คนต้นเรื่อง : https://choojaiproject.org/category/articles/life-series/journey-with-logoshope/
อ่านล่องไปกับเรือทุกตอนได้ที่ :______________________________
“ทีน่าต้องไปขึ้นเรือที่ภูเก็ตนะคะ ไม่ต้องบินไปศรีลังกาค่ะ”
.
ภูเก็ต!!! เมืองสวรรค์ที่ฉันอยากไปเยือนสักครั้งในชีวิต ในที่สุดพระเจ้าก็เปิดทางให้ได้ไปเที่ยว แถมไม่ต้องนั่งเครื่องบินเพื่อไปขึ้นเรือกับพวกพี่ ๆ แขกศรีลังกาผู้น่ารักอีกด้วย ช่างดีอะไรเยี่ยงนี้
______________________________
กำหนดการณ์ที่ฉันจะต้องไปขึ้นเรือ ตรงกับช่วงที่เรือมาจอดเปิดร้านหนังสือที่ภูเก็ตประมาณ 10 กว่าวันพอดี จุดเริ่มต้นของการเดินทางของฉันจึงเริ่มจากการเดินทางออกจากเชียงใหม่ไปภูเก็ตกับครอบครัว ป้าของฉันเพิ่งจะเคยนั่งเครื่องบินเป็นครั้งแรก นางจึงตื่นเต้นมาก
ที่ภูเก็ตพวกเราได้ใช้เวลาด้วยกันประมาณ 2-3 วัน ไปกินด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกันเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี เป็นช่วงเวลาที่ฉันมีความสุขมาก สมกับที่รอคอยมาแสนนาน จากนั้นพวกเขาก็พากันไปส่งฉันขึ้นเรือ
น้องลูกเรือคนไทยพาเราไปห้องพักเพื่อเก็บสัมภาระและพาชมรอบๆเรือ
พ่อกับน้องสาวของฉันเมาเรือตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบบนเรือ เดินไปทางไหนก็บ่นแต่ว่า เรือมันโคลง เรือมันโคลง ก็แหงสิคะ เจ้าเรือนี่มันอยู่บนน้ำนะคะ! เที่ยงวันนั้นเองเราได้ทานอาหารมื้อแรกบนเรือด้วยกัน แต่ก็พบว่ามันไม่อร่อยเอาเสียเลย
เราตักใส่จานแล้วก็มองกันและกัน พลางสงสัยว่ามันคืออะไรหว่า? แล้วน้องของฉันก็ถามว่า
‘แกจะอยู่ได้จริง ๆ เหรอ…’
.
คำถามน่าคิดทีเดียว ในตอนนั้นฉันไม่ได้ตอบอะไรออกไปแต่ในสมองก็คิดอยู่เหมือนกันว่า ฉันจะอยู่ได้จริงหรือเปล่า ฉันจะต้องกินอาหารประมาณนี้ทุกวันใช่ไหม ไม่ได้พกมาม่ามาซะด้วย พริกป่นก็ไม่มี น้ำพริกสักกระปุกก็ไม่ได้ติดมือมา จะทำยังไงดี ถึงแม้หูจะฟังที่น้องลูกเรือคนไทยเขาบรรยายต่อ แต่ในหัวก็ยังคงถามคำถามนั้นซ้ำไปมา ฉันมองหน้าพ่อ มองหน้าน้อง แต่ก็ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ จึงได้แต่เงียบไปอย่างนั้น…
เราเดินชมจนทั่วเรือ นั่งคุยกันต่ออีกสักพักจนค่ำมืด แล้วครอบครัวของฉันก็เดินทางกลับโรงแรมคืนแรกในเรือ ทุกสิ่งอันในห้องพักดูแปลกไปเสียหมด ห้องนอนแคบๆ มีห้องน้ำในตัว ขยับสามก้าวถึงประตู อีกสามก้าวถึงห้องน้ำ ซึ่งเป็นห้องน้ำเล็กมากไม่ว่าจะอาบน้ำท่าไหนก็ชนกับกำแพงไปเสียหมด อาบน้ำไปก็ร้องโอยไปด้วยความไม่ชิน ส่วนชักโครกไม่ใช่ดิ มันคือเครื่องดูดสูญญากาศแบบในเครื่องบินกดปุ่มแล้วดูดออกหายไปเลย เอ้ยเจ๋งมาก ! เตียงเป็นเตียงเดี่ยว ซึ่งเดี่ยวจริงๆคือนอนดิ้นแล้วตกเตียงชัวร์ มันจะพอดีอะไรเบอร์นั้น นอนไปก็เกร็งไปค่ะ แปลกอ่ะ แปลกที่แปลกทาง นอนก็ไม่หลับก็เลยคุยไลน์กับน้องสาวจนหลับไป มารู้ภายหลังว่าจริงๆฉันยังไม่ต้องนอนในเรือจนกว่าเรือจะออกก็ได้ แง่ว แต่ก็ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นประสบการณ์
แล้วการนอนในเรือคืนแรกก็ผ่านไปแบบงงงง
เช้าวันใหม่ตื่นมางงกว่าเดิม ฉันเริ่มต้นวันด้วยการสำรวจอาหารเช้าบนเรือ ซึ่งก็มีโยเกิรต์ นม ขนมปัง แยมสารพัดรส ซีเรียลต่างๆและอื่นๆอีกมากมาย อาหารละลานตาก็จริงแต่รสชาติกลับไม่ได้ถูกปากไปซะทุกอย่าง พาลคิดไปว่านี่ฉันต้องกินแบบนี้ตลอด 2 ปีเหรอเนี่ย?! เอาว่ะ กินไปเพื่อความอยู่รอด เรามาเป็นมิชชันนารีจะมาเรื่องมากหยุมหยิมกับเรื่องแบบนี้ได้ไง กินเพื่ออยู่!
