของผมนั้นเป็นช่วงชีวิตที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เนื่องด้วยการถูกแกล้งสารพัดคล้าย ๆ ในการ์ตูนญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นเอาของไปซ่อน ถูกจับแก้ผ้า โดนทิ้งให้อยู่คนเดียว ฯลฯ
ชีวิตในโรงเรียนประจำเป็นอะไรที่ยากสำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ ด้วยการที่ผมเป็นเด็กที่ไม่ชอบเล่นกีฬา มีความชอบต่างจากเพื่อน ๆ ในโรงเรียน คือเล่นดนตรี แถมชอบทำตัวเด่นหรือเรียกร้องความสนใจ ทำให้ถูกหมันไส้ เพื่อนบางคนข่มเหง ใช้ผมเหมือนคนใช้ บีบบังคับขู่เข็ญเอาของ ๆ ผม หรือบังคับให้ผมทำอะไรที่ไม่อยากทำ และเนื่องด้วยการตอบสนองที่ไม่ค่อยดีของเรา โดยการแก้แค้นคืนเอาของเพื่อนไปซ่อนบ้าง โยนออกนอกหน้าต่างบ้าง ฯลฯ ทำให้สถานการณ์มันยิ่งเลวร้าย
ตอนเด็กก็ยังมีปมเรื่องครู เพราะผมเป็นเด็กที่มักโดนแกล้ง จริงๆ เราก็ไม่ใช่เด็กขี้ฟ้องหรอกเวลาโดนอะไร แต่บางทีคุณพ่อคุณแม่เค้าก็ไปบอก หรือ บางทีคุณครูก็รู้เอง ทีนี้ พอเราทำตัวแปลกแยก ทำตัวนอย หรือไม่เข้ากิจกรรม กลายเป็นว่าครูไม่เข้าใจเรา หาว่าเราเรียกร้องความสนใจบ้าง เรื่องไม่เกิดขึ้นจริงบ้างล่ะ เลยยิ่งทำให้จิตใจผมแย่ไปอีก จากชีวิตที่ผ่านมานี้ทำให้ผมกลายเป็นคนเก็บกด เรียกร้องความสนใจ คิดมาก และขี้น้อยใจไปในที่สุด ผมคิดแต่เพียงว่า ทำไมไม่มีใครเข้าใจผมเลย
ผมรู้จักพระเจ้าตั้งแต่มัธยมแล้ว แต่ก็เหมือนกับหลายคนที่เราเพียงแต่ รับเอา พระเยซูมาเป็น “พระอีกองค์ในชีวิต” แม้จะอ่านพระคัมภีร์แต่ก็ยังใช้ชีวิตตามปกติ ยังไหว้พระ ทำพิธีกรรมตามความเชื่อเดิม แถมเป็นตัวแทนโรงเรียนนำสวดมนต์อีกต่างหาก ในที่สุดก็ได้หลงไปจากทางของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง
การได้มาสู่ความเชื่อที่แท้จริงนั้นเริ่มต้นจากการที่ผมจะสอบเข้าคณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เอกการแสดงดนตรี เครื่องเอก Clarinet ตอนนั้นผมเองก็ได้ไหว้พระขอให้สอบติดไว้กับหลายที่ โดยเฉพาะพระพิฆเณศร์ ที่เป็นสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย แต่พอวันสอบปฏิบัติ 5 นาทีก่อนสอบนั้นตอนผมกำลังทำสมาธิ จู่ ๆ ผมก็รู้สึกถึงบางอย่างที่บอกให้ผมอธิษฐานกับพระเจ้าที่ผมเคยรู้จัก ผมก็เลยก้มหน้าลงอธิษฐานในนามพระเยซู และการสอบของผมก็เป็นไปด้วยดี ผมไม่ตื่นเต้น ผมไม่กังวล และสุดท้ายผมก็สอบติด
การบังเกิดใหม่และชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป
ความเจ็บปวดในวัยเด็กส่งผลต่อความสัมพันธ์ของผมกับคนรอบข้างเสมอ ผมมักคิดว่าไม่ใครเข้าใจตัวผม และมักมีปัญหากับคนรอบข้างอยู่ตลอด ทั้ง ๆ ที่ได้เจอเพื่อนที่ดีและสังคมใหม่ แต่ด้วยความเป็นตัวเองบางอย่าง บ่อยครั้งก็ทำให้มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ ทักษะการเข้าสังคมของผมต่ำมาก (ซึ่งพี่เลี้ยงที่โบสถ์ก็ยืนยันเรื่องนี้ในภายหลังด้วย) ผมค่อนข้างไวกับความรู้สึกเมื่อคนรอบข้างเปลี่ยนไป (บางทีก็คิดมากเอง) แต่เมื่อเป็นเช่นนั้นทำให้ผมเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ผมเอาแต่โทษทุกสิ่งรอบตัว ลองคิดดูนะครับ คนที่เติบโตมากับสถานการณ์ที่แย่มากๆ แบบนั้น ไม่มีกลุ่มเพื่อนที่สนิท หรือแม้แต่เพื่อนที่สนิท ความรู้สึกโดดเดี่ยว เฝ้าไขว่คว้าหาความสัมพันธ์ในอุดมคติ มันทำให้คนรอบข้างเดือดร้อนรำคาญมากเลยทีเดียว
เมื่อผมเข้ามหาลัยปี 1 ก็เริ่มกลับมาอธิษฐานแสวงหาพระเจ้าอีกครั้ง ผมได้รู้จักกับเพื่อนที่เป็นคริสเตียนชื่อแชมป์ ซึ่งเป็นคนที่ผมสนิทที่สุด และเขาก็ได้ชวนผมไปโบสถ์ของเค้า ซึ่งคือ “คริสตจักรแสงสว่าง”
พระเจ้าได้นำผมเข้าสู่กระบวนการที่ผมเองก็คาดไม่ถึงในการเปลี่ยนแปลงชีวิตและได้รู้จักพระเยซูมากยิ่งขึ้น แชมป์เป็นตัวกลางที่ทำให้ผมได้เปิดใจกับเพื่อน ๆ คริสเตียนถึงสิ่งที่ผมเป็นอยู่และช่วยกันเพื่อเปลี่ยนแปลงนิสัยแย่ ๆ ของผม และพระเจ้าก็ได้เข้ามาสัมผัสใจของผม จนผมดีขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
การทรงเรียก
ผมเองไม่แน่ใจว่าพระเจ้าทรงเริ่มต้นเรียกผมให้รับใช้พระองค์ตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะโดยส่วนตัวผมก็ร่วมรับใช้ด้านต่าง ๆ ในคริสตจักรอยู่พอสมควรอยู่แล้ว และช่วยงานองค์กรคริสเตียนอื่นๆ ตามโอกาสด้วย
จนกระทั่งการทรงเรียกที่ชัดเจนเริ่มต้นจากการที่ผมได้ไปค่าย Youth Challenge(YC) ในปี 2013
ในคืนสุดท้ายที่มีการเรียกคนที่ตัดสินใจถวายตัวรับใช้พระเจ้าเต็มเวลาให้ไปด้านหน้า ในตอนแรกผมก็ไม่ออกไป แต่บางอย่างภายในใจเร้าผมทำให้กระสับกระส่ายและลังเลจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ และสิ่งที่ผมได้ยินในหัวคือคำๆเดียวว่า … “ไป”
“ไป” คำ ๆ นี้ ย้ำเข้ามาเรื่อย ๆ จนผมต้องลุกและไปคุกเข่าด้านหน้า และร้องไห้ออกมา ผมได้แต่ถามพระเจ้าว่า
“ใช่แน่เหรอ ใช่จริง ๆ เหรอ เพราะผมเองก็เป็นคนที่ไม่ได้ดีอะไร ทำอะไรก็ไม่ค่อยดีสักอย่าง และมีข้อเสีย มีความบาปบางอย่างที่ก็ยังไม่สามารถละทิ้งไปได้ ทำให้พระเจ้าเสียใจก็หลายครั้ง ผมจะพร้อมเหรอ? แล้วจะให้ผมไปที่ไหน ผมไม่รู้เลยว่าจะไปที่ไหน จะไปยังไง”
“… ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง
คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วโน้มตัวไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
และข้าพเจ้าบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล
คือการทรงเรียกแห่งเบื้องบนซึ่งมีในพระเยซูคริสต์” –(ฟิลิปปี 3:13-14)
ข้อพระคัมภีร์นี้ดังเข้ามาในหัวของผม พระเจ้าก็บอกกับผมว่า “ให้ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย แล้วให้โน้มไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า เพราเราได้ตั้งหลักชัยไว้ให้เจ้าแล้ว” และคำ ๆ หนึ่งที่ชัดเจนอย่างมากคือ “บากบั่น” เหมือนพระองค์บอกกับผมว่า “แต่หนทางข้างหน้านั้นไม่ง่ายนะ เจ้าจะยอมไหม” สิ่งที่ผมคิดในตอนนั้นก็คือ ผมยอมทุกอย่างแล้ว เป็นการยอมอย่างที่ผมเองก็ไม่เคยยอมมาก่อน คือเหมือนกับผมฝากทั้งชีวิตของผมไว้กับพระเจ้า โดยไม่มีข้อแม้และไม่มีเงื่อนไข