นั่นเป็นคำตอบที่ได้จากการนอนคิดเรื่องคำถามเมื่อวานเย็นซ้ำไปมา แล้วจากนั้นบนเรือจะมีเฝ้าเดี่ยวกัน เราก็เข้าไปนั่งฟังด้วย เป็นการเฝ้าเดี่ยวแบบกลุ่มใหญ่คือจะมีคนแบ่งปันให้เราฟัง คล้ายการเทศนาประมาณ 45 นาที ลูกเรือก็แยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ของตนเอง เออ เหมือนที่ทำงานเก่าเลยแฮะ ดีจัง
______________________________
.
ตกเย็นครอบครัวของฉันก็มาหาอีก แต่ว่าครั้งนี้พากันขนเสบียงยังชีพสำหรับ 2 ปีมาให้ด้วย ทั้งมาม่า โจ๊กซอง ช็อคโกแลต ฯลฯ กะแบบว่าอยู่เรือไม่อดตาย ไม่อดอยากของกินบ้านเราแน่นอน เห็นแล้วก็ดีใจ ไม่อดแล้วแล้วเว้ย! เรายืนพูดคุยกันครู่ใหญ่ก็ถึงเวลาร่ำลา พ่อน้ำตาซึมเอามือปาดหน้าลูบหัวแล้วบอกกับฉันว่า“รักษาตัวนะไม่ต้องห่วงพ่อ” ป้าร้องไห้พลางบอกว่า “ไม่สบายก็กินยานะ เขามีหมอไหม ระวังเมาเรือนะ” แล้วเราก็กอดกัน ฉันไม่อยากจากไปแต่ก็ต้องไป ฉันกอดกับน้องสาวนานมากไม่มีคำพูดใดๆ เราแค่กอดกันเงียบๆ และร้องไห้อยู่อย่างนั้น ใช้ใจสื่อสารกันใจมันหวิวมาก จะไม่มีอ้อมกอดนี้อีกตั้งสองปี เป็นสองปีที่เราจะไม่ได้เจอกันเลย
.
น้องสาวพูดเบาๆ ว่า “ไม่ไปได้ไหม”
ฉันก็หัวเราะแล้วบอกว่า “ต้องไป อย่างอแง ถ้าเธอเข้มแข็ง ฉันก็จะเข้มแข็งกับเธอ ดูแลตัวเองให้ดี ฉันก็จะบอกกับตัวเองแบบนี้เหมือนกัน…”
.
สุดท้ายเราก็ต้องปล่อยกันและกันไป และแล้วเช้าวันที่ 24 สิงหาคม 2013 เรือแห่งความหวังลำนี้ก็ออกจากฝั่งประเทศไทยเดินทางต่อไป เมืองโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา
______________________________
ในช่วง 8 วันแรกที่อยู่บนเรือ ฉันยังไม่ค่อยได้ทำอะไรมากเพราะขึ้นเรือมาในฐานะแขก พักในห้องนอนสำหรับแขก จึงใช้เวลาเดินสำรวจรอบ ๆ เรือซะส่วนใหญ่ ท่ามกลางการจับจ้องมองด้วยความฉงนของลูกเรือคนอื่น ๆ ว่า “นางนี่คือใคร” นั่งซุบซิบกันเป็นหย่อม ๆ ขณะที่ฉันก็นั่งกินข้าวเงียบ ๆ อยู่คนเดียว
.
ในช่วง 8 วันนั้นมี 1 วันที่มีโอกาสได้ทดลองงานในห้องครัว ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก ทำตัวไม่ถูก จะหยิบจับอะไรก็เขิน ๆ เงอะงะไปหมด ครึ่งเช้าวันนั้นฉันหั่นส้มไปหลายสิบกิโลแต่ช่วงบ่ายเมาเรือและเมาต่อเนื่องไปอีกหลายวันเลย แม้จะเป็นเด็กดอย จากที่ไม่เคยเมารถกลับต้องมาเมาเรือเพราะตัว Stabilizer ของเรือเสีย ทำให้เรือโคลงมาก ถึงขั้นต้องมัดของเอาไว้กับโต๊ะให้ดี ตอนเดินต้องเดินจากซ้ายไปขวาเพราะเวลาเรือโคลงซ้ายก็เห็นท้องฟ้าโคลงขวาก็เห็นทะเล
กระนั้นลูกเรือส่วนใหญ่ก็เมาเรือพอ ๆ กัน ส่วนฉันเองก็หนีไม่พ้น เมาเรือเต็ม ๆไป 1 วันจ้า กินยาแก้เมาหลังอาหารเช้าแล้วก็นอนยาวถึงอาหารเย็นเลย โหดมาก ๆ แต่วันต่อมาก็ไม่กินยาแล้วเพราะคิดว่าเราน่าจะปรับตัวเองให้ชินกับการเมาเรือด้วยการนอนนิ่ง ๆ บนพื้นเรือหรือออกไปรับลมที่ชั้น 7 กราบเรือแทนซึ่งช่วยได้มากทีเดียว และวันต่อๆ มาฉันก็เริ่มปรับตัวได้มากขึ้น การสังเกตการเดิน สังเกตการทำกิจกรรมจากลูกเรือคนอื่นๆช่วยได้เยอะเลยทีเดียว
ช่วงเวลานั้นเรือจะเงียบ ลูกเรือส่วนใหญ่บ้างก็พักผ่อน บ้างก็เมาเรือ บ้างก็หยุดพักจากงาน ตัวฉันเองมีมุมประจำที่ชอบไปนั่งเล่นที่สุดคือชั้น 5 ล๊อบบี้ของเรือเป็นชั้นที่นิ่งที่สุด ฉันใช้เวลานั่งมองออกไปนอกหน้าตา ดูทะเล นกนางนวล ปลาบิน นั่งใช้เวลากับพระเจ้าเพียงลำพังพลางคิดได้ว่า…
.
ชีวิตคนเราก็เปรียบเหมือนเรือนะคะ ทะเลก็เป็นเหมือนชีวิตประจำวัน เราเองลอยล่องอยู่ในกระแสของชีวิต บ้างก็เจอคลื่นลมโหมหนักเหมือนพบเจอปัญหา ช่วงไหนคลื่นสงบราบเรียบ เราก็ใช้ชีวิตอย่างง่าย ๆไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าช่วงคลื่นโหมกระหน่ำพัดแรง เราก็ต้องพยายามโต้คลื่น อย่าให้คลื่นถาโถมหาเราโดยที่เราไม่ทำอะไรเลย ให้มองคลื่นลมพวกนั้นเป็นบททดสอบหนึ่งที่เราต้องผ่านไปได้ และที่สำคัญเราเป็นคริสเตียน แน่นอนอยู่แล้วว่าเราไม่ได้โต้คลื่นเพียงลำพัง เราไม่ได้ล่องเรือแห่งชีวิตนี้เพียงลำพัง แต่เรามีพระเจ้าผู้เป็นกัปตัน และเราก็เป็นลูกเรือที่มีพระองค์คอยดูแล ดังนั้นอย่าได้ไปกลัวเมื่อคลื่นถาโถมใส่เรา เพราะพระเจ้าของเราไม่เพียงแค่ทรงสถิตอยู่ใกล้ ๆ เท่านั้น แต่ความจริงแล้ว พระองค์ทรงควบคุมเรือแห่งชีวิตของเราลำนี้อยู่ด้วย!
ช่วงสายๆของวันที่ 29 สิงหาคม 2013 เรือ Logos Hope เทียบท่า ณ เมืองโคลัมโบ ประเทศศรีลังกาอย่างปลอดภัย
นับเป็นการออกจากฝั่งและขึ้นฝั่งครั้งแรกในชีวิตของฉัน กับเรือแห่งความหวัง
.
#ด้วยรักต้องออกจากฝั่ง
ทีน่า
Related Posts
- Author:
- ทีน่า : สาวผู้ใฝ่ฝันจะเดินทางรอบโลก แต่ชีวิตพลิกผันเมื่อพระเจ้านำเธอให้พบเจอกับเรือ 'โลโกสโฮป' เรือแห่งความหวังที่จะนำพาเธอไปผจญโลกกว้างโดยไม่ต้องเป็นเมียทูตแต่อย่างใด
- Illustrator:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
- Editor:
- Namita
- สาวน้อยล่ามญี่ปุ่น ผู้เอ็นจอยกับการกินไปลดน้ำหนักไป เธอผู้มีความคาวาอี้อยู่ตลอดเวลายังมีความสามารถในการเรียบเรียงงานเขียนได้เป็นเลิศอีกด้วย