ผมค่อนข้างมั่นใจและชัดเจนในการทรงเรียกในครั้งนี้ แต่ก็ได้รับคำบอกจากคนอื่นๆว่าการทรงเรียกต้องชัดเจนจริงๆนะ เพระบางทีมันอาจเป็นแค่อารมณ์ในช่วงนั้น ทั้งคำเทศนา การจูงใจ และดนตรีที่อาจนำเราไปเฉพาะช่วงเวลานั้นก็ได้ ซึ่งผมแอบคิดตาม แต่พระเจ้าก็ได้ทรงยืนยันผ่านทางคน 2 คนให้กับผม คนแรกคือเพื่อนในโบสถ์ซึ่งก็คือ หมิง ซึ่งพระเจ้าได้ใส่ภาระใจให้เขาในการเริ่มต้นที่จะถวายสนับสนุนผมในการรับใช้
และการยืนยันครั้งที่สองมาจาก อ.วิรัช เศรษฐ์โสภณกุล จากการที่ผมตัดสินใจว่าจะเข้าเรียนที่ไหนดี และได้ตัดสินใจเรียนที่ BIT(สถาบันกรุงเทพคริสตศาสนศาสตร์) ผมได้เข้าไปคุยกับอาจารย์ และอาจารย์ก็ได้บอกว่า ก่อนหน้านี้ก็เคยคุยกับใครสักคนว่าผมน่าจะเป็นผู้รับใช้นะ หลังจากนั้นผมก็ได้สมัครเข้าเรียนที่ BIT โดยพระเจ้าทรงเปิดทางให้ทั้งหมด มีเรื่องราวเกิดขึ้นมามายจนถึงทุกวันนี้ให้ผมได้ขอบคุณพระเจ้า
ทุกวันนี้ในบทบาทของ “ครู” ฝ่ายพัฒนานักศึกษา
สมัยที่ยังเป็นเด็กผมมีความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นครูที่ดี ครูที่เข้าใจนักเรียน และชนะใจพวกเขา แต่แล้วผมก็ละทิ้งความฝันนั้นไปเมื่อผมโตขึ้น เพราะรู้สึกว่าตัวเองปัญหาก็เยอะ และไม่มีความสามารถที่จะไปสอนใคร ช่วยใคร (ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย) แต่ตอนยังเป็นนักศึกษา ผมกลับได้มีโอกาสได้ให้คำปรึกษากับน้อง ๆ มีโอกาสดูแลชีวิตของพวก และช่วยพวกเค้าในเรื่องต่าง ๆ กลายเป็นว่าเราชอบงานด้านนี้ เพราะผมรู้สึกว่าอยากช่วยเหลือคนอื่น อยากที่จะให้เขาหลุดจากปัญหา และไม่อยากให้ใครเป็นแบบเราในอดีต นอกจากนี้ก็ทำงานนักศึกษา และร่วมกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเต็มที่ พออาจารย์เขาเห็นว่าเราลุยงานด้านนี้ เขาก็ติดต่อทาบทามให้เรามาเป็นอาจารย์ฝ่ายพัฒนานักศึกษา
ตอนแรกผมเริ่มเป็นอาจารย์เป็นแค่ ผู้ช่วยฝ่ายพัฒนาและช่วยสอนวิชาภาษากรีก พระเจ้าก็นำผมจนได้บรรจุเป็นอาจารย์ฝ่ายพัฒนานักศึกษาแบบเต็มตัวในที่สุด แม้เส้นทางชีวิตของผมจะไม่ง่าย และยังมีจุดบกพร่องหลายอย่างที่ผมยังต้องปรับปรุง ผมก็ยังมั่นใจว่าการตัดสินใจของผมในค่าย YC ครั้งนั้น เป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาด เพราะพ่อบนสวรรค์เป็นผู้ตัดสินใจให้ และผมเชื่อมั่นว่าพระองค์มีแผนการที่ดีและเหมาะสมกับผมอย่างที่สุดจัดเตรียมไว้ให้แล้ว
“เรารู้ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างร่วมกันก่อให้เกิดผลดีแก่คนที่รักพระเจ้า คือแก่คนทั้งหลายที่พระองค์ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์” –(โรม 8:28)
ด้วยรักและร่วมรับใช้ ☺
#Featured คอลัมน์ทันกระแสสังคม หยิบจับเรื่องทั่วไปมาพูดใหม่ในมุมมองคริสเตียน ทุกวันพฤหัสสีส้มส้มน้าาาาา!!!
Related Posts
- Author:
- ชายหนุ่มผู้หลงไหลเสียงดนตรี มี "คลาริเน็ต" เป็นเพื่อน วัยเด็กที่ไม่สดใส ได้ผลักดันเขาให้พบสันสันติสุขในพระเจ้า ทุกวันนี้เป็นอาจารย์ฝ่ายพัฒนานักศึกษาในสถาบันพระคัมภีร์ และ มีส่วนในงานรับใช้มากมาย
- Illustrator:
- Jostar
- พี่ชายผู้อบอุ่นละมุนละไม เวลาใส่หมวกกันน๊อคแล้วนั่ลล๊าคดั่ง Pororo อดีตมาสเซอร์วิชาสอนศิลปะ ปัจจุบันถวายตัวรับใช้ที่โบสถ์สไตล์ลอฟๆ ชอบขีดๆ เขียนๆ วาดๆ
- Editor:
- Perapat T.
- Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